วาทกรรมที่เป็นการกล่าวหารัฐบาลในขณะนี้ก็คือ เป็นรัฐบาล “เผด็จการ” เป็นรัฐบาลที่ “คุกคามประชาชน” เป็นรัฐบาลที่ “ลิดรอนเสรีภาพของประชาชน” และเป็นรัฐบาลที่ “ไม่เป็นประชาธิปไตย” แต่หากเราติดตามพฤติกรรมของ ส.ส.ฝ่ายค้านทั้งนอกสภาและในสภา ขบวนการกลุ่มการเมืองนอกสภา และขบวนการนักศึกษาปลดแอกที่พัฒนามาเป็นประชาชนปลดแอก เราก็จะเกิดความสงสัยว่า ถ้าหากรัฐบาลนี้มีพฤติกรรมเหมือนอย่างที่ปรากฏในวาทกรรมทั้งหลาย ทำไมพวกเขาจึงสามารถพูดจาหรือมีกิจกรรมทางการเมืองกันได้ขนาดนี้ พฤติกรรมของพวกเขาแสดงความกร่าง ไม่เกรงกลัวกฎหมายกันเลย พวกเขาทำหลายสิ่งหลายอย่างที่ผิดกฎหมาย ถ้าหากรัฐบาลจะใช้กฎหมายอย่างเข้มข้น ให้กฎหมายมีความศักดิ์สิทธิ์ พวกเขาจะทำสิ่งที่เขากำลังทำในขณะนี้ได้หรือ พวกเขาจะพูดจาปราศรัยกันในแต่ละครั้งที่มีการชุมนุมได้อย่างที่พวกเขาพูดจากันหรือ
มีกี่เรื่องแล้วที่พวกเขาปล่อยข่าวลือ ข่าวลวงที่เป็นความเท็จ เพื่อจะด้อยค่ารัฐบาล มีกี่เรื่องแล้วที่พวกเขาด่าทอต่อว่า ประณามนายกรัฐมนตรีเหมือนไม่ใช่คน ดูถูกความสามารถของนายกรัฐมนตรี กล่าวหานายกรัฐมนตรีเรื่องการโกง โดยไม่มีความจริงเชิงประจักษ์ ไล่ให้นายกรัฐมนตรีลาออกทุกวี่ทุกวัน โดยอ้างเหตุผลที่ไม่ตรงกับความเป็นจริง กล่าวหาว่านายกรัฐมนตรีบริหารประเทศได้แย่มาก ล้มเหลวไปทุกเรื่อง ทำอะไรก็ไม่เป็น หลายครั้งก็สรุปเอาดื้อๆ เลยว่านายกรัฐมนตรีเป็นปัญหาของบ้านเมือง เรียกร้องให้นายกรัฐมนตรีเสียสละด้วยการลาออก การพูดจาของพวกเขานั้น ทำให้พวกเราบางคนตั้งคำถามว่า ทำไมนายกรัฐมนตรีจึงมีความอดทน ไม่ทำอะไรกับคนที่พูดจาเลอะเทอะ กล่าวความเท็จอย่างต่อเนื่อง ขนาดนายกรัฐมนตรีแสดงความอดทน และไม่ได้จัดการกับพวกเขาด้วยความรุนแรง หรือความเข้มงวดของกฎหมาย ท่านยังต้องเจอวาทกรรมทั้งหลายที่กล่าวมาข้างต้น ถ้าหากท่านใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัดที่คงจะต้องใจกับวาทกรรม “นิติสงคราม” ที่กล่าวหาว่ารัฐบาลใช้กฎหมายปิดปากคนคิดต่าง แต่เราก็ได้ยินเสียงคนคิดต่างด่านายกรัฐมนตรีรายวัน โดยยังคงมีเสรีภาพในการแซะ แขวะ ด่ารัฐบาลแบบเกินความพอดี
เหล่าบรรดาคนที่จัดการชุมนุมนั้น ถ้าหากขออนุญาตจัดชุมนุมให้ถูกกฎหมายก็สามารถจัดการชุมนุมได้ แต่เมื่อมีการจัดการชุมนุม พวกเขาก็ทำผิดกฎหมาย บางคนก็ไม่ได้ขออนุญาตที่จะจัดชุมนุม บางคนก็ไม่ขออนุญาตการใช้เสียง บางคนก็อยู่เกินเวลา ที่สำคัญก็คือป้ายที่พวกเขายกนั้น ข้อความบนป้ายหลายข้อความจาบจ้วงล่วงละเมิดสถาบันพระมหากษัตริย์ คนที่ปราศรัยบนเวทีก็กล่าวความเท็จให้ร้ายสถาบันพระมหากษัตริย์ หลายข้อความที่พวกเขาพูดนั้นเป็นการยุยงปลุกปั่นให้ประชาชนชังชาติ ชังแผ่นดิน ชังสถาบันหลักของประเทศ หลายครั้งที่พวกเขาล้ำเส้น ตำรวจก็จะต้องจับตามหมายของศาล ก็จะกล่าวหาว่าเป็นการคุกคามประชาชน ทั้งๆ ที่พวกเขาทำผิดกฎหมาย เวลาที่ตำรวจไปเชิญตัว ก็จะต่อต้าน ทำทีท่าเหมือนตำรวจคุกคาม ทั้งๆ ที่ตำรวจอ่านข้อกล่าวหาว่าทำผิดกฎหมายมาตราใดให้ฟังอย่างสุภาพ แต่ก็พยายามขัดขืน เพื่อให้เกิดภาพว่าตำรวจลากถูลู่ถูกัง ที่เป็นภาพที่ไม่งามเลย แต่ทุกครั้งที่ตำรวจสอบสวนเสร็จ ศาลก็ให้ประกันตัวทุกครั้ง ก็ยังปฏิเสธการยื่นประกันยินดีที่จะเข้าไปนอนคุก เพื่อนำมาใช้ในการปลุกระดม พร้อมกับวาทกรรม “สู้เป็นไทย ถอยเป็นทาส” ทางรัฐบาลทำทุกอย่างตามกรอบของกฎหมาย แต่ก็ยังถูกกล่าวหาว่าเป็นเผด็จการที่คุกคามประชาชน และยังมี ส.ส.ฝ่ายค้านเรียกร้องให้รัฐบาลยกเลิกหมายจับทั้งหมด น่าแปลกใจว่าคนที่เป็น ส.ส.ไม่รู้เลยหรือว่ารัฐบาลไม่ได้เป็นผู้ออกหมายจับ แต่เป็นศาล ฝ่ายตุลาการที่รัฐบาลที่เป็นฝ่ายบริหารก้าวก่ายไม่ได้
พวกนักเรียนที่ผูกโบขาวและชูสามนิ้วในที่ต่างๆ ไม่พอใจกฎระเบียบของโรงเรียน ก็ออกมาไล่รัฐบาล (ไม่รู้ว่าคิดได้เอง หรือมีคนชี้นำ) หลายคนพยายามมองว่าเยาวชนพวกนี้เป็นพลังบริสุทธิ์ที่มีความกล้าหาญ ต้องการที่จะจัดการกับอนาคตของตนเอง ไม่ต้องการให้ผู้ใหญ่มากำหนดอนาคตของพวกเขา เวลานี้โรงเรียนหลายโรงเรียนเปิดพื้นที่ให้นักเรียนจัดการชุมนุมตามที่พวกเขาต้องการได้ เปิดโอกาสให้พวกเขาพูดและยินดีที่จะฟังข้อเรียกร้องของพวกเขา แต่เมื่อฟังคำพูดของบนเขาบนเวทีปราศรัย พวกเราต้องตกใจกับวิธีคิดของพวกเขา มันไปไกลเกินงาม มันไม่ใช่การเรียกร้องหาประชาธิปไตยหรือเสรีภาพของการกระทำที่สมเหตุสมผล แต่มันเป็นความต้องการที่จะทำอะไรตามใจตัวเองไปทุกเรื่องอย่างไม่มีขอบเขต แสดงให้เห็นทัศนะที่ไม่ต้องการให้ประเทศชาติ โรงเรียน และบ้านมีกฎกติกาใดๆ เลย ถ้าหากเป็นเช่นนั้น บ้านเมืองเราจะอยู่กันอย่างไร
เด็กๆ บอกว่าอยากจะคุยกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ท่านก็ออกมาพูดด้วย มาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับเด็ก มาฟังสิ่งที่เด็กต้องการจะพูด แต่ไม่ว่ารัฐมนตรีจะพูดอะไร น้องๆ ไม่ฟัง และเอาแต่โห่อย่างคนที่ไม่มีมารยาท การกระทำเช่นนี้หากรัฐบาลนี้เป็นเผด็จการที่คุกคามเด็กนักเรียนจริงๆ ตามวาทกรรมที่พวกเขาสร้างขึ้นมา ลองคิดดูว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับเด็กๆ ที่แสดงกิริยามารยาทที่แย่ขนาดนี้
นอกเหนือจากกลุ่มนักเรียนที่เป็นเยาวชนปลดแอกแล้ว เราหลายคนก็พอจะมองออกว่าใครเป็นคนใส่ชุดความคิดให้กับเยาวชนเหล่านี้ เราหลายคนก็พอจะเดาได้ว่าพวกเขาอยู่เบื้องหลังการแสดงออกของเยาวชนด้วยวัตถุประสงค์อะไร แต่พวกเขาก็ยังมีอิสระที่จะทำสิ่งที่พวกเขาต้องการ โดยไม่เกรงกลัวกฎหมาย และยังกล้าที่จะหมิ่นศาลด้วยการพูดอย่างชัดเจนว่ากระบวนการยุติธรรมของไทยล่มสลายจึงต้องออกมาสู้ โดยบอกกับเด็กว่าพวกเขาต้องลุกขึ้นมาสู้เพื่ออนาคตของพวกเขา เป็นการยุยงปลุกปั่นที่ส่งผลต่อการสั่นสะเทือนความมั่นคงของประเทสทางด้านวัฒนธรรม สถาบันหลักของประเทศ และสถาบันครอบครัว แม้ว่าการกระทำของพวกเขาจะเป็นอันตรายขนาดนี้ แต่รัฐบาลก็ไม่ได้ใช้อำนาจอะไรไปจัดการกับพวกเขา ทุกอย่างให้เป็นไปตามกระบวนการของกฎหมาย เช่นนี้แล้ว พวกเขาก็ยังพยายามจะสร้างภาพให้รัฐบาลเป็นเผด็จการที่ไม่มีความเป็นประชาธิปไตย ทำให้เกิดความสงสัยยิ่งนักว่า ถ้าหากรัฐบาลเป็นเผด็จการ ทำไมพวกเขาจึงทำอะไรได้มากมายขนาดนี้ ถ้าพวกเขาไม่มีเสรีภาพ ทำไมเขาจึงทำอะไรได้เกินงามขนาดนี้ กร่างท้าทายกฎหมายกันจังเลยนะพ่อคุณแม่คุณทั้งหลาย.
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |