ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ส่งเสริมการดูแลสิ่งแวดล้อม เพื่อเป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ริเริ่มโครงการ Care the Wild “ปลูกป้อง Plant & Protect” ผนึกกำลังทุกภาคส่วนร่วมรับมือการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อม ด้วยการสร้างพื้นที่ป่า และติดตามการเติบโตของไม้ที่ปลูกตลอดโครงการ ด้วยหลักธรรมาภิบาลเปิดเผยข้อมูล ติดตาม-เรียนรู้-ดูแล ผ่าน Application “Care the Wild” มุ่งสร้างระบบนิเวศให้สมดุล สอดรับเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืน (SDGs) ข้อ 13 Climate action และขับเคลื่อนการทำงานด้วยข้อ 17 Partnerships for the goals ตั้งเป้าภายใน 1 ปี ปลูกป่า 500 ไร่ เพื่อลดปริมาณก๊าซเรือนกระจก 900,000 กิโลกรัมคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าต่อปี
นายภากร ปีตธวัชชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กล่าวว่า ตลาดหลักทรัพย์ฯ พัฒนาแพลตฟอร์ม “SET Social Impact” ส่งเสริมการดูแลสิ่งแวดล้อม โดยริเริ่มโครงการ Care the Wild “ปลูกป้อง Plant & Protect” ถือเป็นแพลตฟอร์มความร่วมมือ (Collaboration Platform) ให้เกิดการพัฒนาอย่างยั่งยืนในเรื่องการดูแลสิ่งแวดล้อมด้วยการเพิ่มพื้นที่ป่า โดยมีกลไกการดำเนินงานด้วยการระดมทุนในการปลูกต้นไม้ใหม่ ปลูกต้นไม้เสริม และส่งเสริมการดูแลต้นไม้ ร่วมกับภาคีองค์กรเครือข่ายทั้งภาครัฐและเอกชน มีสัญลักษณ์ช้างรักษ์ป่า “พี่ปลูกป้อง” เชิญชวนทุกภาคส่วนร่วมเรียนรู้เรื่องระบบนิเวศ พืช สัตว์ สิ่งแวดล้อม และร่วมระดมทุน “ปลูก” ต้นไม้ รวมทั้งเน้นการร่วมดูแลต้นไม้ที่ปลูกให้เติบโตบนหลักการธรรมาภิบาล จนกลายเป็นผืนป่าอย่างแท้จริง ภายใต้แนวคิด “ป้อง” กล่าวคือ ผู้ระดมทุนปลูก ร่วมติดตามการเติบโตของต้นไม้ การทำงานของชุมชน การมีส่วนร่วมในการขยายผลเพื่อพัฒนาชุมชน และร่วมดูแลเอาใจใส่ไม้ปลูกให้เติบโตเป็นส่วนสำคัญของการขยายแนวผืนป่าของประเทศ ผ่าน Application “Care the Wild”
ทั้งนี้ กรมป่าไม้ ภาคีหน่วยงานภาครัฐ ได้นำเสนอพื้นที่ป่าชุมชนร่วมโครงการในเบื้องต้นรวม 717 ไร่ ในพื้นที่ 7 จังหวัด ประกอบด้วย ป่าชุมชนบ้านเขาหัวคน จ.ราชบุรี, ป่าชุมชนบ้านพุตูม จ.เพชรบุรี, ป่าชุมชนบ้านใหม่ จ.เชียงราย, ป่าชุมชนบ้านนาหวาย จ.น่าน, ป่าชุมชนบ้านหนองปิง จ.กาญจนบุรี, ป่าชุมชนบ้านโคกพลวง จ.นครราชสีมา และป่าชุมชนบ้านหนองทิศสอน จ.มหาสารคาม โดยแต่ละพื้นที่ของป่าชุมชนจะมีเอกลักษณ์ จุดเด่น ด้านระบบนิเวศและการพัฒนาชุมชนที่แตกต่างกัน องค์กรธุรกิจสามารถเลือกพื้นที่ในการสนับสนุนการปลูกไม้ได้หลากหลาย และมีส่วนร่วมในการพัฒนาชุมชน เรียนรู้ระบบนิเวศร่วมกับชาวบ้านผู้รักษาป่าได้อีกด้วย
“โครงการ Care the Wild มีเป้าหมายที่จะปลูกป่าจำนวน 500 ไร่ (100,000 ต้น) ร่วมกับองค์กรธุรกิจพันธมิตรในระยะเวลา 1 ปีแรกหลังเปิดโครงการ ซึ่งการปลูกป่าจะสร้างผลลัพธ์ในการลดปริมาณก๊าซเรือนกระจกได้ถึง 900,000 กิโลกรัมคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าต่อปี องค์กรที่เข้าร่วมโครงการนอกจากจะเป็นภาคีในความร่วมมือเพื่อลดโลกร้อนแล้ว ยังสามารถร่วมทำงานพัฒนาชุมชนได้อย่างยั่งยืน” นายภากรกล่าว
ปัจจุบันโครงการ Care the Wild มีองค์กรพันธมิตรเข้าร่วมแล้ว อาทิ บมจ.ธนาคารกรุงศรีอยุธยา สมาคมบริษัทหลักทรัพย์ไทย สมาคมบริษัทจัดการลงทุน ชมรมคัสโตเดียน ชมรมปฏิบัติการหลักทรัพย์ บริษัท ศูนย์รับฝากหลักทรัพย์ (ประเทศไทย) จำกัด (TSD) และบริษัท สำนักหักบัญชี (ประเทศไทย) จำกัด (TCH) ทั้งนี้ องค์กรที่สนใจเข้าร่วมโครงการติดต่อได้ที่ [email protected] ดูรายละเอียดเพิ่มเติม www.setsocialimpact.com สำหรับบุคคลทั่วไปสามารถร่วมปลูกป่าผ่าน Application “Care the Wild” ดาวน์โหลดได้ทั้งระบบปฏิบัติการ IOS และ Android เพื่อติดตามข้อมูลและกิจกรรมได้แล้ววันนี้