เริ่มจะเห็นผลแล้ว

            วานนี้ (๒๕ สิงหาคม) "อนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด" โฆษกพรรคเพื่อไทย แถลงข่าวหลังการประชุมพรรคเอาไว้ดังนี้

            "การเสนอแก้ไขรัฐธรรมนูญ ตามมาตรา ๒๗๑ ร่วมกับพรรคก้าวไกล ที่ประชุมมีการอภิปรายกันอย่างกว้างขวาง

            ส่วนใหญ่เห็นชอบกับการดำเนินการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ตามมาตรา ๒๕๖ คือการตั้ง ส.ส.ร. เพื่อเปิดทางให้ประชาชนได้แก้ไขรัฐธรรมนูญ เพราะเชื่อว่าเราไม่ควรไปคิดแทนประชาชน

            และถ้าหากเดินตามแนวทางนี้จะเป็นทางออกที่ดีที่สุดให้กับประเทศ และพรรคเพื่อไทยก็ได้ลงชื่อและดำเนินการตามแนวทางนี้มาโดยตลอด

            ส่วนการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ตามแนวทางมาตรา ๒๗๒ ลดอำนาจ ส.ว.ในการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี น่าจะเป็นการดำเนินการที่ไม่ถูกช่วงเวลา

            ก่อนที่จะมีการลงมติ ที่ประชุมได้เปิดให้ ส.ส.ได้อภิปรายกันอย่างกว้างขวาง และมีการเปิดโหวตโดย ๑.ไม่ร่วมลงชื่อ ๒.ร่วมลงชื่อ และ ๓.ฟรีโหวต ผลสรุปการลงมติคือ ๙๙.๙๙% ที่ไม่เข้าร่วมลงชื่อในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา ๒๗๒ มีเพียง นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว ส.ส.น่าน ที่มีความเห็นว่าเป็นเอกสิทธิ์ของ ส.ส.ในการตัดสินใจว่าจะเข้าร่วมหรือไม่"

            ครับ...ตอนนี้ชัดเจนแล้วว่า พรรคก้าวไกลถูกลอยแพไปเรียบร้อย

            ก็คงมาจากหลายสาเหตุ แต่หลักๆ น่าจะอยู่ที่นิสัยของพรรคก้าวไกล ก้าวร้าว ยึดความเห็นตัวเองเป็นใหญ่

            เมื่อไม่ได้ดังใจก็ด่ากราด

            การทำงานการเมืองแบบไร้มิตรของพรรคก้าวไกล ทั้งที่รู้ว่าต้องการเสียงของ ส.ว.ในการร่วมแก้ไขรัฐธรรมนูญ แต่ดันจะปิดสวิตช์ ส.ว.เสียก่อน ก็เท่ากับไม่สามารถนับหนึ่งเพื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญได้

            และมติพรรคเพื่อไทย ๙๙.๙๙% เป็นการยืนยัน การทำงานการเมืองร่วมกันของฝ่ายค้านหลังจากนี้ จะเต็มไปด้วยการระแวดระวัง เรื่องการแทงข้างหลังกันเอง

            แต่...พรรคก้าวไกลอาจไม่ได้มีเป้าหมายที่จะแก้ไขรัฐธรรมนูญ

            บางทีนักการเมืองรุ่นใหม่อาจมีเป้าที่สูงกว่านั้น

            เพราะทั้งๆ ที่รู้ว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญขาดเสียงจาก ส.ว.ไม่ได้ แต่ก็ยังเลือกเป็นศัตรูกับเขา

            ดูเหมือนพรรคก้าวไกลต้องการสร้างความปั่นป่วน นำไปสู่ความขัดแย้ง และให้มีการล้มกระดานเสียมากกว่า

            เพราะคงคิดว่าการลุกฮือของประชาชน สามารถเปลี่ยนแปลงทุกอย่างได้ แม้กระทั่งเปลี่ยนประเทศ

            พรรคก้าวไกลกำลังดูถูกประชาชน ๑๖,๘๒๐,๔๐๒ คน ที่ลงประชามติรับร่างรัฐธรรมนูญ ๒๕๖๐ คิดว่าคนกลุ่มนี้ไม่มีพลัง

            สู้ม็อบคนรุ่นใหม่ไม่ได้

            นี่คือเกมที่พยายามพาสังคมเข้าสู่ความขัดแย้งครั้งใหม่ เมื่อก้าวไกลถูกลอยแพในสภา คณะก้าวหน้าก็แสดงบทบาทนอกสภา

            แต่การเมืองที่ไร้มิตร พูดเอาหล่ออย่างเดียว ขนาด "สมศักดิ์เจียม" ยังไม่เอา สุดท้ายเป็นได้แค่จำอวด

            หมดราคาในที่สุด.