“ประยุทธ์” ใช้บทบาท รมว.กลาโหมสั่งกองทัพเรือชะลอซื้อเรือดำน้ำลำที่ 2-3 ไปอีก 1 ปี ชี้เห็นถึงความห่วงใยประชาชนและปัญหาเศรษฐกิจ มอบ ทร.ไปเจรจากับจีน ยันไม่หยุดซื้อเพราะเป็นแผนพัฒนาของกองทัพ “ปลัดบัญชีทหารเรือ” ฉับไวทำหนังสือถึง กมธ.วิสามัญฯ ให้ตัดงบ 3,925 ล้านบาทเหลือ 0 บาท ยอมกลืนเลือดใช้ศักยภาพที่มีอยู่ปฏิบัติภารกิจเต็มกำลัง กมธ.ลงมติเอกฉันท์ 63 เสียงเห็นชอบลดงบ ส่วน “เพื่อไทย” มิวายให้เลิกซื้อไปเลย
เมื่อวันจันทร์ที่ 31 สิงหาคม นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงถึงการจัดซื้อเรือดำน้ำ 2 ลำของกองทัพเรือ วงเงิน 22,500 ล้านบาท โดยในปี 2564 ได้ขออนุมัติงบประมาณจำนวน 3,375 ล้านบาทว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม (กห.) ได้พูดคุยเป็นการภายในใน กห. โดยเฉพาะกองทัพเรือ (ทร.) ได้ข้อสรุปว่าขอให้ ทร.พิจารณาชะลอการจัดซื้อเรือดำน้ำลำที่ 2 และ 3 ไปก่อน เพื่อให้ประชาชนได้ตระหนักถึงความเข้าใจของนายกฯ ที่ได้เห็นถึงความห่วงใยของประชาชน สังคม และคณะกรรมาธิการ (กมธ.) ที่จะต้องนำงบประมาณไปใช้ในส่วนอื่น ไม่ว่าจะเป็นการดูแลปากท้องประชาชนและเรื่องอื่นๆ ที่คิดว่าเหมาะสม
นายอนุชากล่าวต่อว่า วันนี้นายกฯ ในฐานะ รมว.กลาโหมให้ กมธ.พิจารณาเรื่องนี้อีกทีเพื่อให้เกิดความเหมาะสม โดยกระทรวงกลาโหมและกองทัพเรือจะชี้แจง กมธ.อีกครั้งหนึ่ง ความเหมาะสมจะเป็นอย่างไร การเจรจากับจีนเพิ่มเติมในการชะลอหรือเลื่อนจัดซื้อไปอีก 1 ปีจะมีผลออกมาอย่างไร ทร.จะเป็นผู้ให้รายละเอียดเรื่องนี้ หลังจากนี้คงเป็นการพูดคุยกับจีนอีกครั้งหนึ่งถึงความจำเป็นที่เราต้องชะลอจัดซื้อไปก่อน ส่วนการจัดซื้อเรือดำน้ำนั้นเป็นการดำเนินการแบบรัฐต่อรัฐ (จีทูจี) ที่ถูกต้องทั้งหมด โดยดำเนินการมาตั้งแต่การจัดซื้อของลำที่ 1 แล้ว ในส่วนของลำที่ 2 และ 3 เป็นเรื่องที่จะส่งมอบต่อเนื่องเท่านั้นเอง เพราะงบประมาณทั้งหมดที่ตั้งไว้สำหรับซื้อทั้งหมด 3 ลำ อยู่ที่ 36,000 ล้านบาท
“นายกฯ เห็นถึงความสำคัญที่ประชาชนห่วงใยและกังวลเรื่องเศรษฐกิจ ดังนั้นหากชะลอไปได้อีก 1 ปี คิดว่าอย่างน้อยก็สามารถนำเงินกว่า 3 พันล้านบาทไปใช้ประโยชน์อย่างอื่นได้พอสมควร และคงต้องให้กองทัพเรือพิจารณาในการดำเนินการอย่างอื่นที่จะไม่มีปัญหาทางด้านความมั่นคงต่อไปด้วย" นายอนุชาระบุ
ขณะที่ พล.อ.ประยุทธ์กล่าวถึงกรณีนี้ว่า เรื่องดังกล่าวอยู่ในขั้นตอนของ กมธ.และเป็นเรื่องของ ทร.ต้องไปชี้แจง เนื่องจากได้ให้แนวทางไปแล้วว่าสามารถดำเนินการได้หรือไม่ โดย ทร.ก็ต้องไปคุยกับจีนในฐานะคู่สัญญาว่าจะชะลอการจ่ายเงินในปีหน้าได้หรือไม่ อีกทั้งต้องรอความเห็นของ กมธ.งบประมาณก่อน
เมื่อถามย้ำว่าเราจะเดินหน้าซื้อเรือดำน้ำต่อ เพียงแต่ชะลอการจ่ายเงินไปปีหน้าใช่หรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า "จะไปหยุดอย่างไร เพราะเป็นแผนการพัฒนาของกองทัพ และที่สำคัญเรามีหลักการ และเหตุผลที่ได้ชี้แจงไปแล้ว เนื่องจากเป็นแผนงานการพัฒนาทางเรือ และต้องไปดูว่าขณะนี้สถานการณ์รอบประเทศเป็นอย่างไร ถึงแม้ว่ามองดูเหมือนว่าไกล แต่ก็ไม่ไกลมากนัก โดยเฉพาะ 200 ไมล์ทะเลที่เกี่ยวกับน่านน้ำของเรา ก็ต้องระมัดระวังตรงนี้เอาไว้"
ใครครอบงำใครก้าวล่วง
"อย่านำการซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์ในแต่ละช่วงมาเปรียบเทียบกัน วันนี้ต้องมองไปข้างหน้า หากช้าเกินไปอาจไม่ทันเวลา สิ่งที่มีก็เพื่อการป้องกันรักษาทรัพยากรทางทะเลของไทย การประมงนอกน่านน้ำและในน่านน้ำ ปัจจุบันเราต้องใช้กองกำลังทางเรือเป็นจำนวนมาก” พล.อ.ประยุทธ์กล่าว
ถามว่าได้คุยกับ ผบ.ทร.อย่างไร พล.อ.ประยุทธ์ย้ำว่า ได้ให้แนวทางไปแล้วว่าให้ไปคุยเจรจากับจีน ส่วนงบประมาณจำนวนกว่า 3,000 ล้านบาทก็ไม่สามารถโยกไปทำอะไรได้ ก็ต้องตีตกกลับมา และเงินตัวนี้เป็นไปตามพระราชบัญญัติวินัยการเงินและการคลังอยู่แล้วว่าจะนำไปใช้ทำอะไรได้บ้าง
ถามอีกว่าหลังจากที่นายกฯ ได้ให้แนวทางชะลอเรื่องเรือดำน้ำ พรรคเพื่อไทย (พท.) ได้ตั้งข้อสังเกตว่าเป็นการครอบงำระบบนิติบัญญัติ พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า "ไม่ใช่ เพียงแต่ให้แนวทางกับกองทัพเรือในฐานะที่เป็น รมว.กลาโหม อยากให้เข้าใจว่ามี 2 บทบาท โดยบทบาทแรกคือนายกฯ ที่ต้องรับฟังความคิดเห็นและมองให้รอบด้าน อีกบทบาทหนึ่งคือ รมว.กลาโหมที่ต้องดูแลกองทัพ อะไรก็ตามที่เป็นแผนงานของกองทัพและเป็นเรื่องที่เสนอมาในกรอบวงเงินของเขาที่มีอยู่ ก็บอกว่าหากมีปัญหาเช่นนี้อยากให้ลองไปเจรจากับคู่สัญญาดู เนื่องจากมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) มอบหมายให้กองทัพเรือไปเจรจา จะมาบอกว่าปีหน้าเดี๋ยวก็มีปัญหาอีกก็ทำอะไรกันไม่ได้ ทำไมถึงไม่คิดว่าอำนาจนิติบัญญัติกำลังก้าวล่วงอำนาจบริหารบ้าง อยากให้ฟังสองทาง ถ้าเป็นเรื่องที่เสนอใหม่ก็เป็นอีกเรื่อง แต่เรื่องนี้มีการอนุมัติไว้แล้วชั้นต้นก็ต้องไปหารือกับมิตรประเทศ"
ทั้งนี้ นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด โฆษกพรรค พท.เป็นผู้ให้สัมภาษณ์ โดยตั้งคำถามถึงการที่ พล.อ.ประยุทธ์ให้ชะลอการซื้อเรือดำน้ำไป 1 ปีว่า เป็นการกระทำเข้าข่ายครอบงำการทำหน้าที่ของฝ่ายนิติบัญญัติหรือไม่ ถ้าภาคประชาชนไม่ส่งสัญญาณเตือนแรงๆ พล.อ.ประยุทธ์จะถอยหรือไม่ สงสัยว่าเหตุที่ พล.อ.ประยุทธ์ถอยเพราะจำนนต่อหลักฐาน หรือเดินฝ่าแรงต้านไปไม่ไหว ไม่ใช่การถอยแบบมีสำนึก ถ้าสำนึกต้องไม่ใช่แค่เลื่อนหรือชะลอไว้ 1 ปี แต่ต้องเลื่อนให้นานกว่านั้น หรือยุติการจัดซื้อเรือดำน้ำลำที่ 2 และ 3 ไปเลย
ขณะเดียวกัน พล.ร.อ.สิทธิพร มาศเกษม เสนาธิการทหารเรือ เดินทางมาร่วมประชุมคณะกรรมการบริหารสถานการณ์ฉุกเฉิน (กบฉ.) ครั้งที่ 63 แต่ปฏิเสธให้สัมภาษณ์ถึงกรณี พล.อ.ประยุทธ์ให้ ทร.ไปเจรจากับจีนเพื่อชะลอการจัดซื้อเรือดำน้ำ เช่นเดียวกับ พล.ร.อ.ลือชัย รุดดิษฐ์ ผู้บัญชาการทหารเรือ (ผบ.ทร.) ที่เดินทางมาร่วมประชุมสภากลาโหมก็ปฏิเสธตอบคำถามดังกล่าว โดยทำเพียงยิ้มและยกมือปัดเป็นเชิงว่าปฏิเสธที่จะตอบคำถามก่อนยกนิ้วโป้ง และเดินเข้าห้องประชุมทันที
พล.ท.คงชีพ ตันตระวาณิชย์ โฆษก กห.แถลงภายหลังการประชุมสภากลาโหมถึงโครงการจัดหาเรือดำน้ำว่า เป็นโครงการภายใต้วงเงินของ ทร.ผูกพันงบประมาณข้ามปี 2563 ซึ่งผ่านสภาผู้แทนราษฎรและได้บรรจุในพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2563 แล้ว ไม่ใช่โครงการผูกพันงบประมาณปี 2564 อย่างที่เข้าใจกัน เป็นในตามกรอบงบประมาณที่ ทร.ได้รับการจัดสรรในทุกปี ไม่ได้ขอรับการจัดสรรงบเป็นกรณีพิเศษ ซึ่งในปี 2563 ทร.ได้ชะลอโครงการเรือดำน้ำไปแล้ว งบประมาณส่วนหนึ่งได้ส่งคืนรัฐบาลเพื่อใช้แก้ไขปัญหาโควิด-19 ประมาณ 3,375 ล้านบาท และปี 2564 ก็ได้เลื่อนไปก่อนอีก 3,925 ล้านบาท ก็อยู่ที่ กมธ.วิสามัญงบฯ จะพิจารณา ทั้งนี้ไม่อยากให้มีการบิดเบือนเพราะส่วนนี้เป็นงบประมาณของ ทร.เอง ไม่ได้รับการจัดสรรให้มากขึ้น ในภาพรวมกองทัพได้งบประมาณทั้งหมด 6.77% ของงบประมาณทั้งหมด
ทัพเรือร่อนหนังสือ
ด้าน พล.ร.ท.ธีรกุล กาญจนะ ปลัดบัญชีทหารเรือ ทำการแทน ผบ.ทร.ได้ลงนามในหนังสือ เรื่อง การปรับลดงบประมาณการจัดหาเรือดำน้ำ จำนวน 2 ลำ เเจ้งไปยังประธานคณะ กมธ.วิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2564 สภาผู้แทนราษฎร ใจความว่า "ตามร่าง พ.ร.บ.งบประมาณ 2563 มีรายการจัดหาเรือดำน้ำจำนวน 2 ลำ และตามร่าง พ.ร.บ.งบประมาณ 2564 มีวงเงินงบประมาณสำหรับการจัดหาเรือดำน้ำ 2 ลำ จำนวน 3,925 ล้านบาทนั้น มีสถานการณ์การระบาดของโรคโควิด-19 ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจของประเทศ กองทัพเรือพิจารณารอบคอบแล้ว เห็นว่าการลดงบรายการนี้ลง ถึงแม้ว่าจะเกิดผลกระทบเป็นความเสียหายต่อการดำเนินการตามแผนงานโครงการของกองทัพเรือ ส่งผลต่อความสำเร็จในการปฏิบัติงานตามภารกิจของกองทัพเรือ ที่กำหนดไว้ตามกฎหมาย และที่ได้รับมอบหมาย อันจะส่งผลกระทบถึงประโยชน์ของประเทศชาติในภาพรวมอย่างหลีกเลี่ยงมิได้ด้วยก็ตาม แต่เพื่อให้สอดคล้องกับความจำเป็นตามภาวการณ์ของประเทศในปัจจุบัน กองทัพเรือตระหนักถึงประเด็นดังกล่าว และขอปรับลดงบในการจัดหาเรือดำน้ำ จำนวน 2 ลำ ในปีงบประมาณ 2564 ทั้งหมด คงเหลืองบประมาณในปีงบประมาณ 2464 จำนวน 0 ล้านบาท ทั้งนี้ เพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อประเทศชาติ กองทัพเรือขอเรียนว่าจะมุ่งมั่นพัฒนาและใช้ขีดความสามารถที่มีอยู่เพื่อลดความเสียหายและความเสี่ยงที่เกิดจากการต้องเลื่อนการจัดหาเรือดำน้ำออกไป ให้มีความเสี่ยงอยู่ในระดับที่ยอมรับได้ จะปฏิบัติหน้าที่ และภารกิจอย่างเต็มกำลังความสามารถ เป็นกองทัพเรือที่ประชาชนเชื่อมั่นและภาคภูมิใจ"
ด้านความเคลื่อนไหวที่รัฐสภา นายยุทธพงศ์ จรัสเสถียร ส.ส.มหาสารคาม พรรคเพื่อไทย ในฐานะโฆษกคณะ กมธ.วิสามัญฯ กล่าวเรื่องนี้ว่าต้องรอดูคณะ กมธ.จะถอนการจัดซื้องบเรือดำน้ำตามที่รัฐบาลให้สัมภาษณ์หรือไม่ จะโหวตกันอีกหรือไม่ หรือจะถอนโดยไม่ต้องลงมติ
เมื่อถามว่านายกรัฐมนตรีถอย คณะ กมธ.สามารถปรับลดทั้งหมดเลยได้หรือไม่ นายยุทธพงศ์ กล่าวว่า การทำงานของคณะ กมธ.กับฝ่ายบริหารไม่เกี่ยวกัน ซึ่งเป็นเรื่องของ กมธ.ที่จะพิจารณา การจะถอยหรือไม่ถอยอยู่ที่ผลการประชุมของคณะ กมธ.มากกว่า ไม่เช่นนั้นจะกลายเป็นว่านายกฯ สั่งให้ถอยแล้ว กมธ.ถอยตาม แบบนี้กลายเป็นว่าฝ่ายบริหารครอบงำการทำงานของคณะ กมธ.
ต่อมาที่ห้องประชุมงบประมาณชั้น 6 มีการประชุม กมธ.วิสามัญฯ โดยมีการพิจารณารายงานของคณะอนุกรรมาธิการครุภัณฑ์ ไอซีที รัฐวิสาหกิจ และทุนหมุนเวียน โดยช่วงเริ่มการประชุมนายสุพล ฟองงาม ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ที่เป็นประธานคณะอนุกรรมาธิการครุภัณฑ์ฯ ได้ชี้แจงผลการประชุมว่า ได้ประชุมและปรับลดงบประมาณ 4,521 ล้านบาท จำแนกเป็นปรับลดในแผนงานพื้นฐาน 567 ล้านบาท ปรับลดในแผนยุทธศาสตร์ 3,954 ล้านบาท
นายพิจารณ์ เชาวพัฒนวงศ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ในฐานะ กมธ.วิสามัญฯ กล่าวว่า งบประมาณสำหรับจัดซื้อเรือดำน้ำควรชะลอไปก่อน ซึ่งจะทำให้เราได้รับเรือดำน้ำในปี 2571 จึงควรให้ที่ประชุมคณะ กมธ.วิสามัญฯ มีมติให้ปรับลดงบประมาณในส่วนนี้
นายสันติ พร้อมพัฒน์ รมช.การคลัง หนึ่งในประธานการประชุมกล่าวว่า สัปดาห์ที่ผ่านมาได้เชิญ กมธ.แต่ละพรรคมาหารือถึงความเหมาะสมเกี่ยวกับเรือดำน้ำ จากการสอบถามได้มีข้อสรุปเห็นตรงกันว่า การมีเรือดำน้ำมีความจำเป็นอย่างยิ่ง จำนวน 3 ลำน้อยเกินไปด้วยซ้ำ เนื่องจากไทยมีทะเลถึงสองฝั่งและพื้นที่ชายฝั่งทะเล 12 ไมล์ทะเล และยังมีพื้นที่ทับซ้อนด้านความมั่นคงที่เป็นผลประโยชน์ของประชาชน เรือดำน้ำได้ผ่านออกมาเป็นงบประมาณตั้งแต่ปีงบประมาณ 2563 แต่ด้วยความปรารถนาดีและเห็นแก่เศรษฐกิจของประเทศ กองทัพเรือได้ส่งงบประมาณคืนเพื่อให้รัฐบาลไปแก้ปัญหาโควิด ต้องขอบคุณกองทัพเรือด้วย และจะมีการดำเนินการคืนงบประมาณให้ในปีงบประมาณ 2564 ต่อไป แต่เมื่อมาถึงการพิจารณางบประมาณปี 2564 ปรากฏว่าการแพร่ระบาดของโควิดยังไม่คลี่คลาย เนื่องจากยังไม่มีวัคซีน ดังนั้น กมธ.วิสามัญฯ เห็นว่าแม้เรือดำน้ำมีความจำเป็นแต่ยังไม่เหมาะในเวลานี้ เพราะโควิดอาจเกิดการระบาดรอบสองได้
มติเอกฉันท์ตัดงบเหลือศูนย์
"กระทรวงกลาโหมและกองทัพเรือได้แจ้งมายัง กมธ.ว่าในปี 2564 กองทัพเรือยินดีให้ปรับงบประมาณจำนวน 3,925 ล้านบาทในส่วนที่จะต้องไปจ่ายออกไปก่อนให้เป็นศูนย์ และให้กองทัพเรือไปใช้งบประมาณในปีถัดไปตามเห็นสมควร และให้กองทัพเรือไปเจรจากับผู้ผลิตว่าจะดำเนินการอย่างไรในการทำให้ไทยมีเรือดำน้ำตามความประสงค์ ปีนี้เลื่อนงบประมาณงวดแรกในการจ่ายเรือดำน้ำออกไป กองทัพเรือได้มีหนังสือแล้ว ส่วนเงินที่ปรับออกไปนั้นคงเป็นหน้าที่ของหน่วยปรับงบประมาณและสำนักงบประมาณจะไปพิจารณา" นายสันติกล่าว
ต่อมานายสันติได้แจ้งต่อที่ประชุมว่า ขอใช้สิทธิ์ในฐานะ กมธ.เพื่อเสนอญัตติให้ กมธ.วิสามัญฯ ปรับลดงบประมาณในส่วนนี้ตามที่ ทร.ได้ทำมาเป็นหนังสือถึงคณะ กมธ.วิสามัญฯ ซึ่ง กมธ.วิสามัญฯ ในสัดส่วนของพรรคก้าวไกล อาทิ นพ.เอกภพ เพียรพิเศษ ส.ส.เชียงราย และนายพิจารณ์ได้ขอที่ประชุมให้ทำการบันทึกว่า กมธ.วิสามัญฯ ในส่วนพรรคก้าวไกลไม่ได้คุยกับนายสันติตามที่กล่าวอ้างว่าทุกพรรคเห็นควรให้มีการซื้อเรือดำน้ำ พรรคยืนยันว่าไม่เห็นด้วยกับการจัดซื้อเรือดำน้ำ และการเลื่อนออกไปเพียงหนึ่งปีงบประมาณนั้นไม่น่าเป็นประโยชน์
นายพิจารณ์ยังได้สอบถามต่อที่ประชุมและตัวแทนสำนักงบประมาณว่า ปีงบประมาณ 2565 จะมีการพิจารณางบเรือดำน้ำใหม่หรือไม่อย่างไร หรืองบส่วนนี้จะตกไปและ ทร.ต้องตั้งงบประมาณเข้ามาใหม่หรือไม่ รวมถึงแนวทางของคณะ กมธ.วิสามัญฯ ในปีหน้าจะเป็นอย่างไรต่อไป ซึ่งตัวแทนสำนักงบประมาณชี้แจงว่า เรือดำน้ำมีการอนุมัติตั้งแต่ปี 2563 ส่วนการดำเนินการในปีงบประมาณ 2565 ต้องรอความชัดเจนจากกองทัพเรือว่าได้เจรจากับผู้ผลิตอย่างไรก่อน
ส่วนนายยุทธพงศ์กล่าวว่า ก่อนลงมติควรให้คณะอนุ กมธ.ได้กล่าวรายงานเรื่องดำน้ำต่อที่ประชุมก่อนว่ามีรายละเอียดเรื่องเรือดำน้ำอย่างไรบ้าง แต่ปรากฏว่านายวราเทพ รัตนากร ที่ทำหน้าที่ร่วมประธานการประชุมตอบโต้ว่า เมื่อประธาน กมธ.วิสามัญฯ ได้เสนอญัตติให้ที่ประชุมลงมติแล้วต้องไปสู่ขั้นตอนของการลงมติ ส่วนเรื่องรายละเอียดของคณะอนุ กมธ.นั้นดูได้จากเอกสารอยู่แล้ว หากนายยุทธพงศ์จะขออภิปรายก็ทำได้เฉพาะกรณีที่ไม่เห็นด้วยกับการปรับลดงบประมาณการจัดซื้อเรือดำน้ำเท่านั้น ทำให้นายยุทธพงศ์ยุติการขออภิปรายไป
จากนั้นที่ประชุมคณะ กมธ.วิสามัญฯ มีมติเอกฉันท์เห็นด้วย 63 เสียง งดออกเสียง 3 เสียง ปรับลดงบประมาณตามที่นายสันติเสนอ.
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |