เพจทหารผุด‘ไม่จบที่รุ่นเรา’


เพิ่มเพื่อน    

 

เพจทหารผุดแฮชแท็ก “จะไม่ยอมให้จบที่รุ่นเรา” พร้อมแพร่ภาพ "บิ๊กแดง" ชื่นชมทหารชายแดนใต้บาดเจ็บที่มาพักฟื้นที่สวนสนฯ พร้อมบันทึกภาพทหารชู 2 นิ้ว สู้เพื่อประชาชน และปกป้องชาติ สถาบัน เป็นที่ระลึก "หมอวรงค์" ย้ำเจอกันที่สนามไทย-ญี่ปุ่น ขณะที่ซูเปอร์โพลแฉต่างชาติกับนักการเมืองไทย กลุ่มผู้เสียผลประโยชน์ ร่วมกันออกแบบ สั่นคลอนความมั่นคงของประเทศ ซ้ำเติมวิกฤติ
    ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากกรณีที่ พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) ลงพื้นที่ จ.ประจวบคีรีขันธ์ เพื่อทำพิธีเปิดการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการบริหารงานของสถานพักฟื้นและพักผ่อนกองทัพบก สวนสนประดิพัทธ์ จากสวัสดิการภายในเป็นสวัสดิการในเชิงธุรกิจ และมอบเงินบำรุงขวัญแก่ผู้ที่ปฏิบัติงานที่สวนสนประดิพัทธ์มากว่า 20 ปี และกำลังพลที่ได้รับบาดเจ็บจากการปฏิบัติหน้าที่ราชการสนาม เมื่อวันที่ 28 ส.ค.ที่ผ่านมานั้น
    ล่าสุด เพจประชาสัมพันธ์ของกองทัพบกที่ใช้ชื่อว่า “SMART soldier strong ARMY” เปิดเผยว่า พล.อ.อภิรัชต์ได้ไปพบปะพูดคุยกับทหารที่ปฏิบัติหน้าที่ที่ชายแดนใต้ ที่ได้มาพักฟื้นที่สถานพักฟื้นและพักผ่อนกองทัพบก สวนสนประดิพัทธ์ พร้อมกับถ่ายภาพทหารเหล่านั้นไว้เป็นที่ระลึก
    โดยเพจดังกล่าวระบุว่า “ภาพเหล่านี้จะไม่มีวันลบไปจากใจและมือถือของ ผบ.ทบ. โดย ผบ.ทบ.เผยภาพสุดประทับใจ วันนี้แม่ทัพภาคที่ 4 ได้นำทหารที่เคยได้รับบาดเจ็บจากการปฏิบัติหน้าที่ ณ จังหวัดชายแดนภาคใต้มาพักผ่อน ณ สวนสนประดิพัทธ์ แต่ละคนถูกยิงแขน ขา บางคนโดนระเบิด บางคนโดนยิงหลัง หน้าอก เพื่อปกป้องผืนแผ่นดินไทย และเขาเหล่านี้ยังคงรบต่อไป รบจนสุดใจขาดดิ้น เพื่อปกป้องสถาบัน ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และประชาชน ไม่มีวันรู้จบ ทุกคนชู 2 นิ้ว สำหรับชีวิตที่สู้เพื่อประชาชน และปกป้องชาติ สถาบันอันเป็นที่รักยิ่งของคนไทยทุกคน มีแต่รอยยิ้ม แม้ตัวจะมีบาดแผล เห็นแล้วอยากกลับไปเป็นทหารหนุ่มๆ ร่วมรบกับเขาอีก” พร้อมทั้งติดแฮชแท็กว่า #จะไม่ยอมให้จบที่รุ่นเรา #เราไม่ทิ้งกัน
    อย่างไรก็ตาม คาดว่าการติดแฮชแท็กดังกล่าวจะเป็นการตอบโต้แฮชแท็กของผู้ชุมนุมที่ระบุว่า “#ให้มันจบที่รุ่นเรา”
    นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม แกนนำกลุ่มไทยภักดี ระบุข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว “Warong Dechgitvigrom” ว่า #น้องๆ จะไม่รับปริญญา ช่วงนี้ได้เห็นคลิปที่นักศึกษารณรงค์การไม่เข้ารับพระราชทานปริญญา ตนเข้าใจในธรรมชาติของวัยที่เร่าร้อน อ่อนประสบการณ์ ด่วนตัดสินใจ จึงเป็นกลุ่มเป้าหมายของนักการเมืองบางกลุ่ม ฉวยโอกาสเข้ามา สิ่งที่นักศึกษาต้องคิดคือ การที่จะไม่รับปริญญา คงได้ความสะใจ แต่ความภูมิใจของพ่อแม่ พี่และน้อง ที่รอคอยวันนี้ถูกทำลาย ความใฝ่ฝันของเด็กๆ ที่เห็นและต้องการสวมครุย ก็ถูกทำลาย ที่สำคัญคือ ความทรงจำดีๆ เมื่อเป็นผู้ใหญ่ก็จะถูกทำลาย และทุกอย่างเรียกกลับไม่ได้ ได้เพียงแค่ความสะใจชั่ววูบ
    สิ่งที่นักศึกษาต้องรู้คือ เมื่อจะไม่รับปริญญาต้องคิดว่า คุณภาพชีวิตของตน ของประชาชนจะดีขึ้นไหม ตอบได้เลยว่าไม่ เพราะนักศึกษาวิเคราะห์โจทย์ปัญหาประเทศผิด เนื่องจากได้รับข้อมูลแบบผิดๆ ว่าปัญหาประเทศมาจากสถาบันพระมหากษัตริย์ คนที่ให้ข้อมูลน้องๆ เขายกเมฆขึ้นมา กล่าวหาลอยๆ แบบไม่มีที่มาที่ไป ทั้งๆ ที่ความเป็นจริงปัญหาประเทศมาจากนักการเมืองทั้งสิ้น ทั้งทุจริตคอร์รัปชัน ใช้อำนาจไม่ชอบ ไม่ยึดประโยชน์ประชาชน ปล่อยให้ระบบราชการกินสินบนใต้โต๊ะ
    ต้องย้ำว่าถ้านักศึกษาเอาพลังไปตรวจสอบการทุจริต ใช้อำนาจไม่ชอบของนักการเมือง ช่วยผลักดันการเปลี่ยนแปลงประเทศ กับการที่จ้องล้มล้างสถาบันฯ สิ่งไหนประชาชนและตัวเองจะได้ประโยชน์มากกว่ากัน ถ้าอยากรู้ความจริง วันที่ 30 สิงหาคมนี้ เวลา 14.00-18.00 น. มาฟังความจริง ที่ถูกต้อง ที่สนามกีฬาไทยญี่ปุ่น-ดินแดง หรือติดตาม live ได้ที่เพจไทยภักดี ประเทศไทย
    ผศ.ดร.นพดล กรรณิกา ผู้อำนวยการสำนักวิจัยซูเปอร์โพล (SUPER POLL) นำเสนอผลสำรวจภาคสนาม เรื่อง หยุดคุกคามประชาชน กรณีศึกษาประชาชนทุกสาขาอาชีพทั่วประเทศ โดยดำเนินโครงการทั้งการวิจัยเชิงปริมาณ (Quantitative Research) และการวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) ผ่าน “เสียงประชาชนในโลกโซเชียล” (Social Media Voice) ด้วยระบบ Net Super Poll จำนวน 5,962 ตัวอย่างในโลกโซเชียล และ “เสียงประชาชนในสังคมดั้งเดิม” (Traditional Voice) จำนวน 1,121 ตัวอย่าง ดำเนินโครงการระหว่างวันที่ 20-28 สิงหาคมที่ผ่านมา พบว่า
เชื่อต่างชาติแทรกแซง
    เมื่อถามว่าเหตุการณ์ต่อไปนี้เป็นการ คุกคามประชาชน หรือไม่ พบว่า ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 97.3 ยกกรณีจลาจลฮ่องกง จุดไฟเผาคุณลุงผู้เห็นต่าง เป็นการคุกคามประชาชน รองลงมาคือ ร้อยละ 95.6 ยกกรณีจลาจลฮ่องกง กลุ่มม็อบนักเรียนห้ามครูบาอาจารย์สอนนักเรียนคนอื่น บังคับให้ไปม็อบ เป็นการคุกคามประชาชน ร้อยละ 92.3 ระบุ การโจมตี ด่า สลิ่ม ด่า ชังชาติ ต่างฝ่ายต่างด่าโจมตีกันไปมาเป็นการคุกคามประชาชน ร้อยละ 91.7 ระบุการโจมตี ด่า กลุ่มเห็นต่างในโลกโซเชียล เป็นการคุกคามประชาชน ร้อยละ 91.4 ระบุ ม็อบกดดันเจ้าหน้าที่ตำรวจปล่อยตัวคนทำผิดกฎหมาย เป็นการคุกคามประชาชน และร้อยละ 91.4 เช่นกัน ระบุ กลุ่มนักเรียนฝ่าฝืนกฎระเบียบวินัยขณะครูบาอาจารย์กำลังสอน เป็นการคุกคามผู้อื่น ร้อยละ 90.7 ระบุ การยึดพื้นที่ปิดถนน ไม่ให้ประชาชนเดินทางไปมา เป็นการคุกคามประชาชน ร้อยละ 90.5 ระบุ การถอนโฆษณาจากรายการที่เห็นต่าง เป็นการคุกคามประชาชน และร้อยละ 89.8 ระบุ การปลดพิธีกรรายการที่เห็นต่าง เป็นการคุกคามประชาชน เช่นกัน
    ที่น่าเป็นห่วงคือ ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 82.4 ระบุ เชื่อว่าจริง ที่ชาวต่างชาติกับนักการเมืองไทยกลุ่มผู้เสียผลประโยชน์ และอื่นๆ ร่วมกันออกแบบ สั่นคลอนความมั่นคงของประเทศ ซ้ำเติมวิกฤติ ความเดือดร้อนของประชาชน ในขณะที่ร้อยละ 17.6 ไม่เชื่อว่าจริง นอกจากนี้ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 77.1 ระบุ กลุ่มม็อบต่างๆ ก็คุกคามประชาชน ในขณะที่ร้อยละ 22.9 ระบุ กลุ่มม็อบต่างๆ ไม่ได้คุกคามประชาชน
    ที่น่าสนใจคือ ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 89.8 เห็นด้วยว่า ทุกฝ่ายควรหยุดคุกคามประชาชน ในขณะที่ร้อยละ 10.2 ไม่เห็นด้วย
    ผศ.ดร.นพดลกล่าวด้วยว่า ผลการสำรวจ “เสียงประชาชนในโลกโซเชียล” (Social Media Voice) ผ่านระบบ Net Super Poll ในการศึกษาแนวโน้มความเคลื่อนไหว “หยุดคุกคามประชาชน” ในโลกโซเชียล ซึ่งพบข้อมูลที่น่าพิจารณาคือ จำนวนผู้ใช้โซเชียลเฉพาะประเทศไทยอย่างเดียว การเคลื่อนไหวของผู้ใช้งานในวันม็อบ 16 สิงหาคม จำนวน 148,034 ผู้ใช้งานเฉพาะภายในประเทศไทย แต่ถ้านำข้อมูลรวมจากต่างชาติเข้ามาวิเคราะห์ด้วยมีถึงจำนวน 7,928,492 ผู้ใช้งาน
    นอกจากนี้ ข้อสังเกตที่ค้นพบอีกประการหนึ่งคือ ประเทศไทยมีจำนวนเด็กและเยาวชนอายุระหว่าง 12-24 ปีทั่วประเทศจำนวน 11,056,769 คน อ้างอิงจากกรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทยในปี พ.ศ.2562 จึงเห็นได้ว่า กลุ่มเคลื่อนไหว “หยุดคุกคามประชาชน” ในโซเชียลจำนวน 148,034 ผู้ใช้งาน คิดเป็นร้อยละ 1.34 เท่านั้น ซึ่งยังต้องแยกกลุ่มผู้ใหญ่ที่เข้ามาผสมโรงออกไปอีกในโอกาสต่อไป
    ผอ.ซูเปอร์โพลกล่าวว่า ผลการศึกษานี้ชี้ให้เห็นว่า สถานการณ์บ้านเมืองสงบสุขได้มากกว่านี้มากถ้าไม่มีการสร้าง ปั่นกระแสจากต่างประเทศเข้ามาผสมโรง เพราะระดับกระแสเฉพาะคนในประเทศไทยถูกเติมเชื้อไฟจากต่างประเทศเข้ามาทำให้เกิดภาพลวงตา ปลุกเร้าอารมณ์ให้ประชาชนคนไทยโดยเฉพาะกลุ่มเด็กและเยาวชนกำลังตกเป็นเครื่องมือ โดยฝ่ายหนึ่งใช้วิธีออนไลน์เชื่อมต่อลงพื้นที่จริง (Online-OnGround) ทำให้เกิดภาพกระแสแรงในโซเชียล แต่ผลการศึกษาพบว่า มีการปลุกปั่นกระแสจากต่างประเทศเข้ามาผสมโรง โดยเฉพาะช่วงนี้จะหนาแน่นจากกลุ่มประเทศในอาเซียน และกลุ่มประเทศตะวันตก เสมือนเกิดสงครามโลกที่ประเทศไทยกำลังตกเป็นประเทศที่ถูกรุมถล่มให้ “เสาหลักของชาติสั่นคลอน” จึงจำเป็นต้องส่งข้อมูลเตือนไปยังประชาชนทั่วประเทศ
    ผอ.ซูเปอร์โพลกล่าวต่อว่า ถ้าประชาชนทุกคนในชาติรู้เท่าทัน มีสติ เกาะติดความเป็นจริงมากกว่าตามกระแสปั่นอารมณ์ จะทำให้เราจะไม่แพ้สงครามโลกโซเชียลครั้งนี้ จึงเสนอให้หยุดคุกคามประชาชน หยุดคุกคามผู้อื่นทุกรูปแบบ ใครผิดว่าไปตามผิด ชาติบ้านเมืองก็จะเดินหน้าได้ไม่สะดุด ความสงบสุขอยู่ที่สติและปลายนิ้วมือของทุกคน เพราะการศึกษาครั้งนี้ค้นพบชัดเจนว่าอารมณ์ของประชาชนมีส่วนถูกปลุกปั่นจากกลุ่มเคลื่อนไหวในต่างประเทศที่พวกเขาเหล่านั้นไม่ต้องการให้ประเทศแข็งแกร่งไปมากกว่านี้.

 


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"