'หมอยงยุทธ'วิเคราะห์ความสนใจการเมืองของนักเรียนและทางออกของสังคม


เพิ่มเพื่อน    


 

21 ส.ค.63 -นายแพทย์ยงยุทธ วงศ์ภิรมย์ศานติ์  ที่ปรึกษากรมสุขภาพจิต โพสต์ข้อความผ่านดฟซบุ๊กส่วนตัว เรื่อง การเมืองกับสังคมไทยในปัจจุบันและจิตวิทยาคนหนุ่มสาว มีเนื้อหาดังนี้

จากปรากฏการณ์ชูสามนิ้ว และผูกริบบิ้นขาวของเยาวชนไทยและกลุ่มคนหนุ่มสาวในระดับโรงเรียนและมหาวิทยาลัย ในมุมมองทางจิตวิทยานั้น ผมได้สรุปมาเป็นการแลกเปลี่ยนเพื่อการพัฒนาการเมืองกับสังคมไทยในปัจจุบันและจิตวิทยาคนหนุ่มสาว ดังนี้

ความสนใจทางการเมืองของนักเรียนนักศึกษาสะท้อนอะไร
- ท่าทีสังคมพึงมีต่อนักเรียนนักศึกษา
- ความเห็นต่างเป็นโอกาสที่ดีของการพัฒนาประชาธิปไตยที่มีวุฒิภาวะ
- ข้อเสนอแนะ

1) การที่นักเรียนนักศึกษามีบทบาททางสังคมและการเมืองครั้งนี้สะท้อนถึงพัฒนาการของวัยในการค้นหาอัตลักษณ์ซึ่งรวมถึงอัตลักษณ์ทางสังคมและการเมืองด้วยจึงไม่ควรมอบทางลบ เช่น วาทกรรม “ชังชาติ”

การเรียนรู้ของวัยนี้ที่สามารถหาข้อมูลและแนวคิดเพื่อการเรียนรู้และตัดสินใจ
จึงไม่ควรกล่าวหาว่าเด็กถูกครอบงำสนับสนุน

 การสื่อสารที่สามารถทำให้เกิดพลังและการรวมตัวอย่างรวดเร็ว
จึงไม่ควรระแวงว่าได้รับการสนับสนุนจากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง

2 ) เมื่อเข้าใจธรรมชาติทางจิตวิทยาดังกล่าว สังคมควรมีท่าทีอย่างไร
 เริ่มจากความเข้าใจว่าเยาวชนคนหนุ่มสาวมีแนวคิดออกไปทางอุดมคติ (idealistic) ที่สะท้อนการพัฒนาอัตลักษณ์ ขณะที่ผู้ใหญ่จะมีลักษณะเชิงปฏิบัติ (practical)ที่มาจากประสบการณ์ ดังนั้นการเรียนรู้จากกันและกันจะทำให้ผู้ใหญ่เข้าใจความตั้งใจของเยาวชน และเยาวชนก็ยอมรับผู้ใหญ่มากขึ้น แม้จะไม่เห็นด้วยกับ ความคิดเห็นกันทั้งหมด

 มีท่าทีรับฟัง โดยไม่ใช้อำนาจ การกดดัน หรือกระทำความรุนแรงใดๆ เพราะเป็นทั้งสิทธิของเยาวชนที่จะเรียนรู้ความคิดเห็น และเป็นเรื่องดีที่เยาวชนมีความคิดเห็น ความสนใจและความตื่นตัวทางสังคมและการเมือง

3) ความเห็นต่างทางสังคม เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในวงกว้างสังคมไทย และเป็นสัญญาณการพัฒนาไปสู่ประชาธิปไตยที่มีวุฒิภาวะ
ความเห็นต่างเป็นไปอย่างกว้างขวาง ไม่ใช่แค่เยาวชนกับผู้ใหญ่ แม้ในหมู่ผู้ใหญ่เองก็มีความเห็นต่างกัน แสดงว่าสังคมกำลังมีปัญหาและต้องการทางออก ความเห็นต่างจึงเป็นต้นทุนทางสังคมที่ทำให้มีทางเลือกและทางออก ที่หลากหลายโดยประชาชนทุกระดับมีส่วนร่วม
 บทเรียนของไทยเราและทั่วโลก ล้วนชี้ว่าการสร้างความเกลียดชังความเห็นต่างด้วยวาทกรรมลบจะนำ ไปสู่การใช้ความรุนแรง ทำให้เกิดวิกฤตและความถดถอยของสังคมขนานใหญ่ จึงเป็นเรื่องสำคัญที่จะต้องเปิดใจกว้างรับฟังและเรียนรู้จากกันและกันโดยไม่สร้างความเกลียดชัง

ข้อเสนอแนะ

สังคมไทยกำลังอยู่บนทาง 2 แพร่ง ระหว่างการถอยหลัง หากมีการสร้างความเกลียดชังและใช้ความรุนแรงโดยเฉพาะกับเยาวชนคนหนุ่มสาว กับการก้าวหน้าไปสู่ประชาธิปไตยที่มีวุฒิภาวะซึ่งเป็นพื้นฐานที่มั่นคงในการพัฒนาไทยไปเท่าเทียมอารยประเทศ การจะไปข้างหน้าได้จึงควร

1) มองความแตกต่างของวัยเป็นเรื่อง idealistic vs practical ที่ต้องเรียนรู้จากกันและกันมากกว่าสร้างhate speech ให้เกลียดชังกัน

2) ผู้ปกครองและครูเป็นผู้ที่ใกล้ชิดและรู้จักเยาวชนเป็นอย่างดี ควรเป็นบุคคลแรกที่แสดงถึงความเปิดใจกว้าง รับฟัง ให้โอกาส ซึ่งในมุมกลับก็จะช่วยให้เยาวชนได้เรียนรู้ที่จะมีบทบาททางสังคมและการเมือง อย่างสร้างสรรค์

3) ช่วยกันลดกระแสการสร้างความเกลียดชัง โดยเฉพาะที่ผ่านสื่อสังคมทั้งหลายด้วยวิธี 2 ไม่ 1 เตือน (ไม่ผลิตและไม่ส่งต่อ ข้อความสร้างความเกลียดชัง และเตือนการสื่อสารเหล่านี้ด้วยเหตุผล) เพื่อป้องกันความรุนแรงที่จะทำให้สังคมไทยถอยหลังครั้งใหญ่

4) รัฐควรรับฟังและเปิดรับทั้งกับเยาวชนและความเห็นต่างของฝ่ายต่างๆอย่างแท้จริงไม่ใช่แค่ลดกระแสเฉพาะหน้าอันจะนำไปสู่ความขัดแย้งที่รุนแรงขึ้นในอนาคต เพราะรัฐไม่ได้รับความไว้วางใจว่าตั้งใจจะแก้ปัญหา

 

 


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"