ผลผลิตมวลรวมหรือจีดีพีของทุกประเทศเจอโควิด-19 ล้วนดิ่งเหวอย่างน่ากลัว
ที่เคยถามว่าบวกเท่าไหร่ ก็ต้องถามใหม่ว่าลบเท่าไหร่จึงจะถือว่า "ยอมรับได้"
ทั้งๆ ที่แต่ก่อนนี้ใครบอกว่าเศรษฐกิจติดลบจะเป็นเรื่องใหญ่ที่สร้างความสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นไปทั่ว
วันนี้ติดลบ 12.2% ก็ยังมีคำอธิบายว่ายังน้อยกว่าตอนไทยเราเจอวิกฤติต้มยำกุ้ง ซึ่งไตรมาสเดียวติดลบถึง 12.5%
เอาทศนิยมมาเปรียบเทียบเพื่อปลอบใจกันทีเดียว
นี่คือ "ความปกติใหม่" หรือ New Normal ของจริง
ต้นสัปดาห์ที่ผ่านมาคุณทศพร ศิริสัมพันธ์ เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) แถลงรายงานภาวะเศรษฐกิจไตรมาส 2/63 และแนวโน้มเศรษฐกิจทั้งปี 2563 ว่า
เศรษฐกิจไทยไตรมาส 2/63 หดตัว 12.2%
เป็นการหดตัวต่อเนื่องจากไตรมาส 1 ที่เศรษฐกิจหดตัว 2%
สาเหตุสำคัญเป็นที่รู้กันคือการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 มาตรการปิดเมืองในหลายประเทศทั่วโลก สงครามการค้า และสถานการณ์ภัยแล้ง
คุณทศพรบอกด้วยว่าการหดตัวของไตรมาสที่สองปีนี้ที่ 12.2% เป็นระดับการหดตัวที่น้อยกว่าวิกฤติต้มยำกุ้ง
เพราะไตรมาส 2 ปี 2541 นั้นเศรษฐกิจไทยหดตัวหนักสุดที่ 12.5%
อีกทั้งยังเป็นระดับการหดตัวทางเศรษฐกิจที่สอดคล้องกันเกือบทุกประเทศทั่วโลก ที่เศรษฐกิจไตรมาส 2/63 ติดลบในระดับมากกว่า 10% จากภาวะเศรษฐกิจโลกถดถอย ผลกระทบของโควิด-19 และมาตรการปิดเมือง
มีข้อยกเว้นเฉพาะจีนที่เศรษฐกิจขยายตัว 3.2% และเวียดนามที่เศรษฐกิจขยายตัว 0.4%
"ถ้าเรามองย้อนไปในอดีตเมื่อครั้งวิกฤติต้มยำกุ้งปี 40-41 เศรษฐกิจไทยติดลบหนักสุดในไตรมาส 2/41 โดยติดลบ 12.5% ส่วนซับไพรม์วิกฤติแฮมเบอร์เกอร์ติดลบ 4% กว่าๆ และวิกฤติน้ำท่วมก็ติดลบ 4% กว่าๆ จนกระทั่งมาถึงครั้งนี้เจอโควิด-19 เราติดลบ 12.2% ซึ่งยังน้อยกว่าวิกฤติต้มยำกุ้ง"
คุณทศพรเปรียบเทียบให้ฟังในแง่วิชาการ แต่ในภาคปฏิบัตินั้นคงไม่ได้ช่วยทำให้คนไทยรู้สึกดีขึ้นเท่าใดนัก
เพราะวิกฤติครั้งก่อนๆ กระทบคนบางภาคส่วน มีความหนักเบาไม่เท่ากัน ภาคที่ดีก็สามารถชดเชยส่วนที่แย่ ทำให้ความเป็นอยู่ยังพอจะประคองผ่านวิกฤติไปได้
อีกทั้งทุกครั้งที่ผ่านมานั้นระยะเวลาของวิกฤติค่อนข้างสั้นและสามารถจะประเมินกรอบเวลาได้
แต่ครั้งนี้ยังไม่มีใครรู้ว่าโควิด-19 จะไปจบในปีไหน และการพัฒนาวัคซีนจะประสบความสำเร็จอย่างเป็นรูปธรรมได้ในเวลาใด
ความไม่แน่นอนประกอบกับผลกระทบอันกว้างไกลของโควิด จึงทำให้วิกฤติครั้งนี้หนักหน่วง รุนแรง และกว้างขวางที่สุดเท่าที่เคยมีมา
คุณทศพรบอกว่าการอุปโภคบริโภคภาครัฐ และลงทุนภาครัฐ ยังคงเป็นปัจจัยเดียวที่ช่วยพยุงเศรษฐกิจไทยในไตรมาส 2/63 และในช่วงที่ผ่านมาไม่ให้ทรุดตัวลงมากกว่านี้
ที่น่าเป็นห่วงคือการอุปโภคบริโภค การลงทุนภาคเอกชน และการค้าระหว่างประเทศ โดยเฉพาะการส่งออกพบว่าติดลบทุกตัว เช่นเดียวกับภาคการผลิตที่ปรับตัวลดลงทุกเซกเตอร์ ทั้งภาคอุตสาหกรรม ภาคเกษตรกรรม และภาคการท่องเที่ยวและโรงแรม รวมถึงกิจการที่เกี่ยวเนื่อง เช่น อาหาร เป็นต้น
มองภาพรวมทั้งปีก็ยังเป็นอาการโคม่าอยู่พอสมควร
สศช.คาดว่าเศรษฐกิจไทยจะติดลบ 7.8% ถึงติดลบ 7.3% โดยมีค่ากลางที่ติดลบ 7.5%
ประมาณการก่อนหน้านี้คาดว่าจะติดลบ 6% ถึงติดลบ 5%
แต่เอาเข้าจริงๆ ไม่มีใครกล้าพยากรณ์ได้อย่างมั่นใจ ไม่ว่าจะเป็นประเทศไทยหรือประเทศไหนๆ ในโลกวันนี้
เพราะมีตัวแปรมากมายหลายปัจจัย
การที่จะเป็นไปตามการคาดการณ์ของสภาพัฒน์ได้มีเงื่อนไขว่า
ต้องไม่มีสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 รอบสองมาซ้ำเติม
สงครามการค้าสหรัฐฯ-จีน ต้องไม่นำไปสู่มาตรการกีดกันทางการค้าเพิ่มเติม
และวิกฤตการณ์ในภาคผลิตต้องไม่ลุกลามไปสู่วิกฤตการณ์ทางการเงิน
เป็นเงื่อนไขที่ยากจะเป็นไปได้
นั่นแปลว่าเราต้องเตรียมเข้าสู่ภาวะ "แปรปรวนต่อเนื่อง" โดยไม่รู้ว่าจะหลุดออกจาก "พายุโควิด" เมื่อไหร่
ดังนั้นจึงไม่มีใครแม้แต่คนเดียวบอกได้เลยว่า "จุดต่ำสุด" อยู่ตรงไหน.
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |