(การประชุมในระดับชาติของสภาองค์กรชุมชนตำบลที่สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชนฯ กรุงเทพฯ)
สภาองค์กรชุมชนตำบลจัดตั้งขึ้นตามพระราชบัญญัติสภาองค์กรชุมชน พ.ศ.2551 เพื่อเป็นเวทีประชุมปรึกษาหารือการพัฒนาหรือแก้ไขปัญหาต่างๆ ในตำบล หรือนำข้อมูลไปเสนอแนะการแก้ไขปัญหาและแนวทางการพัฒนาต่อองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นหรือหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้อง
นอกจากนี้ พ.ร.บ.สภาองค์กรชุมชน พ.ศ.2551 มาตรา 32 ระบุว่า “ให้ที่ประชุมในระดับชาติของสภาองค์กรชุมชนตำบลดำเนินการเรื่องต่างๆ ดังต่อไปนี้.....(3) สรุปปัญหาที่ประชาชนในจังหวัดต่างๆ ประสบ และข้อเสนอแนะแนวทางการแก้ไขเพื่อเสนอต่อคณะรัฐมนตรีพิจารณาสั่งการ”
โดยจะมีการจัดประชุมสภาองค์กรชุมชนตำบลระดับชาติอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง ซึ่งในปี 2563 นี้จะมีการจัดประชุมในระดับชาติ ระหว่างวันที่ 9 -10 กันยายนนี้ ที่สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน) ถนนนวมินทร์ เขตบางกะปิ กรุงเทพฯ โดยมีผู้แทนสภาองค์กรชุมชนตำบลและหน่วยงานภาคีที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมประมาณ 450 คน
ที่สำคัญก็คือการรวบรวมความเห็น ข้อเสนอแนะ และสรุปปัญหาที่ประชาชนในจังหวัดต่างๆ ประสบเสนอต่อคณะรัฐมนตรีพิจารณาสั่งการ เช่น
การจัดการปัญหาฝุ่นควันและไฟป่าภาคเหนือ แผนยุทธศาสตร์การสร้างความมั่นคงทางอาหารของคนอีสาน การส่งเสริมและอนุรักษ์วิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์-พื้นที่วัฒนธรรมพิเศษกะเหรี่ยงและชาวเล การมีส่วนร่วมของภาคประชาชนในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ข้อเสนอทบทวนโครงการจะนะเมืองต้นแบบอุตสาหกรรม การแก้ไขปัญหาชุมชนในที่ดินการรถไฟแห่งประเทศไทย ฯลฯ
พ.ร.บ.สภาองค์กรชุมชน พ.ศ. 2551 ‘สภาของประชาชน’
สุวัฒน์ คงแป้น ที่ปรึกษาสภาองค์กรชุมชนตำบล (ภาคใต้) ซึ่งมีส่วนในการร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้ เล่าว่า พ.ร.บ.สภาองค์กรชุมชนประกาศในราชกิจจานุเบกษา เมื่อวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2551 สมัยรัฐบาลพลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์ โดยก่อนหน้านั้นมีกลุ่มและองค์กรที่ประชาชนจัดตั้งขึ้นทั่วประเทศ เช่น กลุ่มออมทรัพย์ สัจจะสะสมทรัพย์ กลุ่มเกษตรกร กลุ่มเกษตรอินทรีย์ กลุ่มแก้ไขปัญหาที่ดิน-ป่าไม้ กลุ่มประมงพื้นบ้าน กลุ่มชาวสวนยาง กลุ่มแม่บ้าน กลุ่มอาชีพ กลุ่มฌาปนกิจ กองทุนหมู่บ้าน ฯลฯ ซึ่งกลุ่มต่างๆ เหล่านี้กระจายอยู่ทั่วประเทศมากกว่า 1 แสนกลุ่ม
“แต่กลุ่มเหล่านี้ต่างก็ทำงานไปตามเป้าหมายของตัวเอง หรือตามเป้าหมายขององค์กรที่สนับสนุนทั้งภาครัฐและเอกชน ไม่ได้มีการเชื่อมโยงกันเพื่อให้เกิดพลัง หรือแม้แต่กลุ่มต่างๆ ที่จัดตั้งขึ้นภายในหมู่บ้านหรือตำบลบางแห่งก็ไม่ได้มีการเชื่อมโยงเพื่อช่วยเหลือหรือสนับสนุนกัน เรียกว่าต่างกลุ่มต่างทำ ไม่ได้มองเห็นปัญหาหรือแนวทางการพัฒนาร่วมกันทั้งตำบล หรือหากจะมีแผนพัฒนาก็เป็นแผนงานที่ชาวบ้านไม่มีส่วนร่วม เป็นแผนงานที่มาจากข้างนอก หรือหากชาวบ้านจะนำแผนงานไปเสนอหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง หน่วยงานภาครัฐก็มักจะมองว่า กลุ่มองค์กรของชาวบ้านเป็นกลุ่มเถื่อน เพราะไม่ได้มีการจดทะเบียนอย่างถูกต้อง หรือไม่มีกฎหมายรองรับ” สุวัฒน์เล่าถึงสภาพของกลุ่มต่างๆ ที่เกิดขึ้น
ในปี 2549 มีกระแสการปฏิรูปประเทศไทย แกนนำองค์กรชุมชนทั่วประเทศที่ทำงานร่วมกับสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน) หรือ ‘พอช.’ ได้จัดประชุมเพื่อทำข้อเสนอเชิงนโยบายในการปฏิรูปประเทศไทยเพื่อเสนอต่อรัฐบาล โดยที่ประชุมได้ข้อเสนอจำนวน 8 เรื่อง และ 1 ในนั้นก็คือ ข้อเสนอเรื่อง “การยกระดับให้การทำงานขององค์กรชุมชนเป็นอิสระ” เพื่อทำให้เกิดสิทธิชุมชนในการจัดทำแผนพัฒนาจากปัญหาและความต้องการของชุมชนอย่างแท้จริง
จากข้อเสนอดังกล่าว แกนนำองค์กรชุมชนทั่วประเทศ เช่น ครูสน รูปสูง (ปัจจุบันเสียชีวิต) ผู้นำจากตำบลท่านางแนว อ.แวงน้อย จ.ขอนแก่น จินดา บุญจันทร์ ผู้นำจาก อ.พะโต๊ะ จ.ชุมพร ชาติชาย เหลืองเจริญ ผู้นำจาก อ.แกลง จ.ระยอง ฯลฯ จึงได้ร่วมกันจัดตั้ง ‘สมัชชาสภาองค์กรชุมชนแห่งประเทศไทย’ หรือ ‘สอท.’ ขึ้นมา เพื่อเป็นองค์กรขับเคลื่อนไปสู่เป้าหมายความเป็นอิสระขององค์กรชุมชน
ในปี 2550 แกนนำ สอท.ได้ร่วมกันร่าง ‘พระราชบัญญัติสภาองค์กรชุมชน พ.ศ.........’ ขึ้นมา และนำเสนอต่อรัฐบาลผ่านกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ซึ่งมีนายไพบูลย์ วัฒนศิริธรรม เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมฯ และรองนายกรัฐมนตรีในขณะนั้น (ปัจจุบันเสียชีวิต)
แม้ว่าในระยะแรกจะมีแรงเสียดทานจากหลายฝ่ายในการคัดค้านร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้ แต่ในที่สุด พ.ร.บ.สภาองค์กรชุมชน พ.ศ.2551 ได้ผ่านความเห็นชอบจากสภานิติบัญญัติ และประกาศในราชกิจจานุเบกษา เมื่อวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2551 โดยเหตุผลในการประกาศใช้ พ.ร.บ.ฉบับนี้ มีเนื้อหาตอนหนึ่งว่า....
“ด้วยชุมชนเป็นสังคมฐานรากที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ มีวิถีชีวิตวัฒนธรรมแตกต่างและหลากหลายตามภูมินิเวศน์ แต่การพัฒนาประเทศที่ผ่านมาก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงทางสังคม เศรษฐกิจและการเมืองอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้ชุมชนอ่อนแอ ประสบปัญหาความยากจน เกิดปัญหาสังคมมากขึ้น ทรัพยากรและสิ่งแวดล้อมของชุมชนถูกทำลาย...จึงเห็นสมควรส่งเสริมและสนับสนุนให้ชุมชนและประชาชนได้เข้ามามีส่วนร่วมในการพัฒนาประเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพ จึงจําเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้”
ในเดือนพฤษภาคมถัดมา มีการประชุมสภาองค์กรชุมชนตำบลครั้งแรกของประเทศไทยที่ตำบลศรีสว่าง อ.โพนทราย จ.ร้อยเอ็ด หลังจากนั้นขบวนองค์กรชุมชนในตำบลต่างๆ ทั่วประเทศจึงได้จัดตั้งสภาองค์กรชุมชนตำบลขึ้นมา จากหลักสิบกลายเป็นร้อย จากร้อยเพิ่มเป็นพัน
จนถึงปัจจุบัน (กันยายน 2563) พ.ร.บ.สภาองค์กรชุมชนมีอายุย่างเข้า 12 ปี มีการจัดตั้งสภาองค์กรชุมชนตำบลทั่วประเทศแล้วจำนวน 7,825 แห่ง มีกลุ่มองค์กรต่างๆ ที่ร่วมจัดตั้งสภาฯ กว่า 140,000 กลุ่ม โดยสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชนฯ มีหน้าที่ในการส่งเสริมกิจการของสภาองค์กรชุมชนตาม พ.ร.บ.ฉบับนี้ (ดูรายละเอียด พ.ร.บ. และขั้นตอนการจัดตั้งสภาฯ ได้ที่ http://web.krisdika.go.th/data/law/law2/%CA77/%CA77-20-2551-a0001.pdf)
ภารกิจของสภาองค์กรชุมชนตำบล
(ชาวตำาบลรับร่อ อ.ท่าแซะ จ.ชุมพร ใช้เวทีประชุมสภาองค์กรชุมชนตำาบลแก้ไขปัญหาที่ดินที่ทับซ้อนกับที่ดินหน่วยงานรัฐ)
วิริยะ แต้มแก้ว หัวหน้าสำนักประสานเครือข่ายสภาองค์กรชุมชน สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชนฯ กล่าวว่า เจตนารมณ์ของ พ.ร.บ.สภาองค์กรชุมชนตำบลฯ คือการส่งเสริมและสนับสนุนให้ชุมชนและประชาชนได้เข้ามามีส่วนร่วมในการพัฒนาประเทศ รวมทั้งส่งเสริมให้องค์กรชุมชนในตำบลเกิดความเข้มแข็ง สมาชิกองค์กรชุมชนและประชาชนทั่วไปในตำบลสามารถพึ่งพาตนเองได้อย่างยั่งยืน โดยใช้สภาองค์กรชุมชนตำบลเป็นเวทีในการประชุมเพื่อปรึกษาหารือ หรือวางแผนพัฒนาและแก้ไขปัญหาในชุมชนท้องถิ่น
ทั้งนี้ตาม พ.ร.บ.สภาองค์กรชุมชนฯ (มาตรา 21) กำหนดให้สภาฯ มีภารกิจต่างๆ เช่น (1) ส่งเสริมและสนับสนุนให้สมาชิกองค์กรชุมชนอนุรักษ์หรือฟื้นฟูจารีตประเพณี ภูมิปัญญาท้องถิ่น ศิลปะหรือวัฒนธรรมอันดีของชุมชนและของชาติ
(2) ส่งเสริมและสนับสนุนให้สมาชิกองค์กรชุมชนร่วมมือกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและหน่วยงานของรัฐในการจัดการ การบํารุงรักษา และการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติที่จะเป็นประโยชน์ต่อชุมชนและประเทศชาติอย่างยั่งยืน
รูป 3 บรรยาย / ชาวตำบลรับร่อ อ.ท่าแซะ จ.ชุมพร ใช้เวทีประชุมสภาองค์กรชุมชนตำบลแก้ไขปัญหาที่ดิน
(3) เผยแพร่และให้ความรู้ความเข้าใจแก่สมาชิกองค์กรชุมชน รวมตลอดทั้งการร่วมมือกันในการคุ้มครองคุณภาพสิ่งแวดล้อมอย่างสมดุลและยั่งยืน
(4) เสนอแนะปัญหาและแนวทางแก้ไขและการพัฒนาต่อองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เพื่อนําไปประกอบการพิจารณาในการจัดทําแผนพัฒนาองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
(5) เสนอแนะปัญหาและแนวทางแก้ไขหรือความต้องการของประชาชนอันเกี่ยวกับการจัดทําบริการสาธารณะของหน่วยงานของรัฐหรือองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
(7) จัดให้มีเวทีการปรึกษาหารือกันของประชาชนเพื่อส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชนในการให้ความคิดเห็นต่อการดําเนินโครงการหรือกิจกรรมขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นหรือหน่วยงานของรัฐหรือเอกชนที่มีผลหรืออาจก่อให้เกิดผลกระทบต่อคุณภาพสิ่งแวดล้อมหรือทรัพยากรธรรมชาติ สุขภาพอนามัย คุณภาพชีวิตของประชาชนในชุมชน ทั้งนี้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นหรือหน่วยงานของรัฐซึ่งเป็นผู้ดําเนินการหรือเป็นผู้อนุญาตให้ภาคเอกชนดําเนินการต้องนําความเห็นดังกล่าวมาประกอบการพิจารณาด้วย ฯลฯ
รูปธรรมการแก้ปัญหาและพัฒนาชุมชนท้องถิ่น
วิริยะ กล่าวด้วยว่า สภาองค์กรชุมชนตำบลแต่ละแห่งจะต้องจัดประชุมอย่างน้อยปีละ 4 ครั้ง ต้องมีสมาชิกมาประชุมไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของจํานวนสมาชิกทั้งหมดที่มีอยู่ การลงมติของที่ประชุมให้ถือเสียงข้างมาก ถ้ามีคะแนนเสียงเท่ากัน ให้ประธานในที่ประชุมมีสิทธิออกเสียงชี้ขาด ที่ผ่านมาสภาฯ มีบทบาทในด้านต่างๆ เช่น
จังหวัดน่าน ประชาชนส่วนใหญ่มีปัญหาความไม่มั่นคงในที่อยู่อาศัยและที่ดินทำกิน เนื่องจากชุมชนตั้งอยู่ในเขตป่าสงวนฯ ป่าต้นน้ำ สภาองค์กรชุมชนตำบลในจังหวัดน่าน 34 ตำบล ได้ร่วมกับ อบต. กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน จัดทำข้อมูลเรื่องปัญหาที่ดินทำกินและที่อยู่อาศัย เพื่อนำไปสู่การวางแผนแก้ไขปัญหาร่วมกันทั้งจังหวัด โดยเสนอแนวทางแก้ไขปัญหาต่อทางผู้ว่าราชการจังหวัดและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ขณะนี้อยู่ในระหว่างดำเนินการแก้ไขปัญหา
จังหวัดสุราษฎร์ธานี ที่ตำบลป่าร่อน อ.กาญจนดิษฐ์ ชาวบ้านใช้เวทีสภาองค์กรชุมชนเชื่อมโยงกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน และทุกหน่วยงานในพื้นที่ นำปัญหาเรื่องปากท้องมาพูดคุยและวางแผนแก้ไขปัญหาร่วมกันทั้งตำบล เช่น การแก้ไขปัญหาราคายางพาราตกต่ำด้วยการปลูกข้าวไร่ในสวนยาง ร่วมกันรับซื้อยางพาราเพื่อนำไปขาย ส่งเสริมการทำเกษตรอินทรีย์ ส่งเสริมการทำระบบตลาดในหมู่บ้านและตำบล ฯลฯ ไม่ต้องรอให้รัฐช่วยพยุงราคาเพียงอย่างเดียว
จังหวัดระยอง ที่ตำบลเนินฆ้อ อ.แกลง ใช้สภาองค์กรชุมชนตำบลเป็นเวทีกลางสร้างความร่วมมือกับทุกหน่วยงาน นำไปสู่การวางแผนพัฒนาทั้งตำบล โดยเฉพาะการพัฒนาเศรษฐกิจชุมชน เช่น ส่งเสริมเกษตรอินทรีย์ แปรรูปอาหาร ผลไม้ จัดตั้งตลาดในชุมชน และเป็นแหล่งเรียนรู้ ‘มหาวิทยาลัยบ้านนอก’ รองรับนักท่องเที่ยวและผู้ที่มาศึกษาดูงานตลอดทั้งปี ประมาณปีละ 1 แสนคน ทำรายได้เข้าชุมชนประมาณปีละ 20 ล้านบาท
จังหวัดมุกดาหาร สระแก้ว ตาก ฯลฯ ซึ่งรัฐบาลได้ประกาศเป็นพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษ สภาองค์กรชุมชนฯ ในแต่ละจังหวัดได้ร่วมกับเครือข่ายประชาชนในพื้นที่ศึกษาข้อมูลและผลกระทบจากการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษ เช่น ปัญหาเรื่องสิ่งแวดล้อมจากโรงไฟฟ้าพลังงานขยะ ปัญหาการแย่งชิงทรัพยากร แหล่งน้ำ ป่าไม้ ที่ดิน แรงงาน ฯลฯ เพื่อนำข้อมูลต่างๆ มาวางแผน นำไปสู่การแก้ไขปัญหาร่วมกัน ฯลฯ
“จะเห็นได้ว่า สภาองค์กรชุมชนตำบลเป็นเวทีหรือเป็นเครื่องมือในการส่งเสริมให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหาและพัฒนาชุมชนท้องถิ่นด้วยตัวเอง โดยยึดหลักการประชาธิปไตยจากฐานรากที่แท้จริง เพราะสมาชิกจะมาจากตัวแทนของแต่ละกลุ่มในตำบลที่ร่วมกันจัดตั้งสภาฯ และใช้เสียงข้างมากป็นมติของที่ประชุม นำไปสู่การแก้ไขปัญหา หรือเชื่อมโยงหน่วยงานต่างๆ มาพัฒนาชุมชนร่วมกันได้” วิริยะยกตัวอย่างบทบาทของสภาองค์กรชุมชนตำบล
จากข้อเสนอท้องถิ่นสู่การแก้ไขปัญหาเชิงนโยบาย
(การประชุมสภาองค์กรชุมชนตำาบลในพื้นที่ต่างๆ ทั่วประเทศจะใช้สถานที่ประชุมที่มีอยู่แล้วในตำาบล เช่น โรงเรียน อบต. เทศบาล หรือศาลาประชาคมประจำาหมู่บ้าน)
ชูชาติ ผิวสว่าง ประธานที่ประชุมในระดับชาติของสภาองค์กรชุมชนตำบล กล่าวว่า นอกจากสภาองค์กรชุมชนตำบลแต่ละแห่งจะมีบทบาทในการแก้ไขปัญหาและพัฒนาชุมชนท้องถิ่นต่างๆ แล้ว พ.ร.บ.สภาองค์กรชุมชน พ.ศ.2551 มาตรา 32 ยังระบุว่า “ให้ที่ประชุมในระดับชาติของสภาองค์กรชุมชนตำบลดำเนินการเรื่องต่างๆ ดังต่อไปนี้
(1) กําหนดมาตรการส่งเสริมและสนับสนุนการจัดตั้งและการพัฒนาสภาองค์กรชุมชนในระดับตําบลให้เกิดความเข้มแข็งและพึ่งตนเองได้ เพื่อเสนอให้สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน) ใช้เป็นแนวทางปฏิบัติ
(2) ให้ความเห็นและข้อเสนอแนะเกี่ยวกับการกําหนดนโยบายและแผนพัฒนาทางเศรษฐกิจ สังคมและกฎหมาย รวมทั้งการจัดทําบริการสาธารณะของหน่วยงานของรัฐ หรือองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่มีผลต่อพื้นที่มากกว่าหนึ่งจังหวัด ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม คุณภาพชีวิต และสิ่งแวดล้อม
(3) สรุปปัญหาที่ประชาชนในจังหวัดต่างๆ ประสบ และข้อเสนอแนะแนวทางการแก้ไขเพื่อเสนอต่อคณะรัฐมนตรีพิจารณาสั่งการ”
โดยในปีนี้จะมีการจัดประชุมในระดับชาติของสภาองค์กรชุมชนตำบล ระหว่างวันที่ 9 -10 กันยายนนี้ ที่สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน) ถนนนวมินทร์ เขตบางกะปิ กรุงเทพฯ โดยมีผู้แทนสภาองค์กรชุมชนตำบลและหน่วยงานภาคีที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมประมาณ 450 คน
“ที่สำคัญก็คือในการประชุมระดับชาติของสภาองค์กรชุมชนในแต่ละปี จะการรวบรวมความเห็น ข้อเสนอแนะ และสรุปปัญหาที่ประชาชนในจังหวัดต่างๆ ประสบ เสนอต่อหน่วยงานรัฐและคณะรัฐมนตรีพิจารณาสั่งการตาม พ.ร.บ.สภาฯมาตรา 32 (2) และ (3) เช่น ในปี 2562 ที่ผ่านมา มีการนำข้อเสนอจากที่ประชุมสภาฯ ระดับชาติเข้าสู่คณะกรรมาธิการสภาผู้แทนราษฎร 13 คณะ เช่น ปัญหาเรื่องสุขภาพ สังคมสูงวัย สิ่งแวดล้อม การศึกษา การลดความเหลื่อมล้ำ เป็นต้น” ชูชาติกล่าว
นอกจากนี้ยังรวบรวมข้อเสนอแนะและแนวทางการแก้ไขปัญหาต่าง ๆ จากเครือข่ายประชาชน และภาคประชาสังคมทั่วประเทศ เช่น ขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรม (P-MOVE) คณะกรรมการประสานงานองค์กรพัฒนาเอกชน (กป.อพช.) ฯลฯ โดยมีประเด็นสำคัญในการเสนอแนวทางการแก้ไขปัญหาต่าง ๆ 10 ด้าน นำเสนอต่อรัฐมนตรีกระทรวงต่าง ๆ คือ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงพลังงาน
เช่น นโยบายการจัดการทรัพยากรธรรมชาติ กระจายการถือครองที่ดินอย่างเป็นธรรม นโยบายป่าไม้ เช่น ยุติ/ยกเลิกนโยบายและกฎหมายที่ส่งผลกระทบต่อประชาชน, ยกเลิกนโยบายทวงคืนผืนป่าและแผนแม่บทแก้ไขปัญหาการทำลายทรัพยากรป่าไม้
การกระจายอำนาจ มีข้อเสนอ เช่น ปฏิรูปการปกครองส่วนท้องถิ่นโดยกระจายอำนาจการปกครองส่วนท้องถิ่น และสิทธิชุมชนในการจัดการทรัพยากรธรรมและสิ่งแวดล้อม นโยบายเศรษฐกิจชุมชน เช่น ให้รัฐบาลสนับสนุนการดำเนินงานและงบประมาณกับสภาองค์กรชุมชนตำบลกว่า 7,000 สภาฯ ให้จัดทำแผนการพัฒนาเศรษฐกิจฐานราก หรือแผนธุรกิจชุมชน ฯลฯ
นโยบายภัยการบริหารจัดการน้ำ มีข้อเสนอ เช่น รัฐบาลควรทบทวนโครงการพัฒนาแหล่งน้ำขนาดใหญ่ที่จะส่งผลกระทบรุนแรงต่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของชุมชน ให้ดําเนินการให้มีความเป็นธรรม โปร่งใส และมีส่วนร่วมของประชาชน นโยบายการจัดการทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง และการประมง/การจัดการทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง มีข้อเสนอ เช่น จัดทำแผนแม่บทแห่งชาติว่าด้วยการจัดการทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งแบบมีส่วนร่วม ฯลฯ
“ส่วนในปี 2563 นี้ จะมีการรวบรวมประเด็นปัญหาที่สำคัญต่างๆ ทั่วทุกภูมิภาค เช่น การจัดการปัญหาฝุ่นควันและไฟป่าภาคเหนือ แผนยุทธศาสตร์การสร้างความมั่นคงทางอาหารของคนอีสาน การส่งเสริมและอนุรักษ์วิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์-พื้นที่วัฒนธรรมพิเศษกะเหรี่ยงและชาวเล การมีส่วนร่วมของภาคประชาชนในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ข้อเสนอทบทวนโครงการจะนะเมืองต้นแบบอุตสาหกรรม การแก้ไขปัญหาชุมชนในที่ดินการรถไฟแห่งประเทศไทย ฯลฯ เพื่อนำไปสู่การแก้ไขปัญหาต่อไป” ชูชาติ ประธานที่ประชุมในระดับชาติของสภาองค์กรชุมชนตำบลกล่าว
ทั้งนี้ในการประชุมในระดับชาติของสภาองค์กรชุมชนตำบลระหว่างวันที่ 9 -10 กันยายน จะมีการจัดเวทีวิชาการ เช่น การปาฐกถาพิเศษ เรื่อง ‘สถานการณ์สังคมไทยกับความท้าทายสภาองค์กรชุมชนต่อการขับเคลื่อนหลังสถานการณ์โควิด-19’ โดย ดร.เดชรัต สุขกำเนิด การประชุมวิชาการ เรื่อง ‘ทางเลือก ทางตัน กับ พ.ร.บ.ที่เกี่ยวข้องกับการจัดการทรัพยากรธรรมชาติ’ มีนายธนพร ศรียากูล ที่ปรึกษาสำนักงานบริหารนโยบายของรัฐมนตรีร่วมพูดคุย
นอกจากนี้ในวันที่ 10 กันยายน นายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมฯ จะเดินทางมารับมอบข้อเสนอเชิงนโยบายจากที่ประชุมฯ และมอบโล่ให้แก่ผู้แทนสภาองค์กรชุมชนตำบลดีเด่น และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
รวมทั้งมีพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ ‘การสนับสนุนเสริมสร้างความเข้มแข็งองค์กรชุมชน’ ระหว่างผู้แทนสภาองค์กรชุมชนกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง 9 หน่วยงาน เช่น สำนักงานป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (ป.ป.ท.) สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ป.ป.ส.) ฯลฯ
ผู้ที่สนใจสามารถติดตามข่าวสารและชมการถ่ายทอดสดได้ทาง face book สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน และเว็บไซต์ www.codi.or.th
ข้อเสนอเชิงนโยบายการประชุมระดับชาติสภาองค์กรชุมชนฯ ปี 2563 แก้ปัญหาน้ำ-ที่ดินการรถไฟ-ขยะสารพิษ-เมืองอุตสาหกรรมจะนะ ฯลฯ
การประชุมในระดับชาติของสภาองค์กรชุมชนตำบลทุกปีจะมีการรวบรวมข้อเสนอจากที่ประชุมสภาฯ ในระดับจังหวัดมานำเสนอในที่ประชุมระดับชาติ เพื่อรวบรวม สังเคราะห์ พัฒนาเป็นข้อเสนอเชิงนโยบาย และนำไปจัดทำเป็นความเห็นและข้อเสนอแนะต่อหน่วยงานรัฐ องค์กรปกครองท้องถิ่น และสรุปปัญหาที่ประชาชนในจังหวัดต่างๆ ประสบ และข้อเสนอแนะแนวทางการแก้ไขเพื่อเสนอต่อคณะรัฐมนตรีพิจารณาสั่งการ โดยในปี 2563 มีข้อเสนอต่างๆ เช่น
ข้อเสนอแนะ : เรื่องน้ำ เพื่อแก้ไขปัญหาการขาดแคลนน้ำ
1. ชุมชนต้องมีส่วนร่วมในการบริหารจัดการน้ำด้วยตนเอง อาทิ การขุดสระน้ำประจำครอบครัว (สระครอบครัว) การทำธนาคารน้ำใต้ดิน
2. เกษตรต้องปรับเปลี่ยนการใช้น้ำเพื่อการเกษตรอย่างมีประสิทธิภาพ อาทิ ลดการใช้น้ำในพืชเกษตรที่ได้ผลผลิตเท่าเดิม ปลูกป่าเพื่อเป็นพื้นที่ในการซับน้ำ
3. กรมชลประทาน และ สทนช. จัดสรรน้ำให้กับภาคเกษตรกรรมอย่างเป็นธรรมและเพียงพอก่อนผันน้ำไปยังพื้นที่ เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC)
4. เพิ่มประสิทธิภาพการชลประทานในภาคเกษตรกรรม ลดการสูญเสียน้ำจากแหล่งน้ำถึงแปลงเกษตร
5. บริหารจัดการด้านอุปสงค์ในภาคอุตสาหกรรม เช่น การส่งเสริมการใช้น้ำในลักษณะไม่มีการะบายน้ำเสีย หรือมีการนำน้ำเสียกลับมาใช้ใหม่ 100 % (Zero Discharge) ฯลฯ
ข้อเสนอแนะ : เรื่องการพัฒนาที่ดินของการรถไฟแห่งประเทศไทย
1.หยุดการไล่รื้อ และการดำเนินคดีความกับชุมชนในที่ดินการรถไฟแห่งประเทศไทย
2.ควรเปิดเผยข้อมูล ข้อเท็จจริงของโครงการพัฒนาในที่ดินการรถไฟแห่งประเทศไทยที่ส่งผลกระทบต่อชุมชน และควรมีกระบวนการรับฟังความคิดเห็นของชุมชนที่ได้รับผลกระทบโดยตรง
3.จัดตั้งกองทุนกลางสำหรับดูแลที่อยู่อาศัยและคุณภาพชีวิต โดยให้ผู้ที่ได้รับผลกระทบมีส่วนในการบริหารจัดการ เพื่อช่วยเหลือผู้ที่ได้รับผลกระทบรวมไว้ในมูลค่าของโครงการอย่างเป็นธรรม สอดคล้องสภาพความเป็นจริงทางกายภาพ สังคม และเศรษฐกิจของพื้นที่
4.จัดหาที่ดิน ที่อยู่อาศัยเพื่อรองรับผู้ที่ได้รับผลกระทบที่สอดคล้องกับวิถีการดำรงชีวิต ทั้งลักษณะการแบ่งปันที่ดินโดยรอบพื้นที่พัฒนา และการจัดหาที่อยู่อาศัยรองรับในรัศมี 5 กิโลเมตรโดยรอบพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบ ฯลฯ
ข้อเสนอแนะ : เรื่องสิ่งแวดล้อม ขยะสารเคมี สารพิษ
1. การกำจัดขยะสารเคมี สารพิษ ที่ต้นทาง อาทิ อุตสาหกรรมใดที่ก่อให้เกิดขยะสารพิษ ควรมีการจัดการและรับผิดชอบในการกำจัดขยะที่มาจากโรงงานของตน ไม่ควรนำออกจากเขตอุตสาหกรรมโดยเด็ดขาด
2.หากต้องการกำจัดนอกเขตพื้นที่อุตสาหกรรม ควรมีกฎหมายอย่างเคร่งครัด โดยเฉพาะการมีส่วนร่วมของประชาชนในการรับทราบข้อมูลอย่างครบถ้วน
3. แก้ไขกฎหมายที่เอื้อต่อนายทุนในการประกอบกิจการที่ก่อให้เกิดผลกระทบต่อประชาชนโดยรอบ
4. ควรตรวจสอบโรงงานเดิมที่เกิดขึ้นแล้วได้โดยง่าย เข้าถึงข้อมูลในการตรวจสอบขบวนการโดยประชาชน
5. ควรมีกฎหมายฟื้นฟูกิจการขยะพิษที่ส่งผลกระทบต่อชุมชนและสิ่งแวดล้อม โดยกำหนดค่าใช้จ่ายจากผู้ประกอบการ
6. ห้ามนำเข้าขยะทุกประเภทจากต่างประเทศโดยถาวร
ข้อเสนอแนะ : โครงการจะนะเมืองต้นแบบอุตสาหกรรมก้าวหน้าแห่งอนาคต
ตามที่คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติหลักการ ‘โครงการจะนะเมืองต้นแบบอุตสาหกรรมก้าวหน้าแห่งอนาคต’ เมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม 2562 และอนุมัติงบประมาณเพื่อดำเนินโครงการ 18,000 ล้านบาท เมื่อวันที่ 21 มกราคม 2563 บนพื้นที่ 16,700 ไร่ ใน 3 ตำบลของอำเภอจะนะ จ.สงขลา โดยมอบหมายให้ศูนย์อำนวยการบริหารราชการจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) เป็นหน่วยงานรับผิดชอบโครงการนี้
โครงการจะนะเมืองต้นแบบอุตสาหกรรมก้าวหน้าแห่งอนาคต เป็นโครงการขนาดใหญ่ที่อาจมีผลกระทบต่อทรัพยากรธรรมชาติ คุณภาพสิ่งแวดล้อม สุขภาพอนามัย คุณภาพชีวิต ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสังคมในวงกว้าง ผลกระทบของสภาพอากาศจากมลพิษที่โรงงานอุตสาหกรรมจะปล่อยออกมา ปัญหาน้ำเสียที่จะลงสู่ทะเล จะทำลายระบบนิเวศน์โดยรวมของทะเลจังหวัดสงขลาซึ่งเป็นแหล่งสัตว์น้ำทางทะเลที่สำคัญของประเทศ ฯลฯ
แต่ที่ผ่านมาหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไม่ได้ทำการศึกษาผลกระทบต่อคุณภาพสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของประชาชนและชุมชน และไม่ได้จัดเวทีรับฟังความคิดเห็นก่อนอนุมัติโครงการแต่อย่างใด ฯลฯ
ข้อเสนอต่อรัฐบาล 1. ขอให้รัฐบาลทบทวนโครงการนี้ โดยต้องยกเลิกมติ ครม.วันที่ 7 พฤษภาคม 2562 และมติวันที่ 21 มกราคม 2563 ทั้งนี้ปัจจุบัน จังหวัดสงขลามีนิคมอุตสาหกรรมอยู่แล้ว 2 แห่ง คือ นิคมอุตสาหกรรมภาคใต้ (ฉลุง) และเขตเศรษฐกิจพิเศษสะเดา ซึ่งรัฐบาลควรจะสร้างมาตรการส่งเสริมและสนับสนุนให้ภาคเอกชนเข้าไปใช้ประโยชน์ในพื้นที่ทั้ง 2 แห่งให้เต็มพื้นที่เสียก่อน
2.หากรัฐบาลจะเดินหน้าพัฒนาอำเภอจะนะต่อไป ต้องมีการศึกษาผลกระทบเชิงยุทธศาสตร์ (SEA) และการศึกษา EHIA ตามมาตรา 58 เพื่อเป็นข้อมูลนำมากำหนดทิศทางการพัฒนาพื้นที่ โดยกระบวนการมีส่วนร่วมของประชาชนในพื้นที่ เพราะการพัฒนาที่ยั่งยืนไม่อาจจะเกิดจากการพัฒนาอุตสาหกรรมเพียงด้านเดียว ฯลฯ
ข้อเสนอจากเวทีสาธารณะในการจัดการอ่าวบ้านดอน จ.สุราษฎร์ธานี
อ่าวบ้านดอน มีความยาวประมาณ 120 กิโลเมตร ครอบคลุมพื้นที่ 6 อำเภอของ จ.สุราษฎร์ธานี คือ ไชยา ท่าฉาง พุนพิน เมือง กาญจนดิษฐ์ และดอนสัก มีพื้นที่ชายฝั่งใช้ประโยชน์ในทางเศรษฐกิจได้ประมาณ 300,000 ไร่ มีมูลค่าทางเศรษฐกิจประมาณ 10,000 ล้านบาทต่อปี ถือเป็นแหล่งทรัพยากรที่สำคัญ หล่อเลี้ยงชีวิตของชาวประมงพื้นบ้านมาเนิ่นนาน
ตั้งแต่ปี 2522 เป็นต้นมา กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้ส่งเสริมการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำในพื้นที่อ่าวบ้านดอน โดย อนุญาตพื้นที่เพาะเลี้ยงประมาณ 40,000 ไร่ ต่อมาจึงมีการขยายตัวการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำจนเกินขีดจำกัด ไม่สามารถบริหารจัดการควบคุมได้ จนนำไปสู่การบุกรุกพื้นที่สาธารณะทางทะเลกว่า 200,000 ส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศน์ทางทะเล และสร้างความขัดแย้งในพื้นที่ เกิดผลกระทบต่อการทำประมงชายฝั่ง ประมงพื้นบ้าน เนื่องจากไม่มีพื้นที่ทำกิน
ก่อนหน้านี้เครือข่ายภาคประชาสังคม เครือข่ายประมงพื้นบ้านจังหวัดสุราษฎร์ธานี ได้เรียกร้องให้มีการแก้ไขปัญหามาอย่างต่อเนื่อง แต่สถานการณ์ไม่ดีขึ้น เกิดความขัดแย้งระหว่างผู้เลี้ยงหอยนอกพื้นที่อนุญาต เช่น กลุ่มผู้เลี้ยงหอยขับเรือชนเรือประมงพื้นบ้านที่ไปเก็บหอย การลักลอบเผาขนำเฝ้าคอกหอย ใช้ปืนยิงขู่กลุ่มประมงพื้นบ้าน เป็นต้น
ข้อเสนอเชิงนโยบาย 1.ให้มีนโยบายการมีส่วนร่วมเพื่อบูรณาการในการจัดการอ่าวบ้านดอนที่นำไปสู่เป้าหมายความยั่งยืน สมดุล เสมอภาค และเป็นธรรม ให้เกิดขึ้นอย่างยั่งยืนในระยะยาว โดยการทำให้ทะเลคือพื้นที่สาธารณะตามที่กฎหมายกำหนด มีการวางแผนบริหารจัดการพื้นที่โดยรวมในระยะยาว ทั้งด้านการอนุรักษ์ฟื้นฟู การใช้ประโยชน์อย่างยั่งยืน และการกระจายประโยชน์อย่างเป็นธรรม
2.เสนอให้รัฐบาลตั้งคณะทำงานที่มีความเป็นกลางและเป็นที่ยอมรับของทุกฝ่าย เพื่อจัดระบบการจัดการร่วมในอ่าวบ้านดอน โดยมุ่งเน้นกระบวนการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน เพื่อเสนอแนวทางการแก้ไขปัญหาต่อรัฐบาลในทุกด้าน เช่น แนวทางการการยุติปัญหาเฉพาะหน้า เพื่อนำไปสู่การการแก้ไขปัญหาในระยะยาว การปรับปรุงกฎหมายที่เป็นอุปสรรค แผนพัฒนา และการบริหารจัดการพื้นที่ ฯลฯ
ข้อเสนอแนะ : เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก
1. ขอให้คณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ตั้งคณะกรรมการส่งเสริมและสนับสนุนการมีส่วนร่วมของประชาชนในการพัฒนาเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก โดยมีผู้แทนภาคประชาชนและชุมชน ตลอดจนผู้ทรงคุณวุฒิ นักวิชาการ ร่วมเป็นกรรมการ เพื่อร่วมดำเนินการกับสำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก รวมทั้งเสนอแนะ ให้ความคิดเห็น ติดตามประเมินผล หรือจัดให้มีมาตรการเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบโดยกระบวนการมีส่วนร่วม
2. ขอให้คณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (คสช.) สนับสนุนการจัดและขับเคลื่อนสมัชชาสุขภาพเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก เพื่อสร้างกระบวนการมีส่วนร่วมในการพัฒนาและขับเคลื่อนนโยบายสาธารณะเพื่อสุขภาพแบบมีส่วนร่วมในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก ฯลฯ
ทั้งหมดนี้เป็นเพียงตัวอย่างข้อเสนอแนะจากภาคประชาชนต่อหน่วยงานรัฐ องค์กรปกครองท้องถิ่น และข้อเสนอแนะแนวทางการแก้ไขเพื่อเสนอต่อคณะรัฐมนตรีพิจารณาสั่งการ เป็นการดำเนินการตาม พ.ร.บ.สภาองค์กรชุมชน พ.ศ.2551 ที่ระบุเจตนารมณ์ของ พ.ร.บ.ฉบับนี้เอาไว้ตอนหนึ่งว่า...
“ด้วยชุมชนเป็นสังคมฐานรากที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ มีวิถีชีวิตวัฒนธรรมแตกต่างและหลากหลายตามภูมินิเวศน์ แต่การพัฒนาประเทศที่ผ่านมาก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงทางสังคม เศรษฐกิจและการเมืองอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้ชุมชนอ่อนแอ ประสบปัญหาความยากจน เกิดปัญหาสังคมมากขึ้น ทรัพยากรและสิ่งแวดล้อมของชุมชนถูกทำลาย...จึงเห็นสมควรส่งเสริมและสนับสนุนให้ชุมชนและประชาชนได้เข้ามามีส่วนร่วมในการพัฒนาประเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพ จึงจําเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้”
สภาองค์กรชุมชน MoU ร่วมกับหน่วยงานภาคีสร้างความเข้มแข็งองค์กรชุมชน
จับมือ ป.ป.ส. นำร่อง ‘พืชกระท่อม’ ใช้ประโยชน์ทางการแพทย์-สร้างเศรษฐกิจชุมชน
ผู้แทนสภาองค์กรชุมชน-เจ้าหน้าที่สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชนฯ ร่วมประชุมกับนายนิยม เติมศรีสุข เลขาธิการ ป.ป.ส. เมื่อเร็วๆ นี้ เพื่อขับเคลื่อนเรื่องการใช้ประโยชน์จากพืชกระท่อม
การจัดตั้งสภาองค์กรชุมชนตำบลขึ้นมาทั่วประเทศกว่า 7,825 แห่ง นอกจากจะนำไปสู่การแก้ไขปัญหาและพัฒนาท้องถิ่น รวมถึงการจัดทำข้อเสนอเชิงนโยบายเพื่อให้รัฐบาลแก้ไขปัญหาของชุมชนท้องถิ่นอย่างสร้างสรรค์แล้ว หน่วยงานภาครัฐหลายแห่งยังเห็นพลังของสภาองค์กรชุมชนฯ ที่ขับเคลื่อนเต็มแผ่นดิน จึงใช้วาระการประชุมในระดับชาติของสภาองค์กรชุมชนตำบลประจำปี 2563 ในวันที่ 10 กันยายนนี้ ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (Memorandum of Understanding - MoU) กับสภาองค์กรชุมชน รวม 10 หน่วยงาน
ประกอบด้วย 1.สำนักงานบริหารนโยบายของรัฐมนตรี (สบนร.) 2.สำนักงานป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (ป.ป.ท.) 3.สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ป.ป.ส.) 4.สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (สช.) 5.สถันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน) 6.กองดัชนีเศรษฐกิจการค้า สำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า กระทรวงพาณิชย์ 7.สำนักประสานสนับสนุนการพัฒนานโยบายสาธารณะเพื่อสุขภาวะรองรับสังคมสูงวัย (สป.สว.) 8.ศูนย์วนศาสตร์เพื่อคนกับป่า (RECOFTC) 9.มูลนิธิการพัฒนาที่ยั่งยืน ภาคเหนือ และ 10.สภาเกษตรกรแห่งชาติ
สภาองค์กรชุมชนจับมือ ป.ป.ส.ขับเคลื่อนพืชกระท่อมในพื้นที่นำร่อง
ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ป.ป.ส.) และกระทรวงสาธารณสุข มีความพยายามที่จะ ‘ปลดล็อกพืชกระท่อม’ ออกจากพืชยาเสพติด เพื่อนำมาเป็นพืชสมุนไพร ใช้ทางการแพทย์ การพาณิชย์ อุตสาหกรรม และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันต่างประเทศ เช่นเดียวกับกัญชาที่มีการปลด ล็อกไปก่อนหน้านี้แล้ว
โดยรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้มีมติเมื่อวันที่ 3 มีนาคม 2563 เห็นชอบในหลักการให้ปลดกระท่อมออกจากพืชยาเสพติด โดยมีการจัดทำเป็นร่างพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ (ฉบับที่ ...) พ.ศ..... (การยกเลิกพืชกระท่อมจากยาเสพติดให้โทษ) เพื่อให้ผ่านเป็นกฎหมายออกมาใช้
ดังนั้น ป.ป.ส.จึงบันทึกความร่วมมือกับสภาองค์กรชุมชนและสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชนฯ เพื่อเสริมสร้างความเข้มแข็งของสภาองค์กรชุมชน ในการขับเคลื่อนนโยบายพืชกระท่อม การบริหารจัดการพืชกระท่อมอย่างเป็นระบบ การศึกษาใช้ประโยชน์ทางการแพทย์ สร้างโอกาสทางเศรษฐกิจ และสร้างรายได้แก่ประชาชน รวมถึงการป้องกันและแก้ไขปัญหาการนำไปใช้ในทางที่ผิด มิให้เกิดผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชน สังคม และความมั่นคงของชาติ
โดยมีวัตถุประสงค์ 1.เพื่อสร้างกลไกการขับเคลื่อนงานร่วมกัน 2.เพื่อสร้างการขับเคลื่อนกระบวนการแก้ไขปัญหาร่วมกัน เช่น การป้องกัน การเฝ้าระวัง และการบำบัด 3.สนับสนุนงานวิชาการและการวิจัยเพื่อสร้างความเข้มแข็งชุมชนทุกมิติ เช่น การเก็บข้อมูลสารพันธุกรรม
ใช้พื้นที่ 130 หมู่บ้านนำร่องพืชกระท่อม
การลงนาม MoU ครั้งนี้ สภาองค์กรชุมชนตำบล มีหน้าที่ ดังนี้ 1.สร้างความร่วมมือกับภาคีในพื้นที่ ทำระบบฐานข้อมูล ค้นหาสายพันธุ์พืชกระท่อมที่เหมาะสมกับท้องถิ่น 2.ใช้สมัชชาตำบลสร้างข้อตกลงร่วมกันในการนำไปสู่ธรรมนูญตำบลปลอดยาเสพติด -3.ร่วมเฝ้าระวัง ขึ้นทะเบียน หรือจดแจ้งกลุ่ม พร้อมจัดทำทะเบียนตามแนวทางการจัดระเบียบพืชกระท่อม เพื่อพิทักษ์รักษาผลประโยชน์ของชุมชน
สำนักงาน ป.ป.ส. มีหน้าที่ ดังนี้ 1.เป็นศูนย์กลางการประสานหน่วยงานของรัฐ รวมทั้งกำหนดมาตรการต่างๆ เพื่อให้เกิดกระบวนการขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาร่วมกัน ในลักษณะบูรณาการให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ทั้งระดับนโยบาย และระดับพื้นที่ตำบล 2.สนับสนุนการพัฒนาแกนนำสภาองค์กรชุมชนตำบล เพื่อสร้างความเข้าใจ วางแผนการขับเคลื่อน การเชื่อมโยง ประสานงานความร่วมมือทุกภาคส่วน ฯลฯ
สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชนฯ มีหน้าที่ ดังนี้ 1.สนับสนุนสภาองค์กรชุมชนตำบล เพื่อสร้างความร่วมมือความเข้มแข็งของชุมชน 2.สนับสนุนข้อตกลงร่วมกันในการสร้างธรรมนูญตำบลปลอดยาเสพติด ฯลฯ
ตามแผนงานหลังจากมีการลงนามบันทึกความร่วมมือดังกล่าว รวมทั้งการปรับปรุงและแก้ไขกฏหมายแล้ว จะมีการขยายพื้นที่นำร่องการขึ้นทะเบียนตามแนวทางการจัดระเบียบพืชกระท่อม ในพื้นที่ 130 หมู่บ้าน รวม 10 จังหวัด เช่น นนทบุรี ปทุมธานี ชุมพร ระนอง สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช ฯลฯ
ทั้งนี้ตาม พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ (ฉบับที่ 7) พ.ศ.2562 มาตรา 26/5 (4) กำหนดว่า ผู้ประกอบอาชีพเกษตรกรรมที่รวมกลุ่มเป็นวิสาหกิจชุมชน หรือสหกรณ์การเกษตร ซึ่งดำเนินการภายใต้ความร่วมมือและกำกับดูแลของหน่วยงานรัฐที่ทำหน้าที่ศึกษาวิจัย หรือจัดการเรียนการสอนทางการแพทย์ เภสัชศาสตร์ วิทยาศาสตร์ ฯลฯ สามารถร่วมผลิตและพัฒนาสูตรตำรับยาแผนโบราณหรือยาสมุนไพรได้เพื่อประโยชน์ทางการแพทย์
บ้านน้ำพุ จ.สุราษฎร์ธานี ต้นแบบ ‘น้ำพุโมเดล’
สงคราม บัวทอง กำนันตำบลน้ำพุ และประธานสภาองค์กรชุมชนตำบลน้ำพุ อ.บ้านนาสาร จ.สุราษฎร์ธานี เล่าว่า เมื่อทางรัฐบาลมีนโยบายที่จะปลดล็อกพืชกระท่อมออกจากยาเสพติด ตนจึงได้เสนอให้ใช้พื้นที่ตำบลบ้านน้ำพุเป็นพื้นที่ศึกษา อีกทั้งชาวบ้านก็มีความพร้อมอยากจะให้มีการศึกษาวิจัยอย่างจริงจังว่ากระท่อมเป็นยาเสพติด หรือเป็นสมุนไพรที่มีประโยชน์กันแน่ ?
“ผมเห็นว่าชาวบ้านส่วนใหญ่ในตำบลปลูกกระท่อม ใช้กระท่อมในชีวิตประจำวันอยู่แล้ว และใช้กันมานานตั้งแต่สมัยบรรพบุรุษ แต่ก็ไม่มีปัญหาใดๆ เกิดขึ้นจากการใช้กระท่อม ทั้งเรื่องอาชญากรรม การลักขโมย การทะเลาะวิวาท หรือวัยรุ่นมั่วสุมเสพน้ำกระท่อมก็ไม่มี จึงอยากให้ตำบลน้ำพุเป็นต้นแบบในการจัดการเรื่องกระท่อม” กำนันสงครามเล่าความเป็นมาของการศึกษาวิจัยกระท่อมที่บ้านน้ำพุ เริ่มตั้งแต่ช่วงปลายปี 2559 มีมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ศึกษาด้านผลกระทบต่อสุขภาพร่างกาย และจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยศึกษาผลกระทบด้านสังคมและชุมชน
การศึกษาวิจัยเรื่องกระท่อมที่ตำบลน้ำพุนี้ มีโจย์ร่วมกันว่า “หากมีการผ่อนปรนให้เคี้ยวกระท่อมในวิถีดั้งเดิมได้ จำนวนใบที่เคี้ยวต่อคน ต่อวัน กี่ใบจึงจะเหมาะสม และจำนวนต้นกระท่อมกี่ต้นจึงจะเหมาะสมต่อครัวเรือน รวมทั้งการควบคุมโดยชุมชนมีส่วนร่วม จะมีแนวทางหรือกระบวนการใดที่จะสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ภาครัฐ หากมีการปลดล็อกกระท่อม”
ในปี 2560 จึงเริ่มจัดเวทีประชุมชี้แจงสร้างความเข้าใจกับชาวบ้าน โดยมีข้อตกลงร่วมกันของชาวบ้านว่า ให้ชาวบ้านปลูกหรือมีกระท่อมได้ครัวเรือนหนึ่งไม่เกิน 3 ต้น หากเกินให้ตัดทิ้ง แต่ถ้ามีไม่ถึง 3 ต้น ไม่ให้ปลูกเพิ่ม หลังจากนั้นจึงขยายผลไปทั้งตำบล โดยมีวิธีการสำรวจและศึกษา คือ 1.ใช้อากาศยานไร้คนขับจับพิกัด GPS ครัวเรือนที่ปลูกกระท่อม 2.ใช้แบบสอบถามครัวเรือน 3.สำรวจต้นกระท่อม วัดเส้นรอบวง วัดความสูงของต้น ใช้อากาศยานฯ จับพิกัด GPS ต้นกระท่อม 4.ติดตั้ง Mobile App / QR- code ที่ต้นกระท่อมเพื่อเก็บข้อมูล และขึ้นทะเบียนผู้ปลูกกระท่อมฯลฯ
(ติด QR- code ที่ต้นกระท่อม)
จากการสำรวจข้อมูลพบว่า ตำบลน้ำพุมี 6 หมู่บ้าน จำนวน 1,920 ครัวเรือน มีครัวเรือนที่ขึ้นทะเบียนปลูกกระท่อม 655 ครัวเรือน (ร้อยละ 34.11) ต้นกระท่อมที่สำรวจพบ 1,912 ต้น ต้นกระท่อมติด QR-code จำนวน 1,578 ต้น (ร้อยละ 82.53) ต้นกระท่อม (เกินครัวเรือนละ 3 ต้น) ที่ตัดทำลาย 334 ต้น (ร้อยละ 17.47)
ใช้ ‘ธรรมนูญตำบล’ ควบคุมกระท่อม-สร้างเศรษฐกิจชุมชน
กำนันสงคราม อธิบายว่า ธรรมนูญตำบล คือข้อตกลงร่วมกันของชาวบ้านในตำบลน้ำพุ เพื่อสร้างกฎ กติกาขึ้นมาควบคุมการใช้กระท่อม โดยมีการสอบถามความคิดเห็นหรือทำประชาคมจากชาวบ้านในตำบล แล้วนำมาร่างเป็นธรรมนูญตำบล เรียกว่า ‘ธรรมนูญตำบล เพื่อการควบคุมพืชกระท่อมและสร้างชุมชนเข้มแข็งปลอดยาเสพติดพืชกระท่อม พื้นที่ตำบลน้ำพุ อำเภอบ้านนาสาร จังหวัดสุราษฎร์ธานี’
มีสาระสำคัญ เช่น มีคณะกรรมการระดับหมู่บ้านและตำบลควบคุมการใช้ธรรมนูญตำบล มีข้อห้าม เช่น 1.ห้ามครัวเรือนที่ไม่ปลูกกระท่อมปลูกใหม่โดยเด็ดขาด 2.ห้ามบุคคลในครัวเรือนซื้อขายพืชกระท่อม 3.ห้ามนำพืชกระท่อมออกจากตำบล 4.ห้ามเด็กเยาวชนนั่งมั่วสุมและมีพฤติกรรมที่เกี่ยวกับการเสพพืชกระท่อม 5.ห้ามมีการผลิต ปรุงน้ำกระท่อม ฯลฯ
การปฏิบัติของผู้เสพพืชกระท่อม 1.ต้องลงทะเบียนประวัติกับผู้ใหญ่บ้าน 2.ต้องเข้าร่วมประชุมทุกครั้งที่มีวาระเกี่ยวกับพืชกระท่อม 3.ต้องตรวจสุขภาพประจำปีตามแผนของ รพ.สต. 4.ผู้ที่มีใบรับรองจากกำนันหรือผู้ใหญ่บ้านให้พกพาพืชกระท่อมในพื้นที่รับผิดชอบของสถานีตำรวจภูธรท่าชีได้ไม่เกิน 30 ใบ 5.ผู้ใดหรือครอบครัวใดฝ่าฝืนให้คณะกรรมการฯ ตัดทำลายพืชกระท่อมทั้งหมดโดยไม่มีข้อยกเว้น
ศุภวัฒน์ กล่อมวิเศษ ชาวบ้านตำบลน้ำพุ ในฐานะผู้ใช้พืชกระท่อมและศึกษาเรื่องกระท่อมมายาวนาน กล่าวว่า จากการศึกษาเบื้องต้นของสถาบันการศึกษาหลายแห่ง เช่น คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ พบว่า มีการใช้พืชกระท่อมบำบัดรักษาโรคต่างๆ เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง และใช้ทดแทนมอร์ฟีนแก้ปวด ซึ่งหากผลการศึกษายืนยันว่าพืชกระท่อมมีสรรพคุณในการรักษาโรคต่างๆ ดังกล่าว จะสามารถนำพืชกระท่อมมาใช้ประโยชน์และเพิ่มมูลค่าได้สูง เป็นพืชเศรษฐกิจใหม่ของชาวบ้าน ทดแทนยางพาราและปาล์มน้ำมันที่ราคาตกลงทุกวัน
“หากมีการปลดล็อกพืชกระท่อมแล้ว ผมอยากให้ชาวบ้านได้ประโยชน์ โดยการปลูกกระท่อมเพื่อส่งใบจำหน่ายให้แก่องค์การเภสัชกรรม หรือมหาวิทยาลัยเพื่อนำไปผลิตเป็นยารักษาโรค รวมทั้งทดแทนการนำเข้ามอร์ฟีน เพราะประเทศไทยนำเข้ามอร์ฟีนทางการแพทย์ประมาณปีละ 9,000 ล้านบาท โดยจะเสนอให้ชาวบ้านตำบลน้ำพุ 1 ครัวเรือน ปลูกกระท่อมได้ครัวเรือนละ 100 ต้น ในพื้นที่ 1 ไร่ โดยปลูกแบบควบคุมในตาข่ายหรือกระโจม” ศุภวัฒน์บอกถึงข้อเสนอ
กำนันสงคราม กล่าวเสริมว่า ถ้าปลูกกระท่อม 1 ไร่ ชาวบ้านจะมีรายได้มากกว่าปลูกยางพาราอย่างน้อย 10 เท่า เพราะขณะนี้ยางพาราราคาไม่เกินกิโลฯ ละ 40 บาท ส่วนกระท่อม 1 กิโลกรัม จะมีใบประมาณ 700 ใบ ราคาประมาณกิโลฯ ละ 1,000 บาท ถ้าปลูกกระท่อม 1 ต้น จะมีรายได้ประมาณเดือนละ 3,000 บาท/ต้น
“กระท่อมเป็นพืชท้องถิ่นที่ชาวบ้านใช้ประโยชน์มาตั้งแต่รุ่นปู่ทวดจนถึงปัจจุบัน มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์วิจัยด้านสุขภาพและอวัยวะต่างๆ พบว่ามีผลกระทบน้อย จุฬาลงกรณ์ฯ ก็มาวิจัยด้านสังคมที่ตำบลน้ำพุแล้ว พบว่ากระท่อมไม่ได้ทำลายสังคม แต่ทำให้เกิดความรัก ความสามัคคี ไม่เหมือนกับสุราที่ทำให้ทะเลาะกัน แต่ก็ต้องมีการควบคุมการใช้ เช่น ไม่ให้เยาวชนอายุต่ำกว่า 18 ปีใช้ ไม่ให้ผสมแบบ 4 คูณ 100 และหากปลดล็อกพืชกระท่อมแล้ว ผมก็อยากให้พืชกระท่อมเป็นพืชเศรษฐกิจของประเทศ ปลูกเพื่อทำยารักษาโรคต่างๆ โดยใช้ตำบลน้ำพุเป็นต้นแบบ และขยายไปในพื้นที่ที่มีความพร้อม” กำนันสงครามกล่าวทิ้งท้าย
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |