สรุปประเด็นสำคัญในการแถลงข่าวของกองทัพเรือ ในเรื่องการจัดซื้อ "เรือดำน้ำ" ซึ่งแถลงต่อสื่อมวลชน เมื่อวันจันทร์ที่ 24 สิงหาคมที่ผ่านมา ที่นำทีมโดย พล.ร.อ.สิทธิพร มาศเกษม เสนาธิการทหารเรือ แม้มีรายละเอียดหลายส่วน แต่ประเด็นหลักๆ ก็คือกองทัพเรือ ย้ำถึงเหตุผล-ความจำเป็นในการจัดซื้อเรือดำน้ำ 2 ลำ มูลค่ารวมทั้งหมด 22,500 ล้านบาท จากประเทศจีน ที่เป็นโครงการงบผูกพันที่อยู่ในร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2564 ที่สภาผู้แทนราษฎรกำลังพิจารณากันอยู่ในชั้นกรรมาธิการ
คณะแถลงข่าวของกองทัพเรือย้ำว่า โครงการดังกล่าวมีความจำเป็นตามแผนยุทธศาสตร์ป้องกันประเทศ โดยเฉพาะสถานการณ์ปัจจุบันที่มีความตึงเครียดในทะเลจีนใต้ (การซ้อมรบ-การทดสอบยิงขีปนาวุธจากสถานการณ์ความตึงเครียดระหว่างสหรัฐอเมริกา-จีน-ไต้หวัน) ตลอดจนในคาบสมุทรเกาหลี กองทัพเรือ จึงยืนยันว่า หากกองทัพเรือไม่มีกำลังที่เข้มแข็งเพียงพอ อาจมีผลกระทบต่อผลประโยชน์ของประเทศชาติ เพราะไม่มีใครล่วงรู้ได้ว่าสถานการณ์วันข้างหน้าในทะเลจีนใต้จะไม่เกิดเหตุเผชิญหน้ากัน
อีกประเด็นสำคัญก็คือ เรื่องการจ่ายเงินเพื่อจัดซื้อเรือดำน้ำทั้ง 2 ลำ กองทัพเรือย้ำว่า ไม่ได้จ่ายทีเดียวเลย 22,500 ล้านบาท แต่ใช้วิธีทยอยจ่าย และเรื่องนี้ไม่ใช่โครงการใหม่ แต่เป็นโครงการในการเสริมสร้างกำลังของกองทัพที่เริ่มตั้งแต่ปี 2563 ถึง 2569 เป็นการทยอยตั้งงบประมาณรายปีภายในงบประมาณที่กองทัพเรือได้รับตามปกติ ไม่ได้มีการขอรับงบประมาณเพิ่มเติมแต่อย่างใด และรายการนี้ได้ตราไว้แล้วใน พ.ร.บ.งบ ปี 2563 และยืนยันว่าโครงการดังกล่าวไม่มีจีทูจีปลอม แต่ลักษณะการทำนิติกรรมระหว่างกองทัพเรือไทยกับทางจีน เป็นลักษณะ Agreement ข้อตกลง จึงไม่ต้องทำ MOU กองทัพเรือจึงย้ำว่าโครงการนี้ไม่มีแน่จีทูจีปลอม แต่พรรคเพื่อไทยต่างหากที่ทำจีทูจีเก๊ในโครงการรับจำนำข้าว
ส่วนประเด็นที่หลายคนสนใจว่า หากสุดท้ายกระแสสังคมและแรงกดดันทางการเมือง ทำให้คณะกรรมาธิการงบชุดใหญ่มีมติ "ตัดงบโครงการ" ออกไปจากร่าง พ.ร.บ.งบ จะมีผลอย่างไร ทีมแถลงข่าวกองทัพเรือแจงว่า หากเกิดกรณีดังกล่าว กองทัพเรือไทยอาจไม่ต้องจ่ายค่าปรับ แต่เกรงว่าจะเกิดปัญหาเรื่องราคาที่อาจจะสูงขึ้นมาก ตลอดจนจะกระทบความน่าเชื่อถือในเชิงพาณิชย์ ทั้งที่ไทยจะได้แลกเปลี่ยนผลประโยชน์กับจีน
"พล.ร.ท.เถลิงศักดิ์-เสนาธิการทหารเรือ" แถลงตอนหนึ่งว่า ในอดีตที่ประเทศไทยเคยมีเรือดำน้ำและสามารถข่มขวัญประเทศที่รุกรานน่านน้ำให้ถอยกลับไปได้ ซึ่งกองทัพเรือพยายามจัดซื้อเรือดำน้ำมาหลายปี แม้จะยังไม่เห็นสงครามโลกในขณะนี้ แต่มีความขัดแย้งเกิดขึ้นในน่านน้ำ อีกทั้งสหรัฐส่งเรือรบเข้าไปในพื้นที่ทะเลจีนใต้มากขึ้น หากเราไม่มีกำลังที่เข้มแข็งเพียงพอ ผลประโยชน์ของชาติย่อมกระทบแน่นอน แล้วเราจะมั่นใจได้อย่างไรว่า ในทะเลจีนใต้จะไม่มีเหตุการณ์ปะทะนองเลือด ซึ่งตนเชื่อว่ามี
“จากสถานการณ์ความขัดแย้งในทะเลจีนใต้ รวมถึงคาบสมุทรเกาหลี รวมถึงการวางกำลังทางเรือสหรัฐ ในพื้นที่ใกล้เคียงกับพื้นที่ความขัดแย้งมีความเป็นไปได้ว่าจะมีการปะทะกัน ซึ่งส่งผลต่อเส้นทางการเดินเรือและผลประโยชน์ทางทะเลของประเทศมูลค่ามหาศาล รวมถึงปี 2572 ข้อตกลงระหว่างไทยกับมาเลเซียในการพัฒนาพื้นที่ร่วมทางทะเลหรือเจดีเอจะยุติลง ซึ่งคาดว่าจะมีการพูดคุยเพื่อทำสัญญาก่อนปี 2572 ดังนั้นการที่เรามีเรือดำน้ำในปี 2570 จะส่งผลต่อการเจรจาต่อรองเกี่ยวกับพื้นที่ทับซ้อนทางทะเล ส่งผลให้ไทยไม่เสียเปรียบ” พล.ร.ท.เถลิงศักดิ์ ระบุ
เนื้อหา-ประเด็นการแถลงข่าวของกองทัพเรือเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมาเห็นชัดว่า ต้องการเดินหน้าโครงการดังกล่าวต่อไป ไม่ได้มีท่าทีอยากถอย หลังโดนกระแสสังคมและฝ่ายการเมือง แม้แต่จาก ส.ส.-แกนนำพรรคร่วมรัฐบาลอย่างประชาธิปัตย์ออกมาคัดค้าน ท่ามกลางกระแสวิพากษ์วิจารณ์จากสังคมหลายภาคส่วน ที่สร้างอารมณ์ร่วมให้กับคนไทยจำนวนมาก กับคำพูด-กระแสที่ว่า
“ประชาชนกำลังอดตาย แต่จะซื้อเรือดำน้ำ”
ที่ทำให้แม้แต่กองเชียร์รัฐบาลจำนวนไม่น้อยก็ไม่เห็นด้วยกับการเดินหน้าจัดซื้อเรือดำน้ำในช่วงเวลานี้ ที่ประเทศไทยและคนไทยกำลังประสบปัญหาจากผลกระทบโควิด โดยเฉพาะปัญหาปากท้อง คนว่างงาน ที่แม้กองทัพเรือจะมีการแบ่งจ่ายเงินเป็นงวดๆ ประมาณสามพันล้านบาทต่อปี เพราะมองว่าหากรัฐบาลชะลอหรือยกเลิกการจัดซื้อไปก่อน แล้วนำเงินสามพันล้านบาทดังกล่าวมาแก้ปัญหาให้ประชาชนในยามที่กำลังเดือดร้อนอย่างหนัก ก็น่าจะเป็นประโยชน์มากกว่า แต่ก็อาจมีหลายคน ที่เมื่อได้ติดตามการแถลงข่าวของกองทัพเรือ จากเดิมที่อาจไม่เห็นด้วย แต่เมื่อได้ฟังข้อมูลบางอย่างที่ฝ่ายค้าน-นักการเมืองไม่เคยนำเสนอ ก็อาจมองว่า กองทัพเรือก็มีเหตุผลระดับหนึ่ง ทว่ากระแสสังคมที่ออกมา คนส่วนใหญ่ก็ยังมองว่าถ้าเป็นไปได้ การชะลอ-ทบทวนโครงการดังกล่าวไว้ก่อน ก็น่าจะเป็นผลดีมากกว่า โดยเฉพาะกับรัฐบาลและตัวพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่เป็นทั้งนายกฯ และ รมว.กลาโหม
เพราะเรื่องเรือดำน้ำต้องยอมรับว่า เป็นเรื่องที่สร้างกระแสความรู้สึกกับประชาชนได้ง่าย ให้คัดค้านโครงการดังกล่าว ยิ่งเวลานี้ พลเอกประยุทธ์ กำลังโดนรุกไล่อย่างหนักจากม็อบนักศึกษา-ประชาชน-คนรุ่นใหม่ เมื่อมาเกิดประเด็นเรื่องเรือดำน้ำแทรกเข้ามาอีก ก็ยิ่งสร้างกระแสความไม่พอใจจากประชาชนมากขึ้นไปอีก ถือเป็นอีกหนึ่งประเด็นอ่อนไหวทางการเมือง ที่พลเอกประยุทธ์ก็ต้องประเมินสถานการณ์มากพอสมควร
อย่างไรก็ตาม ต้องจับตาดูว่าการประชุม กมธ.งบชุดใหญ่ วันพุธที่ 26 ส.ค. เสียงส่วนใหญ่ที่ก็เป็น กมธ.จากฝ่ายรัฐบาล-พรรคร่วมรัฐบาล จะว่าอย่างไร จะลงมติ เดินหน้าหรือถอยหลัง โดยเฉพาะ กมธ.งบจากพรรคประชาธิปัตย์ หลังแกนนำพรรคบางส่วนแสดงความเห็นคัดค้านโครงการดังกล่าว
ซึ่งตามกระบวนการ หากสุดท้ายเสียงส่วนใหญ่ใน กมธ.งบชุดใหญ่ไม่มีการตัดงบโครงการจัดซื้อเรือดำน้ำออกไป ก็เชื่อได้ว่าจะมีกรรมาธิการงบจากพรรคฝ่ายค้านใช้สิทธิ กมธ.เสียงข้างน้อย ทำการ ขอสงวนความเห็น เพื่อนำไปอภิปรายในที่ประชุมใหญ่ ตอนร่าง พ.ร.บ.งบกลับเข้าสภาฯ วาระ 2 และ 3 ในช่วงกลางเดือนกันยายนนี้ เพื่อขอให้สภาฯ ตัดงบดังกล่าวในวาระ 2 ที่หากถึงตอนนั้น กระแสคัดค้านแรงหนักมาก รัฐบาลก็ยังสามารถถอยได้ โดยสั่งให้ ส.ส.รัฐบาลลงมติตาม กมธ.เสียงข้างน้อยที่สงวนความเห็นให้ตัดงบดังกล่าวในวาระ 2 ได้
เท่ากับว่า โครงการจัดซื้อเรือดำน้ำยังต้องฝ่าอีก 2 ด่าน คือด่านที่ประชุมใหญ่ กมธ.งบพุธนี้ กับด่านที่ประชุมใหญ่สภาฯ กลางเดือนหน้า เรือดำน้ำจากจีนจึงยังต้องลุ้นว่าจะโดนจมกลางสภาฯ หรือไม่ เพราะหากกระแสสังคมคัดค้านอย่างหนัก ก็ไม่แน่บิ๊กตู่อาจสั่งถอยก็ได้.
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |