ต้องถือเป็นปีแรกที่กองบัญชาการกองทัพบก (บก.ทบ.) ในยุค “พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์” ผู้บัญชาการทหารบกที่ใกล้จะกลายเป็นอดีต ได้ จัดพิธีเทิดเกียรติและอำลาชีวิตราชการทหารชั้นนายพล ขึ้นที่กองบัญชาการกองทัพบกเป็นครั้งแรก จากเดิมที่โรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า บริเวณเขาชะโงก ต.พรหมณี อ.เมือง จ.นครนายก ซึ่งก็จัดยิ่งใหญ่สมเกียรติ ...๐ ที่น่าจะเป็นไฮไลต์มากที่สุดคือ “พล.อ.ณรงค์พันธ์ จิตต์แก้วแท้” หรือบิ๊กบี้ ผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารบก ที่ในวันที่ 1 ต.ค.จะเป็น ผบ.ทบ.คนใหม่ กล่าวเทิดเกียรติในงาน ซึ่งถือเป็นการกล่าว “วิสัยทัศน์” กลายๆ ของ ผบ.ทบ.คนใหม่ก็ว่าได้ โดยได้ประกาศว่า “จะอุทิศกำลังกาย กำลังใจ ดำเนินภารกิจทุกด้านของกองทัพเพื่อพิทักษ์รักษา เอกราช อธิปไตย ความสงบเรียบร้อยของชาติและผลประโยชน์ของส่วนรวมเป็นสำคัญ ปกป้อง ค้ำจุนสถาบันพระมหากษัตริย์ด้วยความจงรักภักดีอย่าง...ทำหน้าที่ให้ดีที่สุดเพื่อให้สังคมมีความปกติสุข มีความรักความสามัคคี” ...๐ งานนี้คงต้องตีความกันเอาเองว่า “คำเทิดเกียรติ” ของบิ๊กบี้นั้นส่งสัญญาณอะไร แต่ที่แน่นอนคือ พระบรมราชโองการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้นายทหารรับราชการสนองพระเดชพระคุณนั้น มีการประกาศในราชกิจจานุเบกษาเมื่อวันศุกร์ที่ 18 กันยายน 2563 ที่ต้องบอกว่ามาแบบสายฟ้าแลบ แทบไม่มีใครตั้งตัวทันกันเลยทีเดียว ...๐ แปลกแต่ก็เกิดขึ้นแล้ว โดย “กลุ่มคณะประชาชนปลดแอก” ได้จัดกิจกรรม "จับ ส.ว.ลงหม้อ" ซึ่งก็เลือก “กองบัญชาการกองทัพบก” เป็นที่แรก มีทั้งกิจกรรมแห่กระชากวิญญาณและพิธีกรรมจับผีร้าย ส.ว.โดยตำแหน่ง ทั้งที่ใน บก.ทบ.กำลังจัดงานเทิดเกียรติ ต้องบอกว่าไม่รู้จักสัมมาคารวะแต่ประการใด แต่ก็คงไม่แปลก เพราะเขาเหล่านี้ไม่ยึดเรื่องอาวุโสหรือกาลเทศะอยู่แล้ว ซึ่งก็น่าคิดอย่างยิ่ง หากกลุ่มคนเหล่านี้เกิด จัดงานแต่งงานหรืองานบุญทั้งหลาย (ซึ่งก็ไม่น่าจะมี) แล้วมีคนส่งพวงหรีด หรือไปสาปแช่งให้ตกนรกหมกไหม้ก็คงไม่สามารถโกรธหรือว่าใครได้  เพราะตัวเองก็ทำเป็นเยี่ยงอย่างอยู่แล้ว ...๐ พูดถึงเรื่องบุญเรื่องบาป ไม่เอ่ยอ้างถึงคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ที่ยกฟ้องในคดีฟอกเงินทุจริตจัดสรรงบประมาณสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) ของวัดสามพระยาที่อัยการยื่นฟ้อง “เอื้อน กลิ่นสาลี” หรืออดีตพระพรหมดิลก อดีตเจ้าอาวาสวัดสามพระยา ที่ศาลชั้นต้นสั่งจำคุก 6 ปี และ “สมทรง อรรถกฤษณ์” อดีตพระอรรถกิจโสภณ ที่ถูกจำคุก 3 ปี ...๐ เรียกว่า “คดีพลิก 360 องศา” อย่างแท้จริง ซึ่งก็ไม่แปลกที่ทำให้ “พระมหานรินทร์ นรินฺโท” แห่งวัดไทยลาสเวกัส รัฐเนวาดา สหรัฐอเมริกา ได้เขียนวิเคราะห์ไว้ในเว็บไซต์อะลิตเติ้ลบุ๊ดด่ะดอทคอมว่า อาจซ้ำรอยยุค "จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์" พร้อมทั้งระบุว่าตอนนี้เหลือทางหนีตราบาปสุดท้ายคือ กราบขอขมาพระสงฆ์ทุกรูป คืนผ้าเหลือง คืนตำแหน่ง คืนฐานันดรศักดิ์ และเยียวยาท่านให้เหมาะสมกับบาปกรรมที่ทำลงไป ไม่เช่นนั้นถึงตายไปก็คงไม่ได้ผุดไม่ได้เกิด …๐ หันมาเรื่องการมุ้งการเมืองว่าด้วยการแก้ไขรัฐธรรมนูญกันบ้าง เมื่อมีการประชุมรัฐสภาเพื่อพิจารณาเรื่องด่วน การแก้ไขรัฐธรรมนูญ 6 ญัตติที่เป็นของฝ่ายค้าน 5 ฉบับและฝ่ายรัฐบาล 1 ฉบับ ที่ขำไม่ออกคือ การอภิปรายของพลพรรคฝ่ายค้าน ซึ่งประเดิมด้วยผู้นำฝ่ายค้านโลกลืมอย่าง “สมพงษ์ อมรวิวัฒน์” ส.ส.เชียงใหม่ และหัวหน้าพรรคเพื่อไทย แต่ที่ถึงต้องเหวอเมื่อ “น.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ” เลขาธิการพรรคเพื่อไทย ที่อ้างไปถึงพระพุทธเจ้าในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ...๐ ที่น่าดรามาสุดๆ คงไม่พ้น “พิธา ลิ้มเจริญรัตน์” ที่ในยุคเป็นสมาชิกพรรคอนาคตใหม่สร้างความฮือฮาจากทฤษฎีกระดุม 5 เม็ด แต่พอขึ้นเป็น หัวหน้าพรรคก้าวไกลชักเริ่มออกทะเลขึ้นเรื่อยๆ เพราะล่าสุดไปถึงลูกสาววัย 4 ขวบของตัวเองเพื่อมาเป็น “ทาร์ซาน” ด่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พร้อมทั้งตำหนิว่าเป็น “ยุคประชาธิปไตยสลึงเดียว” แต่สงสัย “พิธา” ลืมถามแม่ของลูกหรืออาจตกเลขก็เป็นได้ เพราะบอกว่าลูกสาวเกิดเมื่อปี 2557 พร้อมบอกว่าปัจจุบันอายุ 4 ขวบ!!! แหมนี่เป็นสูตรคณิตศาสตร์แบบไหนก็ต้อง 5-6 ขวบนะ สงสัยงานนี้คงต้องถาม “ศรันย์ ฉุยฉาย” หรือ “อั๊ม เนโก๊ะ" ที่เคยลากไส้ “พิธา” ว่าเพราะอะไรถึงได้มั่วนิ่มกันขนาดนี้ ...๐ ทิ้งท้ายด้วย ข่าว “โจ๊ก” พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ หักพาล ที่ปรึกษาประจำสำนักนายกฯ กันบ้าง เพราะอยู่ดีๆ ก็กลายเป็นข่าวอีกครั้ง จากการฟ้อง “ลุงตู่” ซึ่งทำให้ใครต่อใครนำไปเทียบคดีย้าย “ถวิล เปลี่ยนศรี” ในยุค “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” กันใหญ่โต แต่ก็ต้องเอวังด้วยประการทั้งปวง เมื่อ “เนติบริกร” อย่าง “วิษณุ เครืองาม” รองนายกฯ ตอกฝาโลกว่าเทียบกันไม่ได้ เพราะ “บิ๊กตู่” นั้นใช้อำนาจหัวหน้า คสช.นะจ๊ะ ไม่ใช่อำนาจนายกรัฐมนตรี ...๐