ก็เป็นอันเสร็จสิ้นไปในขั้นหนึ่ง หรือระดับหนึ่ง เป็นที่เรียบโร้ยย์ย์ย์แล้ว...สำหรับผลสำรวจ ตรวจสอบ ความเป็นมา-เป็นไป ของคดี บอส กระทิงแดง ภายใต้หน้าที่และความรับผิดชอบของอาจารย์ วิชา มหาคุณ และบรรดาคณะกรรมการทั้งหลาย ส่วนนับจากนี้จะนำไปสู่สิ่งใดๆ ต่อไป น่าซู้ดซ้าด-ไม่ซู้ดซ้าด หรือมีอันต้อง อยู่ๆ กันไป อันนั้น...คงต้องถือเป็นหน้าที่และความรับผิดชอบของท่านนายกฯ บิ๊กตู่ ของหมู่เฮา อย่างมิอาจปฏิเสธและหลีกเลี่ยงได้...
---------------------------------------------------
ซึ่งเท่าที่ดูจากอากัปกิริยา ท่าที ไม่ว่าจากท่านที่ปรึกษานายกฯ อย่างอาจารย์ พีระพันธุ์ หรือแม้แต่ตัวนายกรัฐมนตรีที่แม้ยังไม่ได้ถึงกับแสดงออกแบบแจ่มแจ้ง ชัดเจน อะไรมากมายนัก แต่ก็น่าจะทำให้ใครต่อใคร ใจชื้น ขึ้นมามั่ง แม้นี้ดๆ โหน่ยๆ ก็ยังดี คือถึงแม้นอาจไม่ถึงขั้น สี จิ้นผิง มาเอง แต่อาจจัดอยู่ในระดับใกล้ๆ สีปามมาสติก ที่พอเอาไว้ใช้ลูบไล้อาคาร กันสนิมเหล็ก กันเพรียง ฯลฯ ได้บ้าง หรืออาจพอช่วยให้เกิดความรู้สึกถึง ความเสมอภาค ในทางตัวบทกฎหมาย อันถือเป็นพื้นฐานที่สำคัญเอามากๆ ต่อสิ่งที่เรียกขานกันในนาม ความร่วมมือ-ร่วมใจ หรือ ความรู้-รัก-สามัคคี ก็แล้วแต่...
----------------------------------------------------
คือถ้าหากคิดจะจัดสร้าง เนรมิต สรรค์สร้าง ประดาสิ่งเหล่านี้ให้อุบัติขึ้นมาในสังคมไทย แบบเป็นจริง เป็นจัง เป็นเรื่อง เป็นราว คงต้องยอมรับอย่างมิอาจปฏิเสธได้ว่า ภายใต้ โครงสร้าง หรือภายใต้ ระบบ และ ระบอบ ของสังคมไทย หรือประเทศไทยแลนด์ แดนสยาม ของหมู่เฮาทั้งหลาย มันออกจะมี เงื่อนไข มี เหตุปัจจัย มากพอ ที่จะเอามาตบแต่ง ต่อยอด เพื่อให้เกิดบรรดาสิ่งเหล่านี้ขึ้นมาได้ไม่ยากซ์ซ์ซ์ พูดง่ายๆ ว่า...มันมี เหตุผล และ ข้ออ้าง อยู่อีกเยอะแยะ มากมาย ที่จะนำมาใช้เป็นเครื่องมือ ในการฟาดฟัน กำราบ เผด็จศึก หรือแม้กระทั่งเผด็จการ เพื่อให้เกิดอารมณ์-ความรู้สึก แห่งความร่วมมือ-ร่วมใจ หรือความรู้-รัก-สามัคคี หวนคืนกลับมาได้เสมอๆ...
--------------------------------------------------
อย่างเช่น ยุค พระนเรศวรมหาราช หรือยุค พระเจ้าตาก เป็นต้น...ที่ได้หยิบเอาความไม่เข้าท่า ไม่เอาไหน ความเละเทะ เลอะๆ เทอะๆ การลูบหน้า-ปะจมูก หรือการโอนอ่อนผ่อนตามใน ระบบอุปถัมภ์ ของสังคมไทย มาใช้เป็นเครื่องปราบดาภิเษก ตัดหัว คั่วแห้ง ใครต่อใคร จนสังคมที่มีระเบียบ วินัย และมี ความเป็นธรรม สามารถหวนคืนกลับมาได้อย่างน่าทึ่ง น่าตื่นตะลึงเอามากๆ ยิ่งถ้าใครก็ตาม...ที่เคยได้อ่านจดหมายพงศาวดารของ วันวลิต ไม่ว่าจะเชื่อ-ไม่เชื่อหรือไม่ก็แล้วแต่ แต่โอกาสที่จะเกิดอาการขนหัวลุก-ขนคอตั้ง อันเนื่องมาจากเหตุผลและข้ออ้าง ในการปราบดาภิเษกของอดีตพระมหากษัตริย์เหล่านี้ ย่อมสามารถบังเกิดขึ้นได้ไม่ยาก...
-----------------------------------------------------
การฟื้นฟูสภาพของ กรุงศรีอยุธยา หรือ กรุงธนบุรี ให้กลับคืนขึ้นมาสู่ความคึกคัก เข้มแข็ง และมั่นคงครั้งใหม่ จึงเป็นอะไรที่คงต้องหันไป ศึกษา และ เรียนรู้ บางสิ่ง บางอย่าง จากบรรดาอดีตพระมหากษัตริย์เหล่านี้ไว้บ้าง ไม่มาก-ก็น้อย เพราะไม่ว่าฉากเหตุการณ์ ฉากสถานการณ์ ในระดับโลก หรือในสังคมไทยก็แล้วแต่ ย่อมหมุนเวียน เปลี่ยนไป อย่างมิมีอันจบสิ้น แต่สิ่งที่ถือเป็น หลักการพื้นฐาน เช่น ความร่วมมือ-ร่วมใจ ความเสมอภาค ความเป็นธรรม ความมีศีลธรรม คุณธรรม ขั้นพื้นฐาน ย่อมต้องถือเป็นสิ่งที่อยู่เหนือไปกว่าความเป็นยุค เป็นสมัย หรือเป็น อกาลิโก เอาเลยก็ว่าได้...
----------------------------------------------------
และก็แน่นอนนั่นแหละว่า...ความหมุนเวียน เปลี่ยนไป ของโลกยุคนี้ สมัยนี้ สิ่งที่พอจะเห็นๆ กันอยู่อีกไม่ใกล้-ไม่ไกล ก็คงหนีไม่พ้นไปจากฉากเหตุการณ์ ฉากสถานการณ์ ที่อาจไม่น้อยไปกว่าครั้ง กรุงแตกครั้งที่ 1 หรือ ครั้งที่ 2 ก็ตามที แม้ว่ายังไม่ได้อุบัติขึ้นมาอย่างชัดแจ้ง โจ่งแจ้ง ในช่วง ณ ขณะนี้ แต่โอกาสที่จะเกิดขึ้นและ ลากยาวว์ว์ว์ ไปในระดับ 4 ปี-5 ปี ไปจนถึงขั้นใกล้ๆ กับครั้ง กรุงแตก จนได้ ก็ใช่ว่าจะไม่มีเอาซะเลย ไม่ว่าจะในแง่เศรษฐกิจ การเมือง ไปจนแม้แต่ การทหาร ที่แม้ทุกวันนี้ แค่ เรือดำน้ำ ไม่กี่ลำ ก็ยังหาซื้อไม่ได้!!! เรียกว่า...ไม่ได้น้อยไปกว่าครั้ง ปืนใหญ่ ในกรุงศรีอยุธยาครั้งที่ 2 ที่ต้องตกอยู่ในสภาพไม่ต่างอะไรไปจากสากกะเบือเราดีๆ นี่เอง...
---------------------------------------------------
การฟื้นฟูความร่วมมือ-ร่วมใจ หรือความรู้-รัก-สามัคคี ให้หวนกลับคืนขึ้นมาได้ใหม่ จนสามารถกลายเป็นค่าย-คู-ประตูรบ เป็นกำแพงปกป้องพระนคร ไม่ว่าในทางการเมือง เศรษฐกิจ สังคม ไปจนถึงการทหารก็ตามที ก็มีแต่ต้องอาศัย หลักการพื้นฐาน อันว่าด้วยความเสมอภาค ความเป็นธรรม หรือความมีคุณธรรม ศีลธรรม นั่นแหละเป็นเบื้องต้น และออกจะเป็นไปในแบบเด็ดขาด และเด็ดเดี่ยวเอามากๆ สำหรับการฟื้นฟูบูรณะประเทศไทย สังคมไทย ในช่วง 2 ครั้งที่ผ่านมา ไม่ได้ออกไปทางลูบหน้าปะจมูก ไม่ได้โอนอ่อนผ่อนตามระบบอุปถัมภ์ใดๆ เอาเลยแม้แต่นิด ชนิดอาจหนักซะยิ่งกว่า สี จิ้นผิง ประมาณ 2 เท่า 3 เท่า เอาเลยก็ว่าได้...
----------------------------------------------------
ก็เอาเป็นว่า...ในเมื่อ อดีต นั้นสามารถนำมาใช้เป็นตัวอย่าง แบบอย่าง ได้เสมอๆ ขึ้นอยู่กับว่าใครจะสามารถนำมาใช้ปรับเปลี่ยนตัวเอง ให้สอดคล้องไปกับปัจจุบันและอนาคต ได้อย่างเป็นจริง เป็นจัง ความพยายามฟื้นฟู นำความร่วมมือ-ร่วมใจ กลับคืนมาสู่สังคม จึงแม้ไม่ได้ถือเป็น เรื่องยาก แต่ก็ไม่ได้ถึงกับเป็น เรื่องง่าย ซักเท่าไหร่นัก เพราะเอาไป-เอามาแล้ว...มันคงขึ้นอยู่กับ ตัวตน หรือ อัตตา ของบรรดาผู้ที่มีอำนาจ หน้าที่ และความรับผิดชอบ ทั้งหลาย...นั่นแล...
-----------------------------------------------------
ปิดท้ายด้วยวาทะวันนี้จาก “Anon”... “The practical value of history is to throw the film of the past through the material projector of the present onto the screen of the future. - คุณค่าของประวัติศาสตร์ในทางปฏิบัติ คือการส่งฟิล์มภาพยนตร์แห่งอดีต ผ่านเครื่องฉายในปัจจุบัน ไปยังจอภาพแห่งอนาคต...”.
--------------------------------------------------------
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |