อือมม์ม์ม์...สงสัยท่านนายกฯ ท่านคิดจะ อยู่ยาวว์ว์ว์ ไม่งั้น...คงไม่งัดเอาเรื่องแลนด์บร่ง แลนด์บริดจ์ การเชื่อมฝั่งทะเลตะวันตกกับตะวันออก อ่าวไทยกับอันดามัน การพัฒนาท่าเรืออะไรต่อมิอะไรต่างๆ ออกมา โยนก้อนหินถามทาง กันในช่วงระยะนี้ เพราะโดยเนื้อหา ลักษณะของโครงการที่ว่า เผลอๆ...อาจลากยาวว์ว์ว์ เกินกว่ายุทธศาสตร์ 20-30 ปี ไปอีกไม่รู้เท่าไหร่ต่อเท่าไหร่ เรียกว่า...ไล่มาตั้งแต่ยุคสมเด็จพระนารายณ์มหาราชโน่นเลย ก็ยังคงไม่แล้วเสร็จ หรือยังไม่มีโอกาสได้ริเริ่มจนตราบเท่าทุกวันนี้...
--------------------------------------------
แต่โดยหลักคิด วิธีคิด ที่ทำให้ท่านนายกฯ ท่านต้องหันมาพูดจา ว่ากล่าว กันในเรื่องทำนองนี้ อันที่จริง...ก็น่าจะออกไปทาง พืดอีก-ก็ถืกอีก อะไรทำนองนั้น คือถ้าว่ากันตามเนื้อข่าว ไทยโพสต์ ช่วงฉบับวันวานที่ผ่านมา ท่านนายกฯ ท่านสรุปเอาไว้ประมาณว่า... “ขณะนี้เรามุ่งเน้นไปถึงกรณีที่เราจะมีการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจใหม่ ที่ (เดิมที) ต้องพึ่งพาการส่งออกกับการท่องเที่ยว ซึ่งพอมันเกิดปัญหาขึ้นมาทั้ง 2 อย่าง ทำให้เศรษฐกิจเราตกต่ำมาก เพราะรายได้ของประเทศลดลง เราจำเป็นต้องสร้างเศรษฐกิจใหม่ และเรากำลังจะทำให้เกิดขึ้น ถึงแม้เราจะมีแผนงานอีอีซีแล้วก็ตาม วันหน้าเราก็ต้องหาโครงการขนาดใหญ่ในการที่จะลงทุนประเทศไทยให้มากขึ้นเพื่อเพิ่มรายได้ ซึ่งตรงนี้เป็นไปตามยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปีของเรา ฯลฯ”
---------------------------------------------
สิ่งที่เรียกว่า โครงการขนาดใหญ่ ที่ว่า...ก็เลยออกไปทางแลนด์บร่ง แลนด์บริดจ์ อะไรประมาณนั้น ยังไม่ถึงกับไปไกล ไปโลด หรือไปไม่กลับ-หลับไม่ตื่น-ฟื้นไม่มี ประเภทคิดจะแบ่งแยกดินแดน ตัดออกเป็น 2 ด้าม 2 ท่อน แบบประเภทโครงการตัดขุด คอคอดกระ ทำนองนั้น ซึ่งว่ากันว่า...เคยเริ่มๆ มาตั้งแต่ยุคสมเด็จพระนารายณ์มหาราชโน่นเลย แต่มาถึงบัดนี้ จนกระทั่ง กรุงแตกครั้งที่ 2 ก็แล้ว กลับมาฟื้นฟู บูรณะ กรุงธนฯ-กรุงเทพฯ จนกลายเป็นเมืองฟ้าอมร บวรรัตนโกสินทร์ มหินทรามหาดิลกภพ นพรัตน์ราชธานีบุรีรมย์ ฯลฯ มากว่า 200 ปีเข้าไปแล้ว ก็ยังไม่มีสิทธิ์เริ่มต้น ตั้งต้น แม้จนตราบเท่าทุกวันนี้...
-----------------------------------------------
การคิดรื้อฟื้นโครงการขนาดใหญ่ ขนาดยักษ์ ในระดับที่ว่า...จึงต้องถือเป็นเรื่องน่าคิด น่าสนใจเอามากๆ เพราะนอกจากคุณน้อง เต้-มงคลกิตติ์ ที่ได้หยิบเอาเรื่องราวทำนองนี้มาจุดพลุ ช่วงที่มีข่าวคราวว่าจะเกิดการสลับสับเปลี่ยนโยกย้ายรัฐมนตรีกระทรวง-กระทรวงนี้ แต่ดันพลุด้าน หรือจุดไม่ติด ไม่ว่าด้วยเหตุผลกลใดก็แล้วแต่ แถมดันไปเจอ พลุคลิปวิดีโอ กันแทนที่ ก็เห็นแต่จะมีท่านนายกฯ บิ๊กตู่ ของหมู่เฮานี่แหละ ที่ทำว่าจะไปหยิบเอา แนวคิด ทำนองนี้ มาทำให้เป็นจริง เป็นจัง เป็นเรื่อง เป็นราว ขึ้นมาแบบจริงๆ-จังๆ โดยอาศัยหลักคิดในเรื่อง การปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจ เป็นพื้นฐานในการขับเคลื่อน อะไรประมาณนั้น...
--------------------------------------------
ซึ่งจะเป็นจริง-ไม่เป็นจริง เปงปายล่าย-เปงปายม่ายล่าย อันนั้น...คงน่าจะมีเวลาพูดจา ว่ากล่าว กันอีกเยอะ อย่างน้อยก็น่าจะเกินวันที่ 19 กันยา. ไปอีกเป็นเดือนๆ หรือปีๆ ก็แล้วแต่ แต่สิ่งที่น่าคิด น่าสะกิดใจ เอามากๆ ก็น่าจะเป็นสิ่งที่เรียกๆ กันว่า การปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจ นั่นแหละ ที่ใครต่อใครต่างเห็นพ้อง ต้องกัน มานานแล้ว ว่ามันควรปรับ ควรเปลี่ยน ไปจากเดิม หรือจากเท่าที่เคยเป็นมาอยู่แล้วแน่ๆ แต่การ ปรับ ที่ว่า...มันอาจไม่ได้หมายถึงการงัดเอาโครงการขนาดใหญ่ ขนาดยักษ์ ออกมาอัด มาฉีด มาแทนที่การส่งออก การท่องเที่ยว เพื่อให้เกิดรายได้ เกิดเงินๆ-ทองๆ ให้เยอะๆ เข้าไว้ เพราะถ้าการได้มาซึ่งรายได้ ได้มาซึ่งเงินๆ-ทองๆ ไม่ว่ามันจะเยอะขนาดไหนก็แล้วแต่ แต่ถ้าหากมันยังเป็นไปในแบบ รวยกระจุก-จนกระจาย เหมือนเดิมๆ อีกต่อไป อันนั้น...ไม่น่าจะเรียกว่าการปรับ หรือการปฏิรูป แต่น่าจะเรียกว่าการ รูดไป-รูดมา ซะมากกว่า...
--------------------------------------------------
เพราะการปรับ การเปลี่ยน หรือการปฏิรูปไปสู่สิ่งดีๆ นั้น...ไม่ว่ามันจะมีโครงการใหญ่-ไม่ใหญ่ มีอีอีซี หรือมีอีอะไรต่ออีอะไรก็ตามที แต่ถ้าหากรายได้ หรือเงินๆ-ทองๆ มันยังไหลมารวมกันอยู่ในกระเป๋ากุงเกงของบรรดา เจ้าสัว ทั้งหลาย ไม่ได้กระจัดกระจายไปสู่พวก กระเป๋าแบนแฟนทิ้ง ทั่วเขตอาณานิคมอย่างเป็นระบบและกิจการ มันคงไม่อาจถือเป็น การปรับโครงสร้าง ไปสู่สิ่งดีๆ หรือถือเป็น การปฏิรูป ได้เลย เผลอๆ...อาจกลายเป็นการ สมคบคิด ระหว่าง เงินกับปืน อันอาจนำมาซึ่ง ความเหลื่อมล้ำ นำมาซึ่งความไม่ถูกต้อง-ยุติธรรม ในทางตัวบทกฎหมาย แบบกรณีคุณน้อง บอส กระทิงแดง เอาง่ายๆ ทำเอาต้องเสียเวลาหันมาตั้ง คณะกรรมการ ยืดโน่น หดนี่ กันไปตามเรื่อง-ตามราว...
--------------------------------------------------
การปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจ อันมีความหมายถึงการปฏิรูปไปสู่สิ่งดีๆ นั้น จึงแทบไม่ได้มีความจำเป็นอะไรมากมาย ว่าจะต้องมีอีอีซี-ไม่มีอีอีซี มีแลนด์บริดจ์-ไม่มีแลนด์บริดจ์ คือถึงแม้จะมีแค่ ครก กับ สากกะเบือ แค่ไม่กี่ด้าม แต่ถ้าสามารถค้นหาหนทางที่จะทำให้เกิด ความไม่เหลื่อมล้ำ กันในทางโอกาส การกระจายรายได้ การกระจายความเป็นธรรม ต่อให้แค่มีโครงการ ผักสวนครัว-รั้วกินได้ หรือโครงการเล็กๆ ของ สมเด็จพระเทพฯ ทุกสิ่งทุกอย่าง...ก็น่าที่จะพอ อยู่ๆ กันไปได้ หรือพอที่จะ อยู่ร่วมกันโดยสันติ ได้อย่างยั่งยืนและยาวนาน โดยไม่ว่าเศรษฐกิจของโลกทั้งโลก มันจะระส่ำระสายไปถึงขั้นไหนต่อขั้นไหน หรือถึงขั้น แก้ไม่ได้ เอาเลยก็ตามที ด้วยเหตุนี้...ในฐานะที่จำต้องเล่นบทเป็น หัวหน้าทีมงานเศรษฐกิจ ด้วยตัวเอง หลังจากที่ใครต่อใคร โชคดี-ที่ตายก่อน กันไปหมดแล้ว การทำความรับรู้ การ เข้าถึง-เข้าใจ ต่อสิ่งที่เรียกว่า การปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจ ในลักษณะเช่นนี้ จึงถือเป็นสิ่งจำเป็นเอามากๆ...
--------------------------------------------------
ปิดท้ายด้วยวาทะวันนี้จาก “Paul Dickson”... “Integrity is like oxygen. The higher you go, the less there is of it. - ความซื่อสัตย์ มั่นคงนั้นเปรียบประดุจแก๊สออกซิเจน ท่านยิ่งขึ้นไปสูงเท่าใด ก็ยิ่งเหลือน้อยลงไปเท่านั้น...
----------------------------------------------------
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |