24 ก.ย.63- รศ.หริรักษ์ สูตะบุตร อดีตรองอธิการบดีฝ่ายบริหารบุคคล มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โพสต์เฟซบุ๊กว่าปรากฏการณ์ ศรีพันวา และปรากฏการณ์ สรพงษ์ ชาตรีเป็นปรากฏการณ์ครั้งล่าสุด ที่ตอกย้ำว่า ประเทศไทยได้เกิดลัทธิความเชื่อ(cult)ชนิดหนึ่งขึ้นแล้ว
ลัทธิความเชื่อนี้ ไม่ชัดเจนว่าใครเป็นผู้นำ หรือเจ้าลัทธิ แต่น่าเชื่อว่า เจ้าลัทธิมีมากกว่า 1 คน ซึ่งปัจจุบันเป็นกลุ่มการเมืองกลุ่มหนึ่ง และมีพรรคการเมืองหลายพรรคเป็นแนวร่วม
สาวกของลัทธินี้ เป็นคนรุ่นใหม่ แต่ไม่ใช่ทุกคน และยังมีคนรุ่นเก่าอยู่บ้าง คนรุ่นเก่าส่วนใหญ่เป็นผู้ที่ยังนิยมเลื่อมใสในระบอบทักษิณ
สาวกของลัทธินี้มีความเชื่ออย่างเดียวกัน ซึ่งเป็นความเชื่อที่ฝังลึก หรืออาจเรียกว่าหัวปักหัวปำก็ได้ กรอบความเชื่อของลัทธินี้มีดังนี้
1. ใครก็ตามที่เคยทำรัฐประหารมาแล้ว ไม่ว่าจะไปทำอะไรหลังจากนั้น ถือว่าเป็นเผด็จการตลอดกาลไม่สามารถจะเป็นรัฐบาลประชาธิปไตยได้เลย ยกเว้นสมาชิกคณะราษฎรที่สามารถทำรัฐประหาร ยึดอำนาจได้โดยไม่ถือว่าเป็นเผด็จการ
2. รัฐบาลที่มีนายกรัฐมนตรีที่เคยทำรัฐประหาร ไม่มีทางบริหารประเทศได้ดี และเป็นต้นเหตุของปัญหาของประเทศทุกปัญหา ยกเว้นรัฐบาลของคณะราษฎรเท่านั้นที่เป็นข้อยกเว้น
3. ศาลยุติธรรม ในช่วงรัฐบาลที่มาจากการทำรัฐประหาร ล้วนพิจารณาตัดสินคดีด้วยความไม่เป็นธรรมทั้งสิ้น
4. ศาลยุติธรรม จะตัดสินอย่างเป็นธรรมก็ต่อเมื่อตัดสินเป็นคุณต่อตัวเราเองเท่านั้น
5. รัฐธรรมนูญที่ร่างในช่วงรัฐบาลที่มาจากการทำรัฐประหาร ถือว่าเป็นรัฐธรรมนูญที่ไม่เป็นประชาธิปไตย จำเป็นต้องร่างใหม่ทุกหมวดทุกมาตรา ไม่เว้นแม้แต่หมวด 2 และแน่นอน ยกเว้นรัฐธรรมนูญที่ร่างโดยคณะราษฎรเท่านั้น
6. ผู้ที่จะมาทำการร่างรัฐธรรมนูญใหม่จะต้องมาจากการเลือกตั้งทั้งหมด แม้ผู้ที่ได้รับเลือกตั้ง ไม่มีแม้แต่คนเดียวที่เป็นนักกฎหมาย และนักรัฐศาสตร์ก็ตาม
7. ทุกปัญหาของประเทศสามารถแก้ได้ด้วยรัฐธรรมนูญฉบับใหม่
8. นายกรัฐมนตรีต้องมาจาก สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเท่านั้น แม้จะมาจากการเลือกตั้งทางอ้อม ก็ไม่ได้
9. บัตรเลือกตั้งต้องมี 2 ใบเท่านั้น มีใบเดียวไม่ได้อย่างเด็ดขาด
10. สถาบันพระมหากษัตริย์ เป็นสถาบันที่ล้าสมัย ไม่ทันโลก เป็นต้นเหตุของปัญหาการเมืองของประเทศ ไม่จำเป็นต้องให้ความเคารพ ควรต้องมีการปฏิรูป หรือดีกว่านั้นคือไม่มีสถาบันพระมหากษัตริย์เลย
11. ทฤษฎีเศรษฐกิจพอเพียงคือ ทฤษฎีที่บอกว่า ห้ามผู้ที่อยู่ตำ่ชั้นกว่า สะเออะพัฒนาตัวเองให้สูงขึ้น ให้อยู่อย่างพอเพียงอยู่อย่างเดิม
12. พระมหากษัตริย์ไม่ใช่เจ้าของประเทศ ประชาชนต่างหากที่มีอำนาจสูงสุด และเป็นเจ้าของประเทศที่แท้จริง แม้ว่าบรรพบุรุษของประชาชนบางคนจะเคยอพยพมาจากประเทศอื่น มาพึ่งพระบรมโพธิสมภารก็ตาม
13. ประชาชนเป็นเจ้าของสถานที่ทุกแห่งที่สร้างโดยภาษีของประชาชน ประชาชนสามารถเข้าไปใช้ทำอะไรก็ได้โดยไม่ต้องขออนุญาตใครทั้งสิ้น
14. วัฒนธรรม ประเพณีที่มีมาแต่โบราณ ล้วนเป็นสิ่งล้าสมัย ควรยกเลิกให้หมด
15. คนในลัทธิเดียวกันถือเป็นพวกเดียวกัน คนอื่นๆหากเห็นไม่ตรงกับความเชื่อของลัทธิ ถือว่าเป็นฝ่ายตรงข้ามทั้งหมด ไม่เว้นแม่แต่พ่อ แม่ ปู่ ย่า ตา ยาย และญาติพี่น้อง
16. พวกเดียวกันทำอะไร แม้เป็นสิ่งผิดตามมาตรฐานทั่วไป กลับมองว่าไม่ได้ทำอะไรผิด ฝ่ายตรงข้ามแม้ทำถูกกลับมองว่าผิด
17. หากพวกเดียวกันถูกดำเนินคดี เพราะทำผิดกฎหมาย ถือว่าถูกคุกคามโดยเจ้าหน้าที่ของรัฐ
การสร้างความเชื่อเช่นนี้ ทำได้จากการร่วมมือกับสื่อออนไลน์ที่ทันสมัย เป็นที่นิยมของคนรุ่นใหม่ ป้อนข้อมูลที่ต้องการให้เชื่อ ข้อมูลที่เป็นคุณกับลัทธิ และข้อมูลที่เป็นโทษกับฝ่ายตรงข้าม เพื่อให้ซึมซับไปเรื่อยๆ ซึ่งถูกจริตกับคนรุ่นใหม่ ที่ไม่ชอบอ่านอะไรยาวๆ และเชื่ออะไรง่ายโดยไม่ยอมเสียเวลาค้นหาข้อเท็จจริง จนกระทั่งความเชื่อดังกล่าวกลายเป็นความเชื่อที่ฝังแน่น ไม่สามารถใช้เหตุผลใดๆมาโยกคลอนได้
นอกจากนี้ยังมีการสร้างเครือข่ายสาวกด้วยการส่งคนเข้าไปติดต่อกับนักกิจกรรมหัวก้าวหน้าในมหาวิทยาลัย สถาบันการศึกษาต่าง ลงมาถึงระดับโรงเรียน เพื่อขายแนวคิดและความเชื่อ จนกระทั่งสร้างเครือข่ายได้อย่างกว้างขวาง
วาทกรรมที่ใช้กล่าวอ้างกันเป็นประจำในลัทธินี้คือ เผด็จการ ประชาธิปไตย ประชาชน สืบทอดอำนาจ ปลดแอก เท่าเทียม คุกคามประชาชน
นอกจากสร้างความเชื่อดังกล่าวแล้ว ยังสร้างพฤติกรรม ให้เลียนแบบ อาทิเช่น เมื่อพวกเดียวกันทำผิด และถูกตำหนิโดยคนอื่นที่มองว่าอยู่ฝ่ายตรงข้าม หรือแม้กระทั่งคนที่แสดงความเห็นที่แตกต่างจากความเชื่อของลัทธิ ก็จะมีการให้สาวก ทั้งที่มีตัวตน ทั้งอวตาร รุมถล่มคนๆนั้นทาง social media หรือที่เรียกกันว่าทัวร์ลง และเรียกร้องให้มีการ ban คนๆนั้น หรือธุรกิจของคนๆนั้น(ถ้ามี ) อีกทั้งยังพยายามขุดคุ้ย หาสิ่งที่คนเหล่านั้นอาจทำอะไรผิดไว้ให้จงได้ หากหาไม่ได้ก็ต้องพยายามเอาข้อมูลมาบิดให้ผิดให้ได้ เพื่อเป็นการตอบโต้
พฤติกรรรมแบบนี้ได้เกิดขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า ล่าสุดเกิดขึ้นกับโรงแรมศรีพันวา จึงมีการ ban ศรีพันวา และขุดคุ้ยหาความผิด แต่ไม่ทันดูให้ดี รีบออกมาประกาศ จึงหน้าแตกไปอย่างช่วยไม่ได้
คุณสรพงษ์ ชาตรี ก็กำลังโดนแบบเดียวกัน แม้ยังไม่ทราบแน่ว่าเป็นเรื่องจริงหรือไม่
แต่เหมือนสิ่งศักสิทธิ์ ยังให้ความเป็นธรรมอยู่บ้าง การรุมถล่ม การ ban การขุดคุ้ยจนเป็นข่าว กลับทำให้ทั้งโรงแรมศรพันวา และวิหารสมเด็จโต เป็นที่รู้จักมากขึ้น ทำให้ได้โฆษนาฟรีๆ กรณีห่อหมกของคุณแม่ของคุณม้า อรนภา
ที่ถูกโจมตีก็เช่นเดียวกัน ห่อหมกจึงขายดิบขายดีจนทำแทบไม่ทัน
ลัทธิความเชื่อดังกล่าวนี้ ได้สร้างความแตกแยก ร้าวลึกในสังคมไทยยิ่งกว่าในยุคใดๆในอดีต ที่น่าหนักใจที่สุดคือ เราไม่สามารถใช้เหตุผลกับคนในลัทธินี้ได้ เพราะเขาจะไม่ฟังคนที่จัดว่าอยู่คนละฝ่าย ไม่ว่าจะมีเหตุผลดีสักเพียงไหน
ความแตกแยกขัดแย้งครั้งนี้ มองอย่างไรก็รังแต่จะเป็นผลเสียต่อประเทศชาติ จะทำให้ประเทศถึงทางตัน เดินต่อไม่ได้อีกครั้ง ที่น่าเสียดายคือมาถึงจุด peak ในช่วงที่การระบาดของโควิด ยังคงรุนแรงอยู่ในประเทศอื่นๆทั่วโลก ประเทศไทยซึ่งเกือบจะปลอดโควิด กลับต้องมาเผชิญกับปัญหาที่คนไทยด้วยกันเองสร้างขึ้น
อย่ามาอ้างเลยว่า ต้องการประชาธิปไตย และขับไล่เผด็จการ หรือหยุดการสืบทอดอำนาจ หากแต่ต้องการเอาอำนาจมาเป็นของกลุ่มตัวเองเท่านั้น
จริงหรือไม่
ปรากฏการณ์ ศรีพันวา และปรากฏการณ์ สรพงษ์ ชาตรีเป็นปรากฏการณ์ครั้งล่าสุด ที่ตอกย้ำว่า...
โพสต์โดย Harirak Sutabutr เมื่อ วันพุธที่ 23 กันยายน 2020
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |