ถ้า "โจ ไบเดน" คว่ำ "โดนัลด์ ทรัมป์" ในการเลือกตั้งวันที่ 3 พฤศจิกายนนี้ เราควรจะคาดหวังทิศทางของวอชิงตันต่ออาเซียนอย่างไร?
ประเด็นที่น่าสนใจแรกๆ คือ ความสัมพันธ์ทางด้านความร่วมมือเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ต่อภูมิภาคนี้
ไบเดนจะกลับมาร่วมกับ CPTPP ที่ทรัมป์บอกลาไปหรือไม่
สหรัฐฯ ภายใต้พรรคเดโมแครตจะใช้มาตรการเรื่องเสรีภาพ, ประชาธิปไตย, สิทธิมนุษยชนเข้มข้นกว่ายุคทรัมป์มากน้อยเพียงใด
อเมริกาจะมีกิจกรรมทางทหารในทะเลจีนใต้เพิ่มมากกว่าปัจจุบันหรือไม่...และจะเผชิญหน้ากับจีนเพิ่มขึ้นหรือไม่
สหรัฐฯ จะให้ความสำคัญกับอาเซียนมากกว่ายุคของทรัมป์หรือไม่
และจะแสดงออกด้วยวิธีการใดเพื่อจะสกัดอิทธิพลของจีนที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในระยะหลังนี้
นายกฯ หลี่ เสียนหลงของสิงคโปร์ออกมาพูดและเขียนหลายครั้ง เตือนว่าสหรัฐฯ กับจีนไม่ควรจะกดดันให้ประเทศเล็กๆ ต้อง "เลือกข้าง"
ผมได้พูดคุยกับเอกอัครราชทูตสหรัฐฯ และจีนประจำประเทศไทยในประเด็นนี้
ทั้งสองท่านยืนยันว่า วอชิงตันและปักกิ่งไม่มีความประสงค์ที่จะบังคับให้ประเทศเล็กๆ รวมถึงประเทศไทยต้องเลือกข้าง
แต่อ่านระหว่างบรรทัดของคำแถลงเช่นนี้จากสองยักษ์ใหญ่ ก็พอจะเข้าใจได้ว่าถ้อยแถลงกับวิถีปฏิบัติของสหรัฐฯ กับจีนนั้นยังมีความแตกต่างกันพอสมควร
นายกฯ สิงคโปร์เตือนว่า การแข่งขันระหว่างสองมหาอำนาจไม่ควรจะทำลายโอกาสของความร่วมมือเพื่อสันติสุขและความเจริญก้าวหน้าของโลก
หลี่ เสียนหลงเขียนว่า เป็นเวลาหลายสิบปีที่ Pax Americana ภาษาละตินที่แปลว่า "สันติภาพอันเกิดจากอำนาจของสหรัฐฯ" ได้สร้างความเจริญรุ่งเรืองให้แก่โลก
หลังสงครามโลกครั้งที่สองสหรัฐฯ ได้ส่งเสริมการค้าเสรี และ "ระเบียบโลก" บนพื้นฐานของการไปมาหาสู่กันอย่างมีกฎกติกาและเปิดเผยโปร่งใส
สหรัฐฯ มีบทบาทเสมือนหนึ่งเป็น "ร่มแห่งความมั่นคง" ที่ทำให้ประเทศในเอเชียสามารถแข่งขันกันอย่างสันติ
ธุรกิจของสหรัฐฯ ก็ใช้บรรยากาศเช่นนั้นในการขยายกิจการเข้ามาในภูมิภาคนี้
จากนั้นจีนก็เปิดประเทศในปี 1978 และขยายความสัมพันธ์ทางการค้าและการลงทุนในเอเชีย... ขณะที่สหรัฐฯ ก็ยังคงไว้ซึ่งบทบาทของตนในย่านนี้เช่นกัน
แต่ผู้นำสิงคโปร์ตั้งข้อสังเกตว่าในระยะหลังนี้ (คงหมายถึงหลังจากที่โดนัลด์ ทรัมป์ขึ้นมาเป็นประธานาธิบดีเมื่อเกือบ 4 ปีก่อน) สหรัฐฯ ได้ปรับเปลี่ยนยุทธศาสตร์ด้านนี้ไป
ขณะที่จีนได้ขยายบทบาทของตนเองอย่างกว้างขวาง
และปรับตัวเองให้เป็น "พลังอำนาจของภูมิภาค"
เกิดคำถามว่าสหรัฐฯ ยังพร้อมที่จะ "แบกภาระ" ของการรักษาเสถียรภาพและความมั่นคงในภูมิภาคนี้ต่อไปหรือไม่เพียงใด
หรือจะยึดหลัก "อเมริกามาก่อน" (America First) เพื่อปกปักรักษาผลประโยชน์ของตนเองเป็นหลัก
ผู้นำสิงคโปร์ตั้งคำถามที่น่าสนใจมากว่า
"ทั้งสหรัฐฯ และจีนต้องเผชิญกับทางเลือกที่สำคัญ"
สหรัฐฯ ต้องตัดสินใจว่าตนจะมองจีนที่กำลังขยายบทบาทของตนในระดับโลกว่าเป็น "ภัยคุกคาม" ต่อสถานภาพของอเมริกาเองและพยายามสกัดทุกวิถีทาง
หรืออเมริกาจะยอมรับความจริงที่ว่าจีนก็มีสิทธิ์และความชอบธรรมที่จะเล่นบทบาทเป็น "ประเทศที่มีอำนาจสำคัญ" (Major power)
แน่นอนว่าหากสหรัฐฯ เลือกอย่างหลัง ก็หมายถึงการที่วอชิงตันต้องปรับตัวในหลายๆ ด้านที่อาจจะไม่สอดคล้องกับวิธีคิดและวิถีปฏิบัติแต่ดั้งเดิม
หลี่ เสียนหลงเสนอว่า แม้จะเป็นเรื่องที่ยากเย็นสำหรับอเมริกาในการปรับตัวให้เข้ากับระเบียบใหม่ของโลกที่มีจีนเป็นประเทศที่กำลังพุ่งขึ้นมาอย่างแรง แต่ในความเห็นของเขาแล้ว ก็เป็นเรื่องที่เหมาะควรที่วอชิงตันจะยอมรับในการหาทางอยู่ร่วมกับจีนอย่างสันติ พร้อมเข้าใจความมุ่งมั่นตั้งใจของจีนในการขยายบทบาทของตนเอง
สิงคโปร์มองว่าการที่ "ระเบียบโลกใหม่" จะสามารถเดินหน้าได้อย่างเกิดประโยชน์สูงสุดสำหรับทุกฝ่ายนั้น ทุกประเทศต้องยอมรับว่าจะต้องมีทั้ง
ความรับผิดชอบและความอดกลั้น...
สร้างความไว้วางใจซึ่งกันและกัน
ร่วมกันบริหารความขัดแย้ง
และช่วยกันสร้างบรรยากาศที่ปลอดภัยและมีเสถียรภาพ
สำหรับทั้ง "การแข่งขัน" และ "ความร่วมมือ"
หลี่ เสียนหลงใช้คำว่า competition and cooperation
ซึ่งผมเห็นว่าน่าจะเป็นประเด็นที่ควรแก่การนำมาถกแถลงในบ้านเราอย่างจริงจังและต่อเนื่อง
เพราะถึงเวลาแล้วที่ประเทศไทยเราจะต้องวิเคราะห์สถานการณ์โลกและภูมิภาคอย่างรอบด้าน ลุ่มลึกเพื่อนำไปสู่การออกแบบยุทธศาสตร์ของไทยภายใต้ "ระเบียบโลกใหม่" อย่างจริงจัง.
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |