21 ก.ย.63 - นายนันทิวัฒน์ สามารถ อดีตรองผู้อำนวยการสำนักข่าวกรองแห่งชาติ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กโโยมีเนื้อหาดังนี้
ความสำคัญของสถาบันพระมหากษัตริย์
สถาบันพระมหากษัตริย์เป็นสิ่งคู่แผ่นดินไทย หากนับย้อนไปแค่กรุงสุโขทัย ได้ร่วม 700 ปี เป็นประวัติศาสตร์ที่ยาวนานมาก
ในรัชสมัยสุโขทัย พระมหากษัตริย์ทรงมีระฆังไว้หน้าพระราชวังให้ประชาชนได้ร้องทุกข์ และทรงตัดสินคดีความด้วยพระองค์เอง
ในสมัยกรุงศรีอยุธยา เป็นยุคสมัยของการสร้างประเทศ แผ่อาณาเขต รวมศูนย์อำนาจเข้าสู่กรุงศรีฯ ตลอดจนการรบปกป้องแผ่นดินจากการรุกรานของข้าศึกศัตรู พระมหากษัตริย์จึงต้องกล้าหาญเด็ดเดี่ยวทรงเป็นนักรบและนำการรบด้วยพระองค์เอง คราใดที่มีพระมหากษัตริย์อ่อนแอ กรุงศรีฯก็จะเสียกรุง
หากประเทศไทยไม่มีพระมหากษัตริย์ที่เข้มแข็ง ไม่มีสายพระเนตรที่ยาวไกล ป่านนี้ไทยอาจต้องตกเป็นเมืองขึ้นของประเทศ
นักล่าอาณานิคมไปแล้ว
สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชระหว่างทำสงครามกู้ชาติไม่มีเงินที่จะเลี้ยงดูทหารและไม่มีเงินมากพอที่จะสร้างชาติจนต้องหยิบยืมกู้เงินจากจีน สมเด็จพระนั่งเกล้าทรงเก็บเงินที่ได้จากการค้าขายไว้ในถุงแดง และทรงตรัสเงินถุงแดงเหล่านี้ไว้ใช้ในอนาคต
ในรัชสมัยพระปิยะมหาราช สยามถูกฝรั่งเศสชาตินักล่าอาณานิคมที่คุณปิยะบุตรชื่นชอบและยกย่อง รังแกพยายามเอาสยามเป็นเมืองขึ้น หาเรื่องบีบคั้นสยามมาโดยตลอด รุกรานด้วยกองเรือรบมาจอดเทียบหน้าพระบรมมหาราชวัง ด้วยเงินถุงแดงที่ในหลวง ร.3 สะสม นี้แหละที่ใช้ไถ่ถอนประเทศ และพระองค์ต้องยอมตัดใจเสียดินแดนฝั่งซ้ายและฝั่งขวาของแม่น้ำโขง ตลอดจนดินแดนบางส่วนของเขมร เสียมราช พระตะบองและศรีโสภณให้ฝรั่งเศส เพื่อรักษาจันทบุรีและตราดไว้ให้คงอยู่กับสยาม และด้วยเงินพระราชทรัพย์ของพระมหากษัตริย์นี้ที่ทรงนำมาพัฒนาประเทศ ทั้งสร้างทางรถไฟ ถนนหนทาง การโทรเลขและส่งบรรดาพระราชโอรสและคนไทยไปเรียนวิชาการสมัยใหม่ในยุโรป ตลอดจนตั้งโรงเรียนมหาดเล็ก เพื่อเตรียมคนเข้าทำงานในระบบราชการสมัยใหม่ที่ต่อมาพัฒนาเป็นจุฬาลงกรณมหาวิทยาลัย ตั้งโรงเรียนนายร้อย โรงเรียนแผนที่ทหาร ปรับปรุงระบบราชการใหม่หมด
ด้วยพระเมตตาของล้นเกล้าในหลวงร.7 เมื่อถูกคณะราษฏรยึดอำนาจ พระองค์ไม่ประสงค์ที่จะต่อสู้ แม้ฝ่ายคณะราษฏรจะมีกำลังเพียงหยิบมือเดียว กำลังทหารฝ่ายจงรักภักดีจะมีอยู่มากมาย แต่ไม่ทรงประสงค์ที่จะเห็นคนไทยต้องเสียเลือดเนื้อ เพราะพระองค์มีพระประสงค์ที่จะให้สยามพัฒนาไปสู่ประชาธิปไตยและมีรัฐสภาเช่นยุโรปอยู่แล้ว แต่สุดท้าย ล้นเกล้ารัชกาลที่ 7 ทรงตัดสินพระทัยสละราชย์ เนื่องจากไม่ทรงเห็นด้วยกับการกระทำของคณะราษฏร์ และไม่ประสงค์เป็นหุ่นให้คณะราษฏร และทรงบันทึกประวัติศาสตร์หน้านี้ไว้ว่า
เมื่อรัฐธรรมนูญไม่ได้เป็นประชาธิปไตยโดยสมบูรณ์ พระมหากษัตริย์ต้องมีอำนาจส่วนหนึ่ง แต่คณะราษฏรต้องการให้กษัตริย์(เป็นตรายาง) เป็นพิธีการ ทรงบันทึกไว้ว่า "เต็มใจสละอำนาจของข้าพเจ้า แต่เดิมให้ประชาชน แต่ไม่ยินยอมยกอำนาจของข้าพเจ้าให้ผู้ใด คณะใดโดยเฉพาะ เพื่อใช้อำนาจโดยสิทธิขาด โดยไม่ฟังเสียงอันแท้จริงของราษฏร"
เมื่อคนไทยเกิดมา ลืมตาดูโลก เราก็มีสถาบันพระมหากษัตริย์ที่ทรงมีพระเมตตา ดูแลทุกข์สุขของประชาชน พระมหากษัตริย์ไม่เคยทำอะไรให้คนไทยเดือดร้อน มีแต่คอยช่วยเหลือ ทรงทำในสิ่งที่รัฐบาลทำไม่ได้หรือไม่เคยทำ
ความทุกข์ยาก และปัญหาของคนไทยทุกวันนี้ มาจากนักการเมืองที่โกงกิน คอร์รัปชัน ไม่ใช่สถาบันพระมหากษัตริย์อย่างแน่นอน
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |