ฟัน9เปรตกินเงินทอนวัด ชงลงโทษวินัยฟ้องอาญา


เพิ่มเพื่อน    

ป.ป.ช.มีมติฟัน "พนม-ประนอม" พร้อมเจ้าหน้าที่ พศ.รวม 9 คนโกงเงินทอนวัดจังหวัดชายแดนใต้ 3 แห่ง 9.6 ล้านบาท แฉหลังถูกจับได้พยายามทำเอกสารเท็จรองรับการกระทำผิด ชงผู้บังคับบัญชาลงโทษวินัยร้ายแรงและให้ อสส.ส่งฟ้องศาลเอาผิดอาญา เผยติดตามเงิน 12 ล้านคืนคลังได้แล้ว   
    ที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) สนามบินน้ำ จ.นนทบุรี วันที่ 8 มกราคม นายวรวิทย์ สุขบุญ เลขาธิการ ป.ป.ช.แถลงผลการประชุมคณะกรรมการ ป.ป.ช.ว่า ตามที่คณะกรรมการ ป.ป.ช.แต่งตั้งคณะอนุกรรมการไต่สวน โดยมี พล.ต.อ.สถาพร หลาวทอง  กรรมการ ป.ป.ช.เป็นประธาน กรณีกล่าวหา น.ส.ประนอม คงพิกุล เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งรองผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) กับพวก รวม 9 คน ว่าปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบหรือโดยทุจริต เกี่ยวกับการอนุมัติจัดสรรงบประมาณเงินอุดหนุนแก่วัดชลธาราวาส อ.ระแงะ จ.นราธิวาส วัดยูปาราม อ.เมืองยะลา จ.ยะลา และวัดสุริยาราม อ.เทพา จ.สงขลา วัดละ 4,000,000 บาทนั้น การไต่สวนข้อเท็จจริงพยานหลักฐานฟังได้ว่า ในปีงบประมาณ 2558 พศ.ได้รับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2558 เป็นเงินอุดหนุน 4,501,448,900 บาท โดยงบส่วนหนึ่งจำนวน 459,842,000 บาท นำไปใช้ในโครงการกิจกรรมเผยแผ่พระพุทธศาสนา ซึ่งอยู่ในความรับผิดชอบของกองพุทธศาสนาศึกษา
    เลขาธิการ ป.ป.ช.ระบุว่า ได้แต่งตั้งคณะกรรมการพิจารณาการจัดสรรงบประมาณเงินอุดหนุนโครงการกิจกรรมเผยแผ่พระพุทธศาสนาประจำปีงบประมาณ 2558 มีนายพนม ศรศิลป์ ขณะดำรงตำแหน่ง ผอ.พศ.เป็นที่ปรึกษา และ น.ส.ประนอมเป็นประธานกรรมการ พบว่าช่วงปลายเดือน ก.ค. 58 นายเสถียร ดำรงคดีราษฎร์ ผอ.พศจ.สงขลา ได้ประสานติดต่อกับวัดชลธาราวาส วัดยูปาราม และวัดสุริยาราม ว่าจะจัดสรรงบอุดหนุนให้ แต่มีเงื่อนไขว่าวัดจะต้องคืนเงินส่วนหนึ่งแก่ตน และต่อมาคณะกรรมการพิจารณาการจัดสรรงบประมาณเงินอุดหนุนได้ประชุมเมื่อวันที่ 3 ส.ค.58 พิจารณาจัดสรรงบอุดหนุนให้วัดซึ่งไม่ได้ขอรับเงินอุดหนุนจำนวน 3 วัดดังกล่าวที่นายเสถียรได้ประสานติดต่อไว้
    หลังจากนั้นได้ดำเนินการตามขั้นตอนธุรการเพื่อขออนุมัติจัดสรรและโอนจ่ายเงินอุดหนุนแก่วัดทั้งสาม ซึ่งต่อมานายพนมได้อนุมัติให้โอนจ่ายเงินแก่วัดทั้งสามวัดละ 4,000,000 บาท หลังจากได้โอนเงินอุดหนุนแก่วัดทั้งสามแล้ว นายเสถียรได้แจ้งวัดทั้งสามว่ามีเงินโอนเข้าบัญชีแล้วจำนวน 4,000,000 บาท  และให้คืนเงินจำนวน 3,200,000 บาท โดยในวันที่ 21 ส.ค.58 นายเสถียรได้ไปพบกับพระครูบริหารสังฆานุวัตร บริเวณห้างสรรพสินค้าเทสโก้ โลตัส สาขาสงขลา เพื่อรับเงินในส่วนของวัดชลธาราวาส จนเป็นเหตุให้เจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถจับกุมนายเสถียรพร้อมของกลางเป็นธนบัตรฉบับละ 1,000 บาท  รวม 3,200,000 บาท
    นายวรวิทย์กล่าวต่อว่า หลังจากนายเสถียรถูกจับกุม ในช่วงค่ำวันเดียวกัน น.ส.ประนอมโทรศัพท์แจ้งนายวสวัตติ์ กิตติธีระสิทธิ์ นักวิเคราะห์นโยบายและแผนชำนาญการพิเศษ ให้จัดทำเอกสารโครงการส่งเสริมความมั่นคงของสถาบันพระพุทธศาสนาเสริมสร้างขวัญกำลังใจให้แก่ชาวไทยพุทธในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ เพื่อจัดทำโครงการในพื้นที่ 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้ จำนวน 3 กิจกรรม  เพื่อแสดงว่าจะนำเงินจำนวน 4,000,000 บาทที่ได้โอนให้วัดชลธาราวาสไปใช้ดำเนินการตามโครงการดังกล่าวซึ่งมีอยู่ก่อนแล้ว เมื่อทำเอกสารเสร็จแล้วจึงได้แฟกซ์เอกสารให้ พศจ.สงขลา เพื่อใช้ประกอบการชี้แจงข้อเท็จจริงที่นายเสถียรถูกจับกุมต่อผู้ว่าราชการจังหวัดสงขลา โดยวรรคท้ายในบันทึกข้อความปรากฏข้อความว่าจะมีการจัดประชุม ผอ.พศจ. 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้ที่จังหวัดสงขลา ในวันที่ 28  ส.ค.58 เพื่อรับมอบเงินจำนวน 3,200,000 บาทที่นายเสถียรรับจากพระครูบริหารสังฆานุวัตร นำไปดำเนินการตามโครงการดังกล่าว
    จากนั้น น.ส.ประนอมได้มีหนังสือถึง ผอ.พศจ.ในจังหวัดชายแดนภาคใต้ พร้อมแนบแผนการขับเคลื่อนโครงการดังกล่าวเพื่อให้ พศจ.ประสานคณะสงฆ์ภาคส่วนต่างๆ และพุทธศาสนิกชนในพื้นที่เพื่อร่วมดำเนินการตามแผนโครงการ ดังนั้นจึงต้องแบ่งเงินจำนวน 3,200,000 บาทจากวัดชลธาราวาสเพื่อใช้ในแผนการขับเคลื่อนโครงการระยะที่ 1 โดยต้องให้ ผอ.พศจ.จังหวัดชายแดนภาคใต้ไปรับเงินที่นายเสถียรรับคืนจากพระครูบริหารสังฆานุวัตร จำนวน 3,200,000 บาท ในวันที่ 28 ส.ค.58 ที่วัดโคกสมานคุณ จ.สงขลา เพื่อนำไปใช้ในโครงการหรือกิจกรรมในจังหวัดของตน สำหรับในส่วนของเงินจำนวน 3,200,000 บาทที่จัดสรรให้วัดยูปาราม จะนำไปใช้ตามแผนการขับเคลื่อนโครงการระยะที่ 2 ใน จ.สงขลา ปัตตานี สตูล และนราธิวาส จังหวัดละ 800,000 บาท และเงินจำนวน 3,200,000 บาทที่จัดสรรให้วัดสุริยาราม จะนำไปใช้ตามแผนการขับเคลื่อนโครงการระยะที่ 3 ในจังหวัดปัตตานี สตูล ยะลา และนราธิวาส จังหวัดละ 800,000 บาท
    นายวรวิทย์กล่าวว่า ป.ป.ช.พิจารณาแล้วเห็นว่า คณะกรรมการพิจารณาจัดสรรงบประมาณเงินอุดหนุนวัดชลธาราวาส วัดยูปาราม และวัดสุริยาราม ไม่มีเอกสารประกอบการพิจารณา จึงเป็นการไม่ชอบ  ส่วนเอกสารโครงการส่งเสริมความมั่นคงของสถาบันพระพุทธศาสนาเสริมสร้างขวัญกำลังใจให้แก่ชาวไทยพุทธในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ และเอกสารที่เกี่ยวข้องดังกล่าว เป็นหลักฐานเท็จที่ทำขึ้นภายหลังนายเสถียรถูกจับกุม และการที่ น.ส.ประนอมทำหนังสือ พศ.ลงวันที่ 27 ส.ค.58 และลงวันที่ 31  ส.ค.58 เป็นการดำเนินการเพื่อรองรับการกระทำของนายเสถียรที่เรียกรับเงินจากวัดชลธาราวาส วัดยูปาราม และวัดสุริยารามโดยทุจริต 
    "และเห็นว่าการจัดสรรงบเงินอุดหนุนให้ทั้งสามวัดดังกล่าว จึงมิใช่เพื่อนำไปแบ่งดำเนินการในโครงการหรือกิจกรรมอื่นตามแผนการขับเคลื่อนโครงการทั้ง 3 ระยะ รวมทั้งการที่นายเสถียรเรียกเงินจากวัดชลธาราวาส วัดยูปาราม และวัดสุริยาราม วัดละ 3,200,000 บาท โดยได้รับเงินในส่วนของวัดชลธาราวาสจากพระครูบริหารสังฆานุวัตรในวันที่ 21 ส.ค.58 จึงไม่ได้มีเจตนาเพื่อนำไปใช้ในโครงการหรือกิจกรรมอื่น หรือเป็นการกระทำในการปฏิบัติราชการของผู้ถูกกล่าวหาที่ 2 แต่เป็นการกระทำโดยมีเจตนาทุจริตเพื่อแสวงหาประโยชน์แก่ตนเองหรือผู้อื่น สำหรับการติดตามเงินคืนนั้น พศ.ได้แต่งตั้งคณะทำงานติดตามเรียกเงินอุดหนุน จำนวน 12,000,000 บาทคืนจากวัดทั้งสามดังกล่าว และนำส่งกระทรวงการคลังแล้ว"
    เลขาธิการ ป.ป.ช.กล่าวว่า คณะกรรมการ ป.ป.ช.ได้พิจารณาแล้วมีมติว่า 1.น.ส.ประนอม และนายเสถียร มีมูลความผิดทางวินัยอย่างร้ายแรง และมีมูลความผิดทางอาญา ตามประมวลกฎหมายอาญา  มาตรา 149, มาตรา 157, มาตรา 162 (4) ประกอบมาตรา 83 และตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 (พ.ร.บ. ป.ป.ช.) มาตรา 123 ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 และมาตรา 123/1 ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 2. นายพนมมีมูลความผิดทางวินัยอย่างร้ายแรง และมีมูลความผิดทางอาญา ตามประมวลกฎหมายอาญา  มาตรา 151 และมาตรา 157 3.นายประสงค์ จักรคำ ผู้อำนวยการกองพุทธศาสนศึกษา นายวสวัตติ์ และนายพัฒนา สุอำมาตย์มนตรี นักวิชาการศาสนาชำนาญการ ในฐานะกรรมการพิจารณาจัดสรรงบประมาณเงินอุดหนุน และมีส่วนในการจัดทำเอกสารเท็จเกี่ยวกับการขออนุมัติจัดสรรเงินอุดหนุนแก่วัดทั้งสาม มีมูลความผิดทางวินัยอย่างร้ายแรง และมีมูลความผิดทางอาญาตามประมวลกฎหมายอาญา  มาตรา 157 มาตรา 162 (4) ประกอบมาตรา 83 และตาม พ.ร.บ. ป.ป.ช. มาตรา 123/1 ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 และ 4.นางพรเพ็ญ กิตติธรางกูร นักวิชาการศาสนาชำนาญการ  นายดำรงค์ศักดิ์ เกตุแก้ว นักวิชาการศาสนาชำนาญการ และนายจักรเวทย์ เดชบุญ นักวิชาการศาสนาปฏิบัติการ ในฐานะกรรมการพิจารณาจัดสรรงบประมาณเงินอุดหนุน 
    "มีมูลความผิดทางวินัยอย่างร้ายแรง ให้ส่งรายงานและเอกสารพร้อมทั้งความเห็นไปยังผู้บังคับบัญชาเพื่อพิจารณาโทษทางวินัย และส่งรายงาน เอกสาร และความเห็นไปยังอัยการสูงสุด (อสส.) เพื่อดำเนินคดีอาญาในศาลที่มีเขตอำนาจต่อไป" นายวรวิทย์กล่าว  
    ด้าน พล.ต.อ.วัชรพล ประสารราชกิจ ประธานคณะกรรมการ ป.ป.ช. กล่าวถึงกรณีนายนพรัตน์  เบญจวัฒนานันท์ อดีต ผอ.พศ.ที่ถูกคณะกรรมการ ป.ป.ช.ชี้มูลความผิดในคดีทุจริตเงินทอนวัดพนัญเชิงวรวิหาร จ.พระนครศรีอยุธยา และอยู่ระหว่างหลบหนีว่า ต้องดำเนินการขอความร่วมมือทางอาญา เพราะมี พ.ร.บ.ความร่วมมือทางอาญาอยู่แล้ว อาจขอตัวส่งผู้ร้ายข้ามแดน ถ้าเขาหลบหนีก็ต้องหลบหนีไปตลอดชีวิต.  


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"