สหรัฐฯ เริ่มจะสกัดการขยายตัวของจีนอย่างชัดเจน ทำให้ไทยเราต้องปรับยุทธศาสตร์ทุกมิติต่อมหาอำนาจทั้งสองอย่างครบทุกด้าน
สดๆ ร้อนๆ ที่ผ่านมา สัปดาห์ที่แล้วเพิ่งมีการเปิดเผย "รายงานพัฒนาการด้านการทหารและความมั่นคงที่เกี่ยวข้องกับสาธารณรัฐประชาชนจีน 2020" ที่ออกมาโดยสหรัฐฯ
รายงานยาว 200 หน้ากล่าวหาว่าจีนกำลังมองไทยเป็นหนึ่งในแผนยุทธศาสตร์ทางด้าน "โลจิสติกส์ทางทหาร" ในภูมิภาคอย่างน่าติดตาม
รายงานระบุว่า ประเทศที่จีนกำลังทาบทามเข้าเป็นพันธมิตรในลักษณะนี้มี ไทย, เมียนมา, สิงคโปร์, อินโดนีเซีย, ปากีสถาน และศรีลังกา
นอกนั้นยังมีประเทศต่างๆ ในแอฟริกาและเอเชียกลางเพื่อการนี้
ล่าสุดจีนได้ทาบทามนามิเบีย, วานูอาตู และหมู่เกาะโซโลมอน เพื่อใช้ประเทศเหล่านี้เป็นที่ตั้งฐานที่มั่นด้านการทหาร
อ่านแล้วจะเห็นว่าอเมริกาเชื่อว่าจีนมีความพยายามที่จะขยายแสนยานุภาพด้านการทหารทั่วมหาสมุทรอินเดีย
จีนเปิดฐานทัพถาวรในต่างประเทศเป็นครั้งแรกในจิบูตีเมื่อสามปีก่อน
สหรัฐฯ ตั้งข้อสงสัยใน "ความทะเยอทะยานทางทหารของจีน"
แต่จีนอ้างว่านั่นเป็นแค่ฐานทัพสนับสนุน เพื่อปฏิบัติการความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมและภารกิจคุ้มกันเท่านั้น
นักยุทธศาสตร์ของกระทรวงกลาโหมมะกันมองว่า การเข้าไปตั้งฐานทัพของจีนในจิบูตีเป็นการสนับสนุนศักยภาพการตอบโต้ทางทหารสำหรับเหตุการณ์ไม่คาดคิดต่างๆ ที่อาจส่งผลกระทบต่อการลงทุนของจีนและโครงสร้างพื้นฐานในภูมิภาคโดยปัจจุบัน
เพราะในทวีปแอฟริกานั้นมีชาวจีนอาศัยอยู่ประมาณ 1 ล้านคน
ในตะวันออกกลางก็มีคนจีนไม่น้อยกว่า 500,000 คน
ที่น่าสนใจสำหรับเราเป็นพิเศษคือ ตอนหนึ่งของรายงานนี้ที่บอกว่าวอชิงตันเชื่อว่ากัมพูชาได้ลงนามข้อตกลงลับๆ กับจีนเพื่อเปิดทางให้กองทัพจีนใช้ฐานทัพเรือแห่งหนึ่งเป็นฐาน
แต่ทั้งสองชาติได้ปฏิเสธเรื่องนี้อย่างเป็นทางการแล้ว
อเมริกาตั้งข้อสงสัยว่าจีนได้ลงทุนสร้างท่าเรือหลายแห่งทั่วมหาสมุทรอินเดีย
สหรัฐฯ มองว่าปักกิ่งมีเป้าหมายซ่อนเร้นบางประการ
นั่นคือยุทธศาสตร์ที่มีเป้าหมายขยายอำนาจทางเศรษฐกิจและการทหารของจีนให้ครอบคลุมท่าเรือสำคัญๆ ในมหาสมุทรอินเดีย
วันหนึ่งจีนอาจใช้ท่าเรือเหล่านี้เพื่อเป้าหมายทางทหารโดยกองทัพเรือของจีนก็ได้
ที่น่าสนใจอีกตอนหนึ่งของรายงานนี้คือ คำยืนยันว่ากระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ ที่เชื่อว่าจีนอาจเพิ่มปริมาณหัวรบนิวเคลียร์ในคลังสรรพาวุธอย่างน้อยสองเท่าในช่วงสิบปีข้างหน้า
ในความเห็นของนักวิเคราะห์ทางทหารของกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ เห็นว่าจีนต้องการเดินหน้าติดอาวุธนิวเคลียร์ทางบก ทางทะเล และทางอากาศ
รายงานนี้ฟันธงเลยว่าจีนต้องการเพิ่มจำนวนและพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ให้ทันสมัย เพื่อให้กองทัพของจีนเท่าเทียมหรือล้ำหน้ากองทัพของสหรัฐฯ ภายในปี 2592
ที่ต้องวิเคราะห์ละเอียดเป็นพิเศษคือ ตรงที่รายงานฉบับนี้ประเมินว่าทุกวันนี้จีนมีหัวรบนิวเคลียร์กว่า 200 ลูก และบางส่วนสามารถนำมาประกอบกับขีปนาวุธนำวิถีที่สามารถยิงข้ามทวีปมาถึงสหรัฐฯ ได้
ถ้าปักกิ่งสั่งสมหัวรบนิวเคลียร์ได้ถึงระดับที่กระทรวงกลาโหมมะกันวิเคราะห์ไว้ นั่นแปลว่ากองทัพจีนกำลังขยับเข้าใกล้การมีคลังแสงนิวเคลียร์ทางยุทธศาสตร์ที่สมบูรณ์ (nuclear triad)
นั่นหมายถึง "สามเหล่านิวเคลียร์"
อันหมายถึง
1.ขีปนาวุธข้ามทวีปที่สามารถยิงได้จากภาคพื้นดิน (ไอซีบีเอ็ม)
2.เครื่องบินทิ้งระเบิดที่โจมตีทางอากาศ (strategic bomber) และ
3.ขีปนาวุธที่ยิงจากเรือดำน้ำ (เอสแอลบีเอ็ม)
อเมริกาเองมีหัวรบนิวเคลียร์ประมาณ 3,800 ลูกซึ่งยังเหนือกว่าจีนอยู่มาก
ไม่แต่เท่านั้นสหรัฐฯ ยังมีเรือดำน้ำและเครื่องบินที่สามารถโจมตีด้วยอาวุธนิวเคลียร์ รวมทั้งขีปนาวุธที่สามารถยิงข้ามทวีปจากพื้นดินได้
สหรัฐฯ บอกว่าปลายปีที่ผ่านมาจีนได้เปิดตัวเครื่องบินทิ้งระเบิด H-6N ซึ่งสามารถเติมเชื้อเพลิงทางอากาศและติดอาวุธนิวเคลียร์ได้เป็นลำแรกของจีน
ข่าวกรองทางทหารของสหรัฐฯ แจ้งว่าในช่วง 15 ปีที่ผ่านมากองทัพเรือจีนได้สร้างเรือดำน้ำพลังงานนิวเคลียร์ 12 ลำ
ในจำนวนนี้ 6 ลำคือการสร้างการป้องปรามนิวเคลียร์ทางทะเลเป็นครั้งแรกของจีน
และอีกไม่นานจีนอาจสร้างเรือดำน้ำที่สามารถโจมตีด้วยขีปนาวุธนิวเคลียร์นำวิถี ที่อาจใช้ในปฏิบัติการลับเพื่อโจมตีภาคพื้นดินได้เช่นกัน
ทั้งหมดนี้แสดงชัดว่าสหรัฐฯ กำลังเห็นการสยายปีกทางความมั่นคงของจีนอย่างชัดเจน
ไม่เคยมีครั้งใดในประวัติศาสตร์ที่สหรัฐฯ จะรู้สึกว่ากองทัพจีนกำลัง "หายใจรดต้นคอ" ของตนขนาดนี้!
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |