(ต้นมะพร้าวแนวนอนในตำนาน หนึ่งในจุดถ่ายภาพขึ้นชื่อของเกาะพะงัน บนถนนหินกอง)
เสียงตึงๆ ตังๆ จากห้องด้านบนปลุกให้ตื่นตั้งแต่ประมาณ 7 โมงเช้า ทราบในเวลาต่อมาว่าห้องด้านบนเป็นห้องใหญ่ของครอบครัวฝรั่ง มีพ่อ แม่ และลูกวัยกำลังซนอีก 3 คน พวกเขาเป็นแขกรายเดือน พักอยู่ตั้งแต่ช่วงก่อนโควิด-19 ระบาด ภายในห้องใหญ่นั้นแบ่งเป็นห้องนั่งเล่น ห้องครัว และห้องนอนใหญ่ 2 ห้อง ด้านบนที่พื้นห้องเป็นเพดานห้องของผมน่าจะเป็นห้องนั่งเล่น หรือสำหรับเด็กๆ แล้วก็คือห้องวิ่งเล่น เด็กๆ ตื่นเช้าตามธรรมชาติของพวกเขา ตื่นแล้วเริ่มวิ่งเล่นทันที
นอกจากครอบครัวดังกล่าวแล้ว ที่พักแห่งนี้มีฝรั่งผู้ชายวัยเฉียดๆ 60 ปี เป็นครูสอนโยคะอยู่บนเกาะพะงันพักอยู่ห้องข้างๆ ผม และฝรั่งผู้หญิงวัยไล่เลี่ยกับครูสอนโยคะพักอยู่ในบังกะโลแยกส่วนออกไปจากตัวอาคาร ป้าแกมีวีซ่าพำนักระยะยาวของผู้เกษียณอายุ อยู่มาตั้งแต่ก่อนโควิดแล้วเช่นกัน
แม้มีแขกพักอยู่รวมกันเพียงแค่สามสี่ห้อง แต่รีสอร์ตแห่งนี้ก็ไม่ได้ปิดชั่วคราวเหมือนอีกหลายแห่ง นอกจากให้บริการห้องพักแล้วร้านอาหารของที่นี่ค่อนข้างมีชื่อ มีลูกค้าจากภายนอกเข้ามากินมื้อค่ำอยู่เป็นประจำ อีกเหตุผลที่ผมประมวลเอาเองก็คือเปิดเพื่อเลี้ยงพนักงานนับสิบชีวิตที่มาจากประเทศเพื่อนบ้านของเรา
ผมล้างหน้าล้างตาแล้วเดินลงไปหาดเจ้าเภา ด้านล่างของร้านอาหารรีสอร์ต มีโต๊ะไม้ไผ่ตั้งเรียงกันตามแนวหาด 4 ตัว โต๊ะแต่ละตัวมีเก้าอี้ไม้ไผ่วางชิดกัน 2 ตัว หันหน้าไปทางทะเลที่อยู่ห่างไปน้อยกว่า 5 เมตร โครงไม้ไผ่ขึงผ้าสีม่วงเป็นหลังคา ดูเป็นการตกแต่งมากกว่ากันแดดกันฝน คลื่นลมเช้านี้เงียบสงบ แสงอาทิตย์ไม่แยงตา เพราะทิศทางขึ้นอยู่อีกฝั่งของเกาะ
(หาดยาว เกาะพะงัน)
คุณป้าฝรั่งนั่งดื่มกาแฟอยู่ ดูอารมณ์ดี ยิ้มแย้มเห็นฟันขาวเรียงกัน เรียกให้ผมเข้าไปนั่ง แกใช้มือตบเก้าอี้ตัวที่ว่าง “ซิตดาวน์ ซิตดาวน์” เราเจอกันแล้วตั้งแต่เมื่อคืนนี้ แกถามผมว่า “ชื่ออะไรนะ ฉันลืมเสียแล้ว” ผมบอกชื่อแกไป ความจริงเรายังไม่ได้แนะนำตัวกันมาก่อน ป้าโชว์สร้อยคอทองคำที่มีแผ่นเล็กๆ บางๆ แกะเป็นชื่อของแก ตัวอักษรเรียงกันว่า Diana ผมดึงเก้าอี้ออกมานิดหนึ่งแล้วนั่งลงสนทนา
ผมอยากได้กาแฟ แต่บริการอาหารเช้าของรีสอร์ตเริ่มในเวลา 8 โมงครึ่ง ป้าไดอานาบอกว่าแกมีเครื่องทำกาแฟในห้องพัก ช่วงหลังมีเวลาว่างเยอะก็ยังยกร่องปลูกผักสลัดไว้กินเอง เสนอว่าถ้าอยากได้กาแฟตอนนี้แกก็จะไปชงให้ ผมขอบคุณและปฏิเสธด้วยความเกรงใจ
ป้าไดอานาเป็นคนอังกฤษ ใช้ชีวิตส่วนใหญ่ในสหรัฐ และมีบ้านอยู่ริมชายหาดแห่งหนึ่งในเม็กซิโก ยามไม่อยู่ก็ให้คนเช่า จึงมีรายได้มาอยู่เมืองไทยได้สบายๆ เวลานี้ยาไทรอยด์และยาฮอร์โมนของแกใกล้จะหมด สั่งซื้อไปที่สหรัฐ บริษัทขนส่งกลับส่งไปที่อิสราเอล จากอิสราเอลถูกโยนต่อไปที่ยุโรปสามสี่ประเทศ ล่าสุดมาถึงเมืองไทยที่ด่านศุลกากรสุวรรณภูมิแล้ว แต่ยังไม่มาถึงป้าไดอานา เพราะมีปัญหาเกี่ยวกับเอกสาร
แกว่าในกล่องมีชื่อคนไข้และชื่อหมอกำกับอยู่แล้ว แต่ศุลกากรยังไม่ให้ผ่าน ก่อนหน้านี้เคยใช้บริการบริษัทขนส่งอีกเจ้า ราคา 100 เหรียญฯ ยาถูกส่งถึงเกาะพะงันสะดวกโยธิน แต่คราวนี้ใช้บริการอีกเจ้า ลดราคาลงไป 50 เหรียญฯ ปัญหาก็เกิดขึ้น ผมถามว่าถ้ายาที่มีอยู่หมดลงเสียก่อนอาการของป้าจะเป็นอย่างไร ป้าแกทำท่าทางดึงทึ้งเส้นผมตัวเองแล้วลั่นหัวเราะ
พนักงานสาวเดินมาบอกว่าอาหารเช้าวันนี้พร้อมเร็วกว่าปกติ ผมหิวและอยากดื่มกาแฟ จึงขอปลีกตัวจากป้าไดอานาขึ้นไปยังร้านอาหาร ความจริงหากจะขอให้เสิร์ฟที่โต๊ะริมหาดก็คงไม่เป็นไร
ระหว่างที่ผมกินมื้อเช้า ป้าไดอานาเดินมาชวนไปเล่นโยคะ เป็นโยคะที่จ่ายเงินตามกำลังศรัทธาบริจาคของผู้เข้าร่วม แกบอกผมว่าโยคะคือเหตุผลที่แกเลือกมาพักที่เกาะพะงัน นี่คือชุมชนคนเล่นโยคะนอกประเทศอินเดียที่ใหญ่ที่สุดในโลก (คงจะเทียบกับขนาดของพื้นที่) นอกจากนี้แกยังเป็นคนรับประทานอาหารที่เรียกว่า “วีแกน” ซึ่งเป็นขั้นกว่าของมังสวิรัติ (เวเจ็ททาเรียน) และย่านศรีธนูของเกาะพะงันก็คือแหล่งรองรับผู้รักสุขภาพ อย่างที่ได้เล่าไปเมื่อตอนที่แล้วว่าเพื่อนของผมจากเนเธอร์แลนด์และเพื่อนของเธอจากออสเตรเลียเป็นมังสวิรัติทั้งคู่ และพวกเธอก็อาศัยอยู่ในย่านนี้
ป้าไดอานาให้พนักงานสาวจากเมียนมาช่วยหวีผมและมัดผมให้แกก่อนหิ้วเสื่อไปเล่นโยคะ คล้อยหลังไม่นานผู้จัดการร้านอาหารที่เป็นหนุ่มไทยเดินมาตักเตือนพนักงานสาวว่า งานรับผิดชอบยังทำไม่เสร็จ ทีหลังอย่าเพิ่งไปจัดการเรื่องผมเผ้าให้ป้าไดอานา
ตอนบ่ายผมขี่มอเตอร์ไซค์ไปกินมื้อเที่ยงที่ร้านไม่ไกลจากรีสอร์ต เจ้าของเป็นคนไทย พนักงานเสิร์ฟเป็นชาวพม่า คนทำอาหารก็เป็นชาวพม่า ราคาอาหารช่วงนี้ลดราคาลงประมาณ 20 เปอร์เซ็นต์ จากนั้นขี่มอเตอร์ไซค์ลงไปทางใต้สู่ย่านท้องศาลาเพื่อดื่มกาแฟกับเพื่อนที่ทำงานอยู่บนเกาะพะงัน
ร้านรวงปิดลงมากกว่าครึ่งหนึ่ง ที่เปิดอยู่ก็มีลูกค้าน้อยเต็มที นักท่องเที่ยวชาวไทยน้อยกว่าฝรั่งด้วยซ้ำ เหลือคนไทยที่ทำงานอยู่บนเกาะและคนท้องถิ่นช่วยกันประคับประคองเศรษฐกิจการค้าขาย ฝรั่งไม่ค่อยพักโรงแรมหรือรีสอร์ต หากแต่เช่าบังกะโลรายเดือนราคาถูกเป็นส่วนใหญ่และมักจะต่อราคาลงมา ด้านอาหารการกินฝรั่งส่วนมากซื้อวัตถุดิบจากร้านโมเดิร์นเทรดไปทำกับข้าวกินเอง บรรดาร้านอาหารจึงโหรงเหรงร้างลูกค้า
บ่ายแก่ๆ ผมขี่มอเตอร์ไซค์กลับที่พัก ค่ำวันนี้สองสตรีจากเนเธอร์แลนด์และออสเตรเลีย ได้นัดหมายเลี้ยงอาหารกลับคืนจากที่ผมเลี้ยงทั้งคู่ไปเมื่อคืนวาน จากนั้นทั้งสองศรีจะชวนไปเที่ยวผับดนตรีแนวเร็กเก้-สการ์ ชื่อว่า Rasta Home ที่มีโปรแกรมการแสดงคอนเสิร์ต ผมปฏิเสธคำชวนกินมื้อค่ำ แต่ตอบตกลงเรื่องดนตรี
ตอนเย็นขณะเวลาพระอาทิตย์ยังลอยดวงราว 20 องศาเหนือท้องฟ้าทางทิศตะวันตก ผมเดินไปยังบาร์ริมหาดของรีสอร์ตติดกันที่ได้แวะมาดื่มเบียร์เมื่อวานนี้ บาร์เทนเนอร์หนุ่มถอดเสื้อโชว์ผิวดำคล้ำและกล้ามแกร่งกำลังเป่าลูกโป่งตกแต่งสถานที่ เขาบอกว่าเป็นงานวันเกิดของผู้จัดการรีสอร์ต เธอเป็นสาวลูกครึ่ง พ่อปักษ์ใต้ แม่ฝรั่ง
(หาดสลัด)
สาวฝรั่งคนหนึ่งในชุดบิกินีกำลังคุยโทรศัพท์อยู่บนแคร่ริมหาด เธออยู่เกาะมานานและคงอาบแดดทุกวันจนผิวขาวกลายเป็นสีแทนจนออกคล้ำ ผู้หญิงไทยคนหนึ่งเดินเข้ามานั่งและแซวหนุ่มบาร์เทนเดอร์ ทำให้ผมทราบความสัมพันธ์ของหนุ่มบาร์เทนเดอร์กับฝรั่งในชุดบิกินี
ครู่ต่อมาผู้จัดการรีสอร์ตเดินถือขวดบรรจุเครื่องดื่มสีขาวขุ่นออกเหลืองอ่อนๆ มาวางหลายขวด ผมถามว่า “ลิมอนเชลโล?” เธอตอบว่า “สาโทค่ะ เพื่อนทำให้สำหรับวันเกิด มาดื่มด้วยกันนะคะ” เธออาจจะชวนไปตามมารยาท แต่ได้ยินประโยคนี้แล้วผมก็ต้องคิดหาของขวัญมากำนัลเจ้าของคำชวน
เบียร์หมดไป 1 ขวด ผมเดินจากบาร์เข้าไปยังพื้นที่รีสอร์ต ทะลุออกถนนหลังหาด เข้าร้านสะดวกซื้อ ชี้ไปที่สปาร์กลิงไวน์ขวดที่คิดว่าดีที่สุดในร้าน จ่ายเงินแล้วเดินกลับรีสอร์ตตัวเอง เข้าห้องพัก เปิดตู้เย็นสำหรับแช่สปาร์กลิงไวน์ แล้วออกไปกินมื้อค่ำคนเดียวในร้านอาหารของรีสอร์ต กินเสร็จก็กลับมาหยิบสปาร์กลิงไวน์ เดินไปยังบาร์ริมหาดอีกครั้ง
เจ้าของวันเกิดรับสปาร์กลิงไวน์ นำไปวางไว้บนเคาน์เตอร์ด้านหลังของบาร์ เธอเปิดตู้เย็นหยิบเบียร์ยี่ห้อที่ผมดื่มเป็นประจำมาให้ ผมนึกว่าเธอจะเอาสปาร์กลิงไวน์เข้าแช่ในตู้เย็น แต่ก็เปล่า เวลาต่อมามีผู้ใหญ่คนหนึ่งนำไวน์โรเซ (ไม่แช่เย็น) มาให้เธออีกขวด เธอก็วางไว้นอกตู้เย็นเช่นกัน ผมไม่เคยถามว่าเธอเป็นลูกครึ่งไทยกับอีกชาติใด แต่มั่นใจได้ว่าไม่ใช่ฝรั่งเศส อิตาลี และสเปนอย่างแน่นอน ไม่เช่นนั้นเธอจะต้องรักษาความเย็นของไวน์ที่ไม่ใช่ไวน์แดงไว้ในตู้เย็นก่อนจะเปิดดื่ม แต่ก็เป็นไปได้ เธอไม่คิดจะเปิดดื่มในคืนนี้
ผมไม่ได้ดื่มสาโทเข้าไปเลย เพราะไม่อยากเสี่ยงกับอนาคตของค่ำคืน ผู้จัดการรีสอร์ตชวนให้กินกับแกล้มที่วางอยู่บนโต๊ะกลางหลายอย่าง ผมไม่ได้แตะเช่นกัน มีแขกวันเกิดของเธอทั้งไทยและฝรั่งทยอยมาเรื่อยๆ คงจะมีครอบครัวฝ่ายคุณพ่อของเธอด้วย
มีหนุ่มลูกครึ่งอยู่หลังเคาน์เตอร์บาร์อีกคน เขาชวนผมคุย เพราะเห็นว่าเป็นคนแปลกหน้าและไม่ใช่ชาวต่างชาติ เขาก็เป็นผลิตผลพ่อไทยแม่ฝรั่ง พ่อเป็นคนพะงันดั้งเดิม แม่เป็นชาวเยอรมัน
คนไทยที่เป็นคู่รักของฝรั่ง ส่วนใหญ่แล้วเป็นผู้หญิงอย่างไม่ต้องสงสัย แต่ที่ภาคใต้ ผมมั่นใจว่าหนุ่มใต้พิชิตใจสาวฝรั่งได้มากกว่าบุรุษจากภาคใดๆ ด้วยรูปกายผิวดำคล้ำ กล้ามใหญ่ รอยสักทั่วกาย ไว้ผมเดดล็อก และจะให้ดีต้องควงกระบองไฟเก่งพ่วงท้ายความสามารถพิเศษอีกข้อ อย่างไรก็ตาม สำคัญสุดคือความกล้า เรื่องนี้หนุ่มใต้ไม่เป็นสองรองภาคใดเช่นกัน
สาวฝรั่งคนที่คุยโทรศัพท์อยู่ก่อนหน้านี้เข้ามานั่งหน้าบาร์บนเก้าอี้ติดกับผม บาร์เทนเดอร์หนุ่มผิวคล้ำผสมเครื่องดื่มให้เธอดื่ม หากับแกล้มมาให้เธอกิน และเดินมาพูดคุยหยอกล้ออยู่ไม่ห่าง แต่ไม่ถึงกับคลอเคลีย
เธอคนนี้เป็นชาวฝรั่งเศส กำลังจะเดินทางกลับปารีสในอีกวันสองวัน เช่นเดียวกับนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่ตกค้างอยู่ในเมืองไทย เนื่องจากสถานการณ์โควิด-19 รัฐบาลไทยได้กำหนดให้วันที่ 26 กันยายนนี้ เป็นวันสุดท้ายที่อนุโลมให้พำนักอยู่ได้โดยถูกตามกฎหมาย ไม่ติดแบล็กลิสต์
นักท่องเที่ยวต่างชาติส่วนใหญ่ยังไม่อยากกลับ พวกเขาหาหนทางต่างๆ เพื่อให้ได้อยู่ต่อ โดยตัวเลือกที่น่าจะพอช่วยได้มีอยู่ 2 เงื่อนไข คือไม่มีไฟลต์บินกลับและประเทศของตนกำลังประสบการระบาดอย่างหนัก ซึ่งจะต้องขึ้นอยู่กับการพิจารณาของเจ้าหน้าที่ และอีกจำนวนหนึ่งกำลังหาทางลงเรียนคอร์สต่างๆ โดยเฉพาะภาษาไทย ผมทราบจากเพื่อนคนหนึ่งว่าบนเกาะพะงันมีโรงเรียนสอนภาษา 3 แห่ง รับจนเต็มพิกัดทั้งหมดแล้ว และมีแห่งหนึ่งที่ถูกจับ เพราะรับมาจำนวนมากมายเกินกำลังการสอน
ผมดื่มเบียร์อีกขวดและจินโทนิกอีกแก้ว เดินไปอวยพรวันเกิดผู้จัดการสาว เธอชวนให้มาเที่ยวที่บาร์ในวันหลัง ผมก็ตั้งใจอย่างนั้น แต่พลาดโอกาสในช่วงสองสามวันที่เหลือจนไม่ได้กลับมาอีกเลย
(หาดยาว เกาะพะงัน)
สองสาวฝรั่งเพื่อนของผมขี่มอเตอร์ไซค์มารับที่หน้ารีสอร์ต พวกเธอไม่ยอมให้ผมขี่มอเตอร์ไซค์ไปเอง ผมขึ้นซ้อนท้ายเมลานีเพื่อนชาวดัตช์ไปยัง Rasta Home อยู่ห่างจากที่พักประมาณ 2 กิโลเมตร ถึงสถานเรกเก้-สการ์ในเวลา 3 ทุ่มครึ่ง ร้านสร้างด้วยไม้เกือบทั้งหมด คนแน่นอย่างเหลือเชื่อเหมือนไม่ใช่สถานที่ท่องเที่ยวของชาวต่างชาติในช่วงโควิด ที่เป็นเช่นนี้เพราะฝรั่งตกค้างโควิดอยู่บนเกาะคงจะเป็นหลักพันคน และการจัดปาร์ตี้แต่ละแห่งจะไม่จัดวันเดียวกันเพื่อให้ร้านใหญ่ๆ อยู่ได้ไม่ขาดทุน ตัวอย่างเช่น วันพฤหัสบดีจัดที่ Seaboard Bungalows ริมหาดยาว วันศุกร์จัดที่ Rasta Home ไม่ไกลกัน วันเสาร์ย้ายไปจัดที่ Hollystone ริมบึงบนภูเขา
สองสาวนอกจากเป็นมังสวิรัติแล้วก็ยังไม่ดื่มแอลกอฮอล์อีกต่างหาก พวกเธอซื้อโซดาและโทนิกและอาจจะมีน้ำเปล่าอีกคนละขวดก็อยู่ได้ทั้งคืน ผมไม่อนุญาตให้พวกเธอเลี้ยง เพราะจะได้กำไรจากเมื่อคืนอื้อซ่าแน่นอน อีกอย่างผมรู้ดีว่าเครื่องดื่มในร้านมี 2 ราคา คือราคาฝรั่งและราคาคนไทย บางทีมี 3 ราคา คือเพิ่มราคาคนใต้เข้าไปด้วย
เมลานีและเทรซีเพื่อนของเธอได้โต๊ะนั่ง ผมแวะเวียนไปมาระหว่างโต๊ะของพวกเธอกับเพื่อนคนไทยที่เพิ่งรู้จักกันไม่นาน เขาเป็นคนคุมระดับเสียงดนตรี ซึ่งทั้งเครื่องขยายเสียงและเครื่องดนตรีทุกชิ้น ยกเว้นกลอง เป็นของเขา
ผมเริ่มมั่นใจอีกอย่างว่าเมลานีและเทรซีน่าจะชอบพอกันในทางชู้สาว ทั้งคู่เกาะกุมมือกันผิดปกติวิสัยฝรั่งตะวันตกที่เป็นเพื่อนกัน ความจริงแล้วเมลานีเป็นคนสวยมาก แต่แปลกใจที่ผมไม่เคยหลงเสน่ห์ของเธอ อาจเพราะเธอตัวสูงมากกว่า 180 เซนติเมตร และผอมไปหน่อยจากการกินมังสวิรัติมาอย่างยาวนานก็เป็นได้ หรือไม่ก็เพราะเซนส์บางอย่างที่ว่าเธอไม่ชอบผู้ชาย
ร้านปิดแล้วเรายังอ้อยอิ่งกันต่ออีกพักใหญ่ ก่อนจะออกจากร้านประมาณตี 1 ครึ่ง เมลานีให้ผมซ้อนท้ายมอเตอร์ไซค์ของเธอ แต่ขี่ไปได้ไม่กี่ร้อยเมตรเธอออกอาการบังคับแฮนด์ไม่ค่อยมั่นคง จึงจอดแล้วโบกมอเตอร์ไซค์ฝรั่งอีกคันที่วิ่งตามมา เธอขอให้ผมซ้อนท้ายไปด้วย หนุ่มคนนั้นก็ยินดี
เช้าตรู่วันต่อมาผมถูกบังคับให้ตื่นด้วยเสียงวิ่งเล่นของเด็กๆ จากชั้นบนเหมือนเดิม.
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |