ก่อนคุยอะไรกันวันนี้
ขอประกาศนาม..........
"นายศักดิ์ดา วิเชียรศิลป์" อธิบดีกรมทรัพยากรน้ำบาดาล กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
ว่าเป็นแบบอย่างที่ดีของสังคมชาติ สมเป็น "ข้าราชการของแผ่นดิน" ปฏิบัติหน้าที่มุ่งประโยชน์ชาติและประชาชนเป็นที่ตั้ง ด้วยสัตย์ซื่อและสุจริต
ไม่มีจิตว่อกแว่กกับอามิสสินจ้าง ไม่ฉ้อราษฎร์บังหลวง ไม่สมคบนักการเมืองโกงบ้าน-กินเมือง เป็นที่ประจักษ์
ทั้งองอาจ กล้าหาญ กระชากหน้ากาก ส.ส.ในคณะอนุกรรมาธิการแผนงานบูรณาการ ๒ ที่เรียกรับเงิน ๕ ล้านบาท แลกกับการผ่านงบประมาณให้ โดยไม่หวั่นเกรงใดๆ ทั้งสิ้น
ข้าราชการเช่นนี้ นับวันหาได้ยากยิ่งในสังคมปัจจุบัน จึงสมควรได้รับการบันทึกเป็นเกียรติประวัติไว้ ทั้งเป็นกำลังใจสำหรับข้าราชการผู้ซื่อสัตย์ต่อแผ่นดินทั้งหลายด้วย
ก็เอาล่ะ........
ต่อจากนี้ เข้าเรื่อง "บ้านเมืองของเรา" พักเรื่องอภิชาตบุตรสุดที่รักไว้ซักวันก่อน
ไม่ใช่อะไร คือผมฟังนายกฯ พูดมา ๕-๖ ปีแล้ว ก็ฟังมาเรื่อยๆ
มาเมื่อวาน (๑๙ ส.ค.๖๓) สัมผัสได้ถึง "จิตวิญญาณผู้นำพูด" ในสภาวการณ์สังคมชาติระส่ำสำนึก
ถ้าจะเปรียบ........
เหมือนเครื่องบิน ขณะบินสูง ๓ หมื่นฟิต ใครก็นั่งหน้าแป้น อวดเป็นกัปตันได้
แต่ถ้าอยากพิสูจน์ใคร "กัปตันแท้-กัปตันเทียม" ก็ต้องดูตอนเครื่องเผชิญอากาศวิปริต และตอนนำเครื่องบินขึ้น-ลง
เมื่อวาน การเปิดอกพูดกับนักข่าว โดยเฉพาะนักข่าวต่างประเทศ "ชาติอังกฤษ" ที่เสือกแทรกเข้ามาตั้งคำถามส่อสันดานและพฤติกรรม เป็นต่างชาติตัวร่วมขบวนการปลุกปั่น "ล่มชาติ-ล่มสถาบัน" ชัดเจน
นายกฯ ปกติโผงผาง ในสถานการณ์บีบรุก กลับสุขุม นุ่ม-ลึก จัดกระบวนการความคิดถ่ายทอดเป็นลำดับความตบหน้านักข่าวถ่อยจาก Channel 4 ทีวีสาธารณะอังกฤษ แบบผู้ดีไทยได้ละเมียดเข้าเนื้อ
ที่นายกฯ ให้สัมภาษณ์ ฉบับเต็มอ่านได้ตามข่าวทั่วไป แต่วันนี้ ด้วยผมประทับใจเป็นพิเศษ จะคัดลอกเฉพาะบางตอนมาให้อ่านกัน ประมาณนี้
"เรื่องที่ทุกคนอยากทราบคือ เรื่องการดำเนินการผู้ชุมนุม ผมคิดว่า เป็นหลักการประชาธิปไตยของทุกประเทศ ผมเข้าใจ....
หลายคนมองผมว่า มาอย่างไร เผด็จการอย่างไร?
แต่วันนี้ อย่าลืมว่า เราเข้ามาด้วยกระบวนการประชาธิปไตย เรามีรัฐธรรมนูญ ส่วนจะแก้อะไร ก็ไปว่ากันต่อไปในอนาคต
แต่ขออย่าก้าวล่วงในส่วนที่เกี่ยวข้องกับสถาบัน
ผมคิดว่า ทุกประเทศ ก็คงเผชิญสถานการณ์แบบนี้มาด้วยกัน
ฉะนั้น สิ่งที่เรากังวลในขณะนี้ หากเกิดความวุ่นวายมากยิ่งขึ้น โอเคล่ะ...อาจมีผู้อยู่เบื้องหลังหรือไม่มีก็ตาม ซึ่งทุกคนทราบดีอยู่แล้ว และหลายคนก็บอกว่า ไม่ใช่ ไม่ได้เกี่ยวข้อง ไม่อะไรต่างๆ
อย่างไรก็ตาม อยากให้มองไกลไปอีกนิดนึง นั่นคือ อนาคตของพวกเราทุกคนว่าอยู่ที่ไหน ที่ประเทศชาติใช่หรือไม่?
ถ้าเกิดสถานการณ์บานปลายไปเรื่อยๆ และทุกคนมุ่งหวังให้เกิดความรุนแรง ให้เจ้าหน้าที่บังคับใช้กฎหมายอย่างเต็มที่
สิ่งที่จะเกิดตามมาคือ ความไม่สงบเรียบร้อย จะกลับไปสู่สถานการณ์เดิมๆ ที่เคยเกิดขึ้นมาแล้ว"
..............
"วันนี้ อยากให้ทุกคนมองว่า เด็กๆ เหล่านั้นคือ พลังที่บริสุทธิ์ อาจมีส่วนหนึ่งที่ไม่เข้าใจ ส่วนหนึ่งอาจจะถูกชักนำ ฉะนั้น ขอให้ทุกคนมองถึงอนาคตเด็กๆ
โดยเฉพาะผู้ใหญ่ในวันนี้ ต้องมองถึงอนาคตของเด็กในวันหน้า ผมเห็นหัวข้อเรียกร้องมีมากขึ้นเรื่อยๆ
หลายข้อซึ่งมีความเป็นไปไม่ได้ แต่อาจจะทำให้เด็กมีความคาดหวัง หลายเรื่อง และผมเห็นหลายสิบข้อที่ตามมา ยกเลิกการไหว้ครู, ไม่ต้องเคารพครู, พ่อแม่ก็ไม่ต้องเคารพ
ผมถามว่า ถ้าไม่ใช่ผมแล้ว เป็นคนอื่นที่เข้ามา สิ่งที่มันเกิดขึ้นในลักษณะเช่นนี้ ในสถานการณ์แบบนี้ จะมีใครแก้ปัญหานี้ได้ต่อไป
นั่นหมายความว่า ประเทศเราก็ล่มสลาย แกนนำ หลักการต่างๆ ของประเทศชาติทั้งหมด ล้มไปทั้งหมด
สถาบันครอบครัวล้ม สถาบันการศึกษา ครู ล้มหมด นี่หรือคืออนาคต”
หัวแดงจาก Channel 4 ใช้คราบนักข่าวปลุกปั่น-ยุแยงในความเป็นแนวร่วมแก๊งสามสัสทันที โดยตั้งคำถามเถื่อนถ่อย ว่า
"ที่ผ่านมา นายกฯ ยืนยันว่ามีการรับฟังเสียงของเด็กๆ มาตลอด แต่บนเวทีการชุมนุมยังยืนยันว่านายกฯ ไม่ได้รับฟังเสียงเรียกร้องจากพวกเขาที่มีหลายประเด็น โดยเฉพาะข้อเรียกร้องเรื่องการปฏิรูปสถาบัน จะสามารถตอบสนองได้มากน้อยเพียงใด?"
ครับ...ตรงนี้ ตั้งใจอ่านกันให้ดีนะ นายกฯ ตอบนักข่าวอังกฤษ ประหนึ่งบรรจงใช้ฝ่าเท้านิ่มๆ ลูบหน้าแบบผู้ดีข้ามประเทศ
“ในเรื่องของสถาบัน........
พวกคุณต้องเข้าใจว่าสถาบันกับประเทศไทยมีความสัมพันธ์กันอย่างไร?
เพราะฉะนั้น จะไม่ตอบในประเด็นนี้
เพราะผมเองก็ไม่เคยไปก้าวล่วงต่างประเทศ ไม่เคยไปสนับสนุนการเมืองที่มาเคลื่อนไหวในประเทศไทยต่อต้านประเทศอื่นๆ
ไม่เคยสนับสนุนแบบนั้น ผมต้องดำเนินนโยบายการต่างประเทศอย่างสมดุล
ในเรื่องการปฏิรูปประเทศ ผมก็มีแผนและยุทธศาสตร์อยู่แล้วใน ๖ ประเด็น ซึ่งเป็นอนาคตของเด็กๆ ทุกคน
สำหรับการรับฟังความคิดเห็นของผม ไม่ใช่ว่าที่ผมไม่ได้ไปคือการที่ไม่ได้ฟัง
ผมรับฟังจากข้อมูลในด้านต่างๆ รวมทั้งจากสื่อโซเชียล หนังสือพิมพ์ ที่มีข้อเสนอต่างๆ ออกมาจำนวนมาก ก็เป็นวิธีการการรับฟังของผมอีกทาง
และผมก็ต้องหาวิธีการปฏิบัติที่เหมาะสม ดำเนินการอย่างไรไม่ให้เกิดการลุกลามบานปลาย
ขณะเดียวกัน ต้องเข้าใจว่า การชุมนุมทุกครั้ง มีจุดมุ่งหมายด้วยกันทั้งสิ้น อาจจะทั้งดีและไม่ดี ทุกคนคงทราบดีว่ามันเกิดอะไรขึ้นในประเทศไทยในหลายปีที่ผ่านมา ไม่ใช่เฉพาะปีที่ผมอยู่ในรัฐบาลที่สอง
เหตุการณ์เกิดขึ้นมาสิบกว่าปีที่ผ่านมาแล้ว และคนที่อยู่เบื้องหลัง คนเหล่านั้น ก็เคยทำความเสียหายให้กับประเทศชาติบ้านเมืองมาโดยตลอด
สื่อก็ต้องมองในมุมนี้ว่า ความเสียหายที่ผมทำมันมีมากน้อยเพียงใด และที่ผมเข้ามาเป็นนายกฯ หรือรัฐบาลในช่วงที่ผ่านมาได้ทำอะไรที่ทำให้ประเทศชาติหยุดชะงักบ้างหรือเปล่า?
ขณะเดียวกัน การทุจริตต่างๆ ของผม โดยตัวของผมเองก็ไม่มี ก็ขอให้นำสิ่งเหล่านี้มาเปรียบเทียบ
และผมก็คิดว่า สิ่งที่ทำวันนี้ ผมได้ใช้สติปัญญาของผม การรับฟังความคิดเห็นจากภาคส่วนราชการ ภาคประชาชน แม้แต่นักเรียนนักศึกษา ผมก็รับรู้ทุกข้อเรียกร้องของพวกเขา ขอร้องอย่างเดียว......
ไม่อยากให้มาแตะต้องสถาบันพระมหากษัตริย์ เพราะเป็นสิ่งที่ทุกคนเคารพนับถือ อย่าลืมว่าคนไทยมี ๖๗ ล้านคน การที่มาชุมนุม อาจจะดูมากหรือน้อย
แต่ผมถือว่าประชาชนส่วนใหญ่เกือบทั้งประเทศ ไม่ได้เห็นด้วยกับการชุมนุมดังกล่าว ก็ต้องเปรียบเทียบให้ดู
ขณะเดียวกัน คนที่อาจจะเผลอไป คิดไม่ถึง คิดไม่ได้ ด้วยจิตใจอันบริสุทธิ์ของเด็กๆ ถามว่า อันตรายต่อพวกเขาหรือไม่ แล้วเราจะมีอนาคตของเราแบบนี้หรือ?
ผมไม่ได้ขัดแย้งในเรื่องของการชุมนุม......
หากเป็นการชุมนุมเรียกร้องในสิ่งที่เป็นประโยชน์ หรือสิ่งที่ดำเนินการให้ได้ ผมก็พร้อมที่จะปฏิบัติตาม
อะไรที่มันไม่ได้ เราก็ต้องฟังเสียงส่วนใหญ่ด้วย อย่าเรียกว่านักศึกษาทั้งหมดหรือนักเรียนทั้งหมด มันไม่ใช่ มันเป็นแค่ส่วนหนึ่ง ซึ่งเป็นคนในสังคม แต่ผมก็ฟังพวกเขา
พยายามตอบคำถามให้ได้ว่า สิ่งเหล่านี้กำลังเกิดอะไรขึ้นกับบ้านเมืองของเรา และเรากำลังเผชิญกับสถานการณ์วิกฤติอย่างไร โดยเฉพาะอย่างยิ่งด้านเศรษฐกิจ
ผมต้องเดินหน้า ถ้าเดินหน้ารุมเร้าทั้งหมด ทุกอย่างก็จะพังไปทั้งหมด และผมก็ไม่สามารถที่จะทำอะไรได้เลย แต่หลายคนอาจจะคาดหวัง ให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้น
ผมถามว่า......
เขาพร้อมหรือไม่ ในการที่จะเข้ามาแก้ปัญหาเหล่านี้ มันจะนำพาท่านเสื่อมลงไปทั้งหมดหรือเปล่า?
แล้วในวันข้างหน้า จะควบคุมกันไหวหรือไม่ ตราบใดที่ยังมีเรื่องแบบนี้ขึ้นมา วันข้างหน้า ก็จะมีอีกฝ่ายเกิดขึ้น แล้วดำเนินการเช่นนี้อีกเช่นกัน
ผมถามว่า แล้วประเทศไทยจะอยู่อย่างไร?
ก็ขอให้เคารพความเป็นอัตลักษณ์ของประเทศไทยด้วย เรามีชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ อยู่คู่แผ่นดินเรามาหลายร้อยปี ไม่ใช่เพิ่งมีมาเพียง ๒-๓ วัน
เรามีมาโดยตลอดหลายรัชกาล เรามีความเป็นมา ๗๐๐ กว่าปีแล้ว ทุกคนมีการเรียนรู้ตั้งแต่สมัยพ่อขุนรามคำแหงมหาราช
สถาบันพระมหากษัตริย์ มีคุณูปการต่อประเทศไทยตลอดเวลา
ขอร้องว่า อย่าลืมในสิ่งเหล่านี้ สิ่งที่เป็นพื้นฐานของประเทศ สิ่งที่เป็นพื้นฐานศูนย์รวมจิตใจของคนไทยทั้งชาติ
สิ่งเหล่านี้ จะต้องถูกทำลายหรือ?
ความแตกต่างของสถาบันเรากับสถาบันต่างประเทศ ทุกประเทศ มีสถาบันมาตั้งแต่ก่อตั้งประเทศทั้งสิ้น
แต่สถาบันของเรา ทำแบบประเทศอื่นหรือไม่ ต้องกลับไปทบทวนตรงนี้
บางครั้งอาจจะไม่เข้าใจ อาจจะต้องการมากขึ้น ผมคิดว่า สิ่งที่พวกเขาเรียกร้อง บางอย่างทำไม่ได้
สมมุติว่าประเทศอังกฤษ มีการเรียกร้องว่า เมื่อจบการศึกษามาแล้ว ต้องมีการได้งานเดือนละ ๕๐,๐๐๐ ดอลลาร์จะให้ได้หรือไม่ ก็คงไม่ได้
หรือข้อเรียกร้องไม่ต้องไหว้ครู ประเทศไทยมีแบบและธรรมเนียมปฏิบัติมาอยู่
วันนี้ พยายามสร้างว่า ครูเป็นลูกจ้างของเด็ก เป็นลูกจ้างของพ่อแม่
วันนี้ ลูกกับพ่อ คิดเห็นไม่ตรงกัน ลูกประกาศตัดพ่อ แล้วเราจะอยู่กันอย่างนี้หรือ?
สิ่งเหล่านี้ จะทำให้ประเทศล่มสลาย จากนั้น ก็จะเกิดจลาจล และสงครามกลางเมืองต่อไป
ผมไม่อยากให้ไปถึงจุดดังกล่าว สื่อมวลชนต้องช่วยผมตรงนี้ด้วย"
ครับ......
เอาเท่านี้มัง ก็เห็นแล้ว ว่าการปลุกปั่น "ล่มชาติ-ล่มสถาบัน" ครั้งนี้ แก๊งสามสัสสมคบนอกชาติ...ชัดเจน!
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |