2 ก.ย.63 - ที่ห้องประชุมสภาผู้แทนราษฎร อาคารรัฐสภา นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ตอบกระทู้ถามทั่วไป ของนายสัมฤทธิ์ แทนทรัพย์ ที่ได้สอบถามว่า กระทรวงพาณิชย์มีการควบคุมและการกำกับการนำเข้าข้าวสาลีในสัดส่วน 3:1 ให้มีความโปร่งใส และสามารถนำไปขายให้บริษัทอื่นๆ ได้หรือไม่ และการนำเข้าข้าวบาร์เล่ย์ และ กากข้าวโพด เอทานอล (DDGS) ซึ่งมีผลกระทบต่อราคาข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ภายในประเทศ กระทรวงพาณิชย์มีมาตรการที่จะเข้าไปแก้ไขปัญหาดังกล่าวอย่างไรนั้น
โดยนายจุรินทร์ กล่าวว่า ที่มาของการให้นำเข้าข้าวสาลีถือเป็นมาตรการเสริมในนโยบายหลักสำคัญของรัฐบาล คือนโยบายประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวโพด ซึ่งเป็น 1 ในพืช 5 ชนิด ที่รัฐบาลนี้มีนโยบายประกันรายได้อันประกอบด้วยข้าว มันสำปะหลัง ปาล์ม ยางพารา ซึ่งขณะนี้ราคายางได้ดีขึ้นเป็นลำดับ โดยราคายางแผ่นรมควัน แตะ 60 บาท ยางแผ่นดิบ ราคาเกินกว่า 50 บาทและพืชตัวที่ 5 คือข้าวโพด ซึ่งมาตรการประกันรายได้ผู้ปลูกข้าวโพดนั้น ขณะนี้คณะรัฐมนตรีได้มีมติให้ความเห็นชอบไปเรียบร้อยแล้ว ว่าจะประกันรายได้เช่นเดียวกับปีที่แล้ว คือ กก.ละ 8.50 บาท ครัวเรือนละไม่เกิน 30 ไร่ ซึ่งในปีที่ผ่านมามีเดือนมิถุนายนที่ยังไม่ได้รับเงินประกันรายได้ เพราะเป็นช่วงที่รัฐบาลยังไม่ได้เข้ามาบริหาร แต่รัฐบาลก็มีมาตรการเพิ่มเติมย้อนหลังให้แล้ว สำหรับฤดูการผลิตใหม่ มีการประกันรายได้ครบทั้งปี รวมทั้งมีมาตรการเสริม 3 ข้อ
1. ช่วงที่ข้าวโพดออกมากให้สถาบันเกษตรกรสามารถกู้เงินดอกเบี้ยต่ำ รวบรวมผลผลิตในช่วง 2 – 4 เดือน รัฐบาลจะช่วยดอกเบี้ย 3%
2. หากเก็บสต็อกไว้ 4 เดือน รัฐบาลก็จะช่วยเหลือดอกเบี้ย 3% เช่นกัน
3. หากจะมีการนำเข้าข้าวสาลี จะต้องมีการรับซื้อข้าวโพดในประเทศ 3 ส่วน จึงจะสามารถนำเข้าข้าวสาลีได้ 1 ส่วน
ดังนั้นการที่ ส.ส. ได้สอบถามถึงมาตรการควบคุมบริษัทที่นำเข้าข้าวสาลี ไม่ให้นำไปขายให้บริษัทอื่นได้อย่างไรนั้น นายจุรินทร์กล่าวตอบว่า มีมาตรการที่จะกำกับดูแลการนำเข้าข้าวสาลีหลายมาตรการ โดยเฉพาะมีการออกกฎระเบียบหลายฉบับ ยกตัวอย่างเช่น ฉบับที่ 1 ประกาศของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เรื่องการกำหนดคุณภาพและมาตรฐานของอาหารสัตว์ควบคุมเฉพาะวัตถุดิบ พ.ศ. 2559 ซึ่งกำหนดไว้ชัดเจนว่า ถ้าจะนำเข้าข้าวสาลีจะต้องมีคุณภาพ เช่น ข้าวสาลีเมล็ด โปรตีนจะต้องไม่น้อยกว่า 8.5 ไขมันต้องไม่น้อยกว่าร้อยละ 1 กากต้องไม่เกินร้อยละ 3 ความชื้นไม่มากกว่าร้อยละ 14 เถ้าไม่น้อยกว่าร้อยละ 2 นอกจากนั้นก็ยังมีประกาศของกระทรวงพาณิชย์ในการกำหนดให้ข้าวสาลีเป็นสินค้าต้องขออนุญาตและปฏิบัติตามมาตรฐานการจัดระเบียบในการนำเข้ามาในราชอาณาจักร พ.ศ. 2559
นอกจากนั้นในเรื่องการเคลื่อนย้าย ก็ยังมีการกำหนดมาตรการไว้ชัดเจนตามประกาศของคณะกรรมการกลางว่าด้วยราคาสินค้าและบริการในการควบคุมการขนย้ายข้าวสาลีที่นำเข้ามา ยกตัวอย่างเช่น ข้อสามในประกาศระบุชัดเจน ห้ามมิให้บุคคลใดขนย้ายข้าวสาลี ซึ่งมีปริมาณตั้งแต่ 10,000 กก. ขึ้นไป เว้นแต่ได้รับหนังสืออนุญาตจากเลขาธิการ
นอกจากนั้นการขนย้ายจะเข้ามาในราชอาณาจักรจะต้องเข้ามาได้เพียง 2 จุดเท่านั้น คือท่าเรือคลองเตย กรุงเทพมหานครและท่าเรือแหลมฉบัง ศรีราชา จังหวัดชลบุรีเท่านั้น และเมื่อจะมีการขนย้ายก็ต้องขนย้ายตรงตามชนิด ปริมาณ ระยะเวลา สถานที่เก็บ และใช้ยานพาหนะ ที่มีทะเบียนที่ระบุไว้ในหนังสือขออนุญาตชัดเจน รวมทั้งต้องมีหนังสืออนุญาตกำกับการเคลื่อนย้ายไปด้วยทุกครั้ง และ 1 ใบอนุญาตใช้ได้เฉพาะการขนย้ายครั้งเดียวเท่านั้น
อีกทั้งยังมีพระราชบัญญัติกักพืช พ.ศ. 2507 กำหนดไว้ในส่วนของกระทรวงเกษตรฯ ว่าการนำเข้ามาจากต่างประเทศนั้นต้องผ่านมาตรฐานการตรวจสอบจากกรมวิชาการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ รวมทั้งมีมาตรการภาษีกำกับด้วยโดยใช้หลัก WTO ซึ่งถ้ามีการนำเข้ามาในโควต้าต้องเสียภาษีร้อยละ 20 ถ้านำเข้ามานอกโควต้าก็จะต้องเสียภาษีร้อยละ 73 บวกกับค่าธรรมเนียมพิเศษที่กรมศุลกากร จะต้องจัดเก็บอีก ตันละ 180 บาท เป็นต้น
และเมื่อนำเข้ามาแล้วยังมีประกาศ กกร. ควบคุมการขนย้ายอย่างชัดเจน รวมไปถึงการกำหนดสถานที่จัดเก็บ ซึ่งจะต้องแจ้งทั้งปริมาณ และสถานที่เก็บ ให้กับพาณิชย์จังหวัด หรือกับกระทรวงพาณิชย์ โดยให้แจ้งกับเลขาธิการ กกร. คืออธิบดีกรมการค้าภายใน หากผู้ใดไม่ปฏิบัติตาม ไม่แจ้งปริมาณ สถานที่เก็บ มีโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปีปรับไม่เกิน 20,000 บาทหรือทั้งจำทั้งปรับ และหากยังไม่แจ้งอีกก็จะมีการปรับวันละ 2,000 บาท
สำหรับในการขนย้าย หากไม่ดำเนินการขนย้ายตามกฎระเบียบ ก็จะมีการปรับไม่เกิน 100,000 บาท จำคุกไม่เกินห้าปีหรือทั้งจำทั้งปรับเหล่านี้เป็นต้น ซึ่งเป็นมาตรการที่กำหนดไว้ทั้งหมดแล้ว
สำหรับข้อกังวลของ ส.ส. ที่ระบุว่าหากมีการนำเข้ามาแล้วและนำไปขายต่อให้กับบริษัทอื่น หรือผู้ใช้รายอื่นนั้น รมว.พาณิชย์กล่าวตอบว่า ในเรื่องนี้กระทรวงพาณิชย์ได้มีประกาศไว้ชัดเจนว่า การนำเข้าข้าวสาลีต้องมาใช้ในกิจการของผู้ขออนุญาตเท่านั้น จะนำไปจำหน่าย จ่ายโอนให้กับผู้อื่นไม่ได้ ถือว่ามีความผิดตามประกาศ
สำหรับกรณีที่ได้ถามว่า วันที่ 1 ก.ย. เป็นวันเริ่มต้นห้ามนำเข้าข้าวสาลี แต่ราคาข้าวโพดยังคงตกอยู่นั้น รมว. พาณิชย์ กล่าวตอบว่า ตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน 2563 - 31 มกราคม 2564 กระทรวงพาณิชย์มีมาตรการห้ามนำเข้าข้าวสาลี จะใช้ 3:1 หรือไม่นั้น แต่เหตุที่ห้ามนำเข้านั้นเป็นเพราะเป็นเพราะช่วงนี้ผลผลิตข้าวโพดในประเทศออกมามาก มาตรการนี้กำหนดเพื่อคุ้มครองเกษตรกรผู้ปลูกข้าวโพดในประเทศไทย ส่วนราคาในช่วงระยะเวลานี้ เนื่องจากผลผลิตออกมาก ซึ่งตามกลไกตลาดก็ชัดเจนว่า หากผลผลิตออกมามากโอกาสที่ราคาจะลดลงก็มีความเป็นไปได้ แต่จากการตรวจสอบพบว่าช่วงนี้มีฝนตกมาก ทำให้ข้าวโพดมีความชื้นสูง ทำให้เกษตรกรที่เก็บเกี่ยวและขายในทันทีไม่สามารถขายได้ในราคาที่ดีตามสมควรเพราะเรื่องความชื้น
แต่อย่างไรก็ตามวานนี้ ตนจึงได้เร่งสั่งการให้กระทรวงพาณิชย์ได้ลงไปตรวจสอบและกำกับให้ทุกอย่างเป็นไปด้วยตามมาตรการที่กำหนดไว้เพื่อดูแลเกษตรกรให้ดีที่สุด และจะได้นำมาแจ้งต่อที่ประชุมฯ และผู้ตั้งกระทู้ถามได้ทราบในภายหลัง
สำหรับในเรื่องของราคา บางช่วงพืชผลทางการเกษตร ราคาอาจจะตกต่ำลงมาได้ตามเหตุผลของแต่สถานการณ์รวมทั้งกลไกตามตลาดบางช่วงที่ผลผลิตออกมากบ้างน้อยบ้าง เพราะฉะนั้นจึงเป็นที่มาที่รัฐบาลจำเป็นต้องมีนโยบายประกันรายได้ อันเป็นนโยบายสำคัญเพื่อประกันรายได้เกษตรกร โดยเฉพาะประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวโพด
“เมื่อไหร่ก็ตามที่ราคาข้าวโพดต่ำกว่ารายได้ที่ประกัน คือกิโลละ 8.50 บาท เช่นลงมาเหลือราคาที่ 8 บาท รัฐบาลจะโอนเงินส่วนต่าง 50 สตางค์ เข้าบัญชี ธกส. ที่เกษตรกรผู้ปลูกข้าวโพดนำมาขึ้นทะเบียนและเปิดบัญชีไว้โดยตรง เพื่อช่วยให้เกษตรกรสามารถมีรายได้สองทาง แทนที่จะมีรายได้ทางเดียว” หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์กล่าว
และนอกนั้นยังมีมาตรการเสริมเพื่อแก้ปัญหากรณีที่ข้าวโพดในประเทศที่ออกมาปริมาณมากเกินไปจนทำให้ราคาในตลาดตก ก็จะมีมาตรการให้ชะลอเก็บข้าวโพดไว้ และรัฐบาลก็ช่วยเหลือเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำร้อยละ 3 รวมทั้งมาตรการอื่นที่ตนได้สั่งการให้พาณิชย์จังหวัดทั่วประเทศได้ติดตามสถานการณ์การปลูกพืชเกษตรทุกตัว หากมีปัญหาใดๆ เกิดขึ้นไม่ว่าจะด้วยเหตุใดก็ตามขอให้รายงานมาและจะเร่งแก้ไขปัญหาช่วยเหลือเกษตรกรโดยเร่งด่วนทันที
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |