เอสซีจี โชว์ผลประกอบการไตรมาสที่ 1/2561 มีรายได้ 118,250 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4% ใกล้เคียงกับไตรมาสก่อน เผยมุ่งใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อพัฒนานวัตกรรม พร้อมนำเสนอโซลูชั่นสินค้าและบริการครบวงจร ตอบโจทย์ลูกค้าทั่วอาเซียน หวังเติบโตยิ่งขึ้นอย่างยั่งยืน
นายรุ่งโรจน์ รังสิโยภาส กรรมการผู้จัดการใหญ่ เอสซีจี เปิดเผยว่า งบการเงินรวมก่อนสอบทานของเอสซีจีในไตรมาสที่ 1 ประจำปี 2561 มีรายได้จากการขาย 118,250 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4% จากไตรมาสก่อน และเพิ่มขึ้น 2% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ขณะที่มีกำไร 12,406 ล้านบาท ลดลง 1% จากไตรมาสก่อน และลดลง 29% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากผลการดำเนินงานที่ลดลงของบริษัทย่อยและบริษัทร่วมของธุรกิจเคมิคอล ซึ่งได้รับผลกระทบจากปัจจัยเงินบาทแข็งค่าและต้นทุนวัตถุดิบที่สูงขึ้น ประกอบกับปีที่ผ่านมามีกำไรจากการขายเงินลงทุน
สำหรับผลการดำเนินงานของเอสซีจี นอกเหนือจากประเทศไทยในไตรมาสที่ 1 ปี 2561 เอสซีจีมีรายได้จากการขายในภูมิภาคอาเซียน เท่ากับ 27,014 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 23 จากยอดขายรวม โดยเพิ่มขึ้นร้อยละ 4 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และมีรายได้จากการขายในภูมิภาคอื่น ๆ 20,075 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 17 จากยอดขายรวมสินทรัพย์รวมของเอสซีจี ณ วันที่ 31 มีนาคม 2561 มีมูลค่า 584,251 ล้านบาท โดยร้อยละ 24 เป็นสินทรัพย์ในอาเซียน
ทั้งนี้ผลการดำเนินงานในไตรมาสที่ 1 ในปี 2561 แยกตามรายธุรกิจ ดังนี้ ธุรกิจเคมิคอล ในไตรมาสที่ 1 ปี 2561 มีรายได้จากการขาย 52,867 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2% จาก ไตรมาสก่อน แต่ลดลงร้อยละ 3 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน มีกำไรสำหรับงวด 8,135 ล้านบาท ลดลง 14 % จากไตรมาสก่อน และลดลง 38% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากปัจจัยเงินบาท แข็งค่าและต้นทุนวัตถุดิบที่สูงขึ้น ทำให้ผลการดำเนินงานของบริษัทย่อยและบริษัทร่วมลดลง
ธุรกิจซีเมนต์และผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง ในไตรมาสที่ 1 ปี 2561 มีรายได้จากการขาย 46,461 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 7% จากไตรมาสก่อน และเพิ่มขึ้นร้อยละ 4 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน มีกำไรสำหรับงวด 2,484 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 138% จากไตรมาสก่อน และเพิ่มขึ้น 10 % เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน จากสภาพตลาดที่ดีขึ้นตามฤดูกาล และการขยายตัวของการดำเนินงานในภูมิภาคอาเซียน
ธุรกิจแพคเกจจิ้ง ในไตรมาสที่ 1 ปี 2561 มีรายได้จากการขาย 21,981 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3 % จากไตรมาสก่อน และเพิ่มขึ้น 11 % เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน มีกำไรสำหรับงวด 1,512 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 24 % จากไตรมาสก่อน เนื่องจากตลาดเติบโตต่อเนื่องและผลจากการซื้อกิจการ ขณะที่ลดลง 10 % เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากปีที่ผ่านมามีกำไรจากการขายสินทรัพย์
นายรุ่งโรจน์ กล่าวว่า แม้จะได้รับผลกระทบจากปัจจัยต่าง ๆ ทั้งสภาพการแข่งขันที่รุนแรงทั้งในไทยและ ในภูมิภาค ต้นทุนวัตถุดิบที่สูงขึ้น และค่าเงินบาทแข็งค่าที่เข้ามากระทบ อย่างไรก็ตาม ผลประกอบการไตรมาสที่ 1 ประจำปี 2561 ของเอสซีจี ยังคงใกล้เคียงกับไตรมาสที่ผ่านมา จากความมุ่งมั่นสร้างสรรค์สิ่งที่ดีกว่าสู่ลูกค้า (Passion for better) โดยเร่งผลักดันการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อพัฒนานวัตกรรม พร้อมนำเสนอโซลูชั่นครบวงจร เพื่อให้สามารถตอบโจทย์ความต้องการเชิงลึกของลูกค้าทั่วอาเซียน
สำหรับการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีดิจิทัลของเอสซีจีในช่วงที่ผ่านมา เช่น การเปิดตัว “แอปพลิเคชัน HOME BUDDY” ที่เป็นช่องทางออนไลน์สำหรับปรึกษาปัญหา ค้นหาช่างหรือวัสดุเพื่อสร้างหรือซ่อมบ้าน ซึ่งเชื่อมต่อกับ SCG Online Store และ Digital Payment Solution เช่น SCG Wallet เพื่อเพิ่มความสะดวกในการซื้อและชำระ ค่าสินค้า หรือ “การนำเทคโนโลยีดาวเทียมมาใช้สำหรับการออกแบบติดตั้งหลังคาให้ลูกค้า” และการเปิดตัว “หุ่นยนต์ดูแลผู้สูงอายุ” โดย SCG Eldercare Solution ซึ่งผู้สนใจสามารถเข้าชมพร้อมนวัตกรรมอื่นๆ เกี่ยวกับบ้านได้ ใน “งานสถาปนิก’61” วันที่ 1-6 พ.ค. นี้ ณ อิมแพ็ค เมืองทองธานี
ส่วนโซลูชั่นใหม่ ๆ ที่เอสซีจีส่งมอบให้ลูกค้า เช่น “โซลาร์ฟาร์มลอยน้ำ” (Floating Solar Solution) รายแรกของไทย หรือ “Total Packaging Solutions Provider” ที่ให้บริการครบวงจรตั้งแต่การออกแบบ การผลิต และการจัดเก็บบรรจุภัณฑ์ที่ไม่ใช้แล้วมา Recycle รวมทั้ง “SCG Express” ที่เตรียมขยายจุดบริการรับส่งพัสดุให้ลูกค้า รายย่อยแบบ One-Stop Service ในสถานีบริการน้ำมันกว่า 100 แห่ง โดยตั้งเป้าขยายจุดบริการครอบคลุม ทั่วประเทศภายในกลางปีนี้
นอกจากนี้ เอสซีจี ยังมุ่งพัฒนานวัตกรรมสินค้าและบริการที่มีมูลค่าเพิ่ม (High Value Added Products & Services - HVA) โดยเน้นร่วมมือกับลูกค้าหรือสถาบันชั้นนำต่าง ๆ มากขึ้น ซึ่งไตรมาสนี้ เอสซีจีมียอดขาย HVA 45,844 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 5 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน คิดเป็นร้อยละ 39 ของยอดขายรวม โดยใช้งบประมาณการลงทุนด้านการวิจัยและพัฒนานวัตกรรมกว่า 1,206 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 1 ของยอดขายรวม
ส่วนการขยายธุรกิจสู่ภูมิภาคอาเซียนนั้น ล่าสุดได้เข้าถือหุ้นเพิ่มเติมเป็นร้อยละ 50.9 ในบริษัท Binh Minh Plastics Joint Stock Company ซึ่งเป็นผู้ผลิตและจัดจำหน่ายท่อและข้อต่อ PVC ชั้นนำทางตอนใต้ของเวียดนามและจัดตั้ง Trading Company โดยเข้าถือหุ้นร้อยละ 50 ในบริษัท PT Nusantara Polymer Solutions ในอินโดนีเซีย เพื่อจัดจำหน่ายเม็ดพลาสติกที่มีมูลค่าเพิ่มสูง ซึ่งถือเป็นก้าวสำคัญในการขยายฐานสินค้าที่มีมูลค่าเพิ่มสูงให้เจริญเติบโตได้ในอาเซียน รวมทั้งจัดตั้ง SCG Roofing Center ที่นครหลวงเวียงจันทน์ สปป.ลาว ซึ่งเป็นศูนย์บริการหลังคา ฝ้า ผนังครบวงจรแห่งแรกในต่างประเทศ เพื่อรองรับการเจริญเติบโตของตลาดและเปิดโอกาสทางธุรกิจในกลุ่มประเทศ AEC อีกด้วย” นายรุ่งโรจน์ กล่าว
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |