“ชู 3 นิ้ว+ผูกโบขาว” ไฟลามทุ่ง โรงเรียนเก่านายกฯ วัดนวลนรดิศก็ร่วมขบวน “บิ๊กตู่” ปูดมีบูลลี่กดดันให้เข้าร่วมกิจกรรม “ลุงป้อม” มามุกแค่ลูกเสือ ส่วนสภาสูงจัดหนักแจงการข่าวชัดพรรคการเมืองเทกโอเวอร์ม็อบประชาชนปลดแอก ยุรัฐบาลใช้ไม้แข็งจัดการไอ้โม่ง เพื่อไทยดาหน้าปัดอยู่เบื้องหลัง “อนุดิษฐ์” ปูดอีกคุกคามอาจารย์-ผู้ปกครองนอกเหนือจากเยาวชน
เมื่อวันอังคารที่ 18 สิงหาคม ยังคงมีกระแสนักเรียนในระดับชั้นมัธยมศึกษาในหลายพื้นที่แสดงออกในเชิงสัญลักษณ์ ด้วยการผูกโบสีขาวและชู 3 นิ้วระหว่างยืนเคารพธงชาติ เพื่อต่อต้านเผด็จการ การมีสิทธิและเสรีภาพในการมีส่วนร่วมของสังคม
โดยที่โรงเรียนวัดนวลนรดิศ เขตภาษีเจริญ ซึ่งเป็นโรงเรียนเก่าของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ยังมีการชู 3 นิ้วต่อเนื่องเป็นวันที่สอง รวมทั้งมีการปลดป้ายแสดงความยินดีกับ พล.อ.ประยุทธ์ ในฐานะศิษย์เก่าที่เป็นนายกฯ ออกด้วย ซึ่งผู้บริหารโรงเรียนให้เหตุผลว่าเพราะป้ายมีความเก่าและทรุดโทรมแล้ว
ส่วนที่ รร.สามเสนวิทยาลัย เขตพญาไท มีการจัดกิจกรรมลูกสามเสนไม่เอาเผด็จการ โดยกลุ่มนักเรียนได้นัดชูกกระดาษเปล่า ผูกโบสีขาวหน้าเสาธงเช่นกัน
ส่วนในต่างจังหวัดก็มีหลายพื้นที่ที่มีการจัดกิจกรรมดังกล่าว ไม่ว่าจะเป็น รร.บุญวาทย์วิทยาลัย จ.ลำปาง รร.ลำปางกัลยาณีก็เริ่มมีการนำโบสีขาวมาแจกเพื่อให้นักเรียนหญิงผูกไว้ที่ผม ส่วนที่ จ.ยะลา ภายในโรงเรียนเบตง วีระราษฎร์ประสาน มีการจัดกิจกรรมชู 3 นิ้ว หลังร้องเพลงชาติจบ และมีการติดโบสีขาวเช่นกัน
ขณะเดียวกันก็มีดรามาเกิดขึ้นในกิจกรรมดังกล่าว โดยในโลกโซเชียลแชร์ภาพนิ่งนักเรียนทำกิจกรรมเชิงสัญลักษณ์ต่อต้านรัฐบาลภายใน รร.สุราษฎร์พิทยา แล้วมีอาจารย์มายืนอธิบาย ซึ่งมีการใช้มือประกอบลักษณะเหมือนกับการตบตี พร้อมข้อความว่า กล้าตบหนูเหรอคะ ซึ่งทำให้โลกออนไลน์วิจารณ์อย่างมาก
นายประหยัด ไทยเสน รองผู้อำนวยการกลุ่มบริหารทั่วไป รร.สุราษฎร์พิทยา ได้เล่าเหตุการณ์ว่า ภาพดังกล่าวเป็นการพูดคุยกันกับตัวแทนกลุ่มนักเรียน โดยไม่ได้มีเหตุกระทบกระทั่งรุนแรงอะไร ขอให้ยุติกิจกรรมดังกล่าวภายในโรงเรียน และขอเก็บป้ายผ้าเอาไว้ ให้ทำกิจกรรมนอกโรงเรียน เพราะการแสดงออกเรื่องการเมืองไม่สมควรทำในสถาบันการศึกษา ควรทำในที่สาธารณะหรือสถานที่ที่เหมาะสมเท่านั้น
ด้าน น.ส.น้ำ (นามสมมติ) อายุ 17 ปี นักเรียนชั้น ม.6 ตัวแทนกลุ่มนักเรียนกล่าวเช่นกันว่า ภาพที่ลงในโซเชียลฯ เป็นการเจรจาระหว่างรอง ผอ.กับตัวแทนกลุ่มนักเรียน โดยรอง ผอ.ยกมือขอร้องให้ออกไปทำกิจกรรมข้างนอก ส่วนตัวแทนนักเรียนชี้แจงว่า รอง ผอ.ไม่มีสิทธิ์ยึดแผ่นป้ายผ้าของนักเรียนเอาไว้ ซึ่งภาพดังกล่าวเป็นการเจรจากัน ยกมือบอกให้ออกไปด้านนอก ไม่ได้ยกมือจะตบตามที่โซเชียลฯ ลงแต่อย่างใด
สำหรับความคิดเห็น พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม แถลงภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ถึงปรากฏการณ์ดังกล่าวว่า หลายอย่างได้เกิดขึ้นมา แต่ไม่อยากให้เป็นประเด็นต่อไป ซึ่งเห็นถึงความบริสุทธิ์ใจของเด็กต่างๆ เหล่านี้ แต่สิ่งที่ทราบมาจากการรับฟังความคิดเห็นจากเด็กๆ หลายคน เขาบอกบางทีในสถาบันศึกษา ไม่ว่าจะเป็นระดับไหนก็ตาม มันมีการบูลลี่กัน ถ้าใครไม่มาร่วมก็จะถูกกีดกันไม่ให้เข้าร่วมชมรม เข้ากลุ่ม อะไรแบบนี้ คิดว่านั่นคืออันตราย ซึ่งเพียงแต่ยกตัวอย่างเฉยๆ ที่ได้ฟังจากนักศึกษามา บางคนไม่ได้อยากจะมีส่วนร่วม แต่ถูกบูลลี่ ถูกกีดกัน อะไรหลายๆ อย่างด้วยกัน ขอให้ทุกคนหารือด้วยเหตุและผลก็แล้วกัน
พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ กล่าวก่อนประชุม ครม.ด้วยสีหน้าเรียบเฉยสั้นๆ ว่า "อ๋อ ลูกเสือๆ"
ต่อมา พล.อ.ประวิตรให้สัมภาษณ์อีกครั้งว่า ห่วงเด็ก ต้องมีคนสร้างความเข้าใจให้กับเด็ก
เมื่อถามว่า กังวลหรือไม่ว่าจะลามไปอีกเรื่อยๆ ในหลายพื้นที่กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ต้องเข้ามาดูเรื่องนี้หรือไม่ พล.อ.ประวิตรกล่าวว่า ต้องขึ้นอยู่กับคนที่สนับสนุน และคิดดูให้ดี
ส่วนนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯ และ รมว.สาธารณสุขตอบคำถามว่าเห็นด้วยหรือไม่ที่ พล.อ.ประวิตรมองว่าการชูสามนิ้วเป็นสัญลักษณ์ลูกเสือ นายอนุทินพยักหน้าก่อนตอบว่า ใช่ เพื่อชาติ ศาสน์ กษัตริย์
นายชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎร กล่าวว่า การชุมนุมและการแสดงออกเชิงสัญลักษณ์ของนักเรียนขณะนี้สามารถใช้เวทีของสภาในการแก้ไขปัญหาได้ โดยผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎรหรือรัฐบาลสามารถเสนอเรื่องเพื่อขอเปิดประชุมสภาพิจารณาหาทางออกร่วมกันได้ ซึ่งหากเสนอเข้ามาก็ขอเปิดประชุมได้ทันที ทั้งนี้ ส่วนตัวในฐานะที่เป็นประธานฝ่ายนิติบัญญัติ เห็นว่าทุกคนต้องทำหน้าที่ของตนเองให้ดี โดยภายนอกสภาจะเป็นอย่างไรก็ตาม แต่ภายในสภาต้องยึดหลักกฎเกณฑ์ ทำหน้าที่ของตัวเองให้สมบูรณ์ที่สุด
“ประธานไม่มีสิทธิ์ไปสั่งนัดประชุมพิเศษอะไรถ้าไม่อยู่ในระเบียบวาระ แต่ถ้าฝ่ายใดเสนอเข้ามาก็ยินดี ผมเชื่อทุกคนทำหน้าที่ตัวเองให้ดี อย่างน้อยสภาต้องเป็นหลักให้บ้านเมืองในฝ่ายดูแลประสานกฎเกณฑ์กติกาของระบอบประชาธิปไตย ของหลักกฎหมาย เพราะเราปกครองด้วยกฎหมายต้องยึดหลักนี้ไว้” นายชวนกล่าว
ซัดการเมืองเทกม็อบ
ส่วนการประชุมวุฒิสภา ก่อนเข้าสู่วาระ นายสมชาย แสวงการ ส.ว. หารือว่า หนักใจเมื่อทราบการข่าวว่าม็อบประชาชนปลดแอกมีพรรคการเมืองเทกโอเวอร์ เพราะมีมวลชนจำนวนมากเข้าร่วมเวที ซึ่งการข่าวระบุว่าการชุมนุมมี ส.ส.คนหนึ่งนำประชาชนมาจากย่านสายไหม-มีนบุรี-บางซื่อ ร่วมชุมนุมพร้อมสนับสนุนรถห้องน้ำติดเครื่องปรับอากาศ 4 คัน รถน้ำและเครื่องดื่มแบบบาร์ พร้อมเวทีแสงสีเสียง ขณะที่อีกพรรคการเมืองนำคนจากโรงงาน 2,000 คนร่วมชุมนุม โดยสารมากับรถบัสส่งที่โรงแรมรัตนโกสินทร์และเสาชิงช้า นำชาวบ้านจากวัดย่านมีนบุรี สมุทรปราการ ปทุมธานี 3,000 คนเข้าร่วม และพบการทะเลาะกันของการ์ดและชายชุดดำ ดังนั้นขอให้รัฐบาลใช้มาตรการกฎหมายดำเนินการผู้ละเมิดกฎหมาย
นายสมชายกล่าวว่า ส่วนการจัดเวทีที่รัฐบาลมอบให้สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) รับฟังความเห็นนักศึกษานั้น ขอให้จัดเวทีโดยมีตัวแทนอธิการบดีสถาบันการศึกษา ตัวแทนประธานนิสิตนักศึกษา 400 คน มาประชุมที่รัฐสภา จัดประชุมร่วมกับ พล.อ.ประยุทธ์, นายอนุทิน, นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์, นายชวน, นายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธานวุฒิสภา และ กมธ.สภาและวุฒิสภา ร่วมแลกเปลี่ยนความเห็นกับกลุ่มเยาวชน โดยตั้งโจทย์เช่นจะแก้รัฐธรรมนูญมาตราใด การแก้ปัญหาความยากจน ความเหลื่อมล้ำ การคุกคามสิทธิเสรีภาพจะทำอย่างไร รวมถึงข้อเสนอยุบสภาจะเดินต่ออย่างไร
“ผู้ใหญ่ควรแลกเปลี่ยนสิ่งที่เป็นปัญหากับเด็ก ขณะนี้ครูผู้ปกครองปรับตัวไม่ทัน มองว่าการชูสามนิ้วระหว่างร้องเพลงชาติไม่เหมาะสม เพราะการเข้าแถวคือการสร้างวินัย ส่วนการผูกโบสีขาวนั้นทำได้ แต่การเคลื่อนไหวของเยาวชน มีความพยายามทำให้เหมือนกับการชุมนุมที่ฮ่องกง” นายสมชายกล่าว
นพ.เจตน์ ศิรธรานนท์ ส.ว. กล่าวว่า ขอให้กำลังนายกฯ แก้ปัญหาที่เกิดขึ้นขณะนี้ โดยรัฐบาลต้องดำเนินการตามกฎหมาย โดยเฉพาะผู้อยู่เบื้องหลัง 10 ประเด็นจาบจ้วงสถาบันฯ และอยู่เบื้องหลังการชุมนุมของเด็กนักเรียน
ปูดคุกคามอาจารย์
ส่วน น.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ เลขาธิการพรรคเพื่อไทย (พท.) ในฐานะคณะทำงานติดตามการชุมนุมของนักเรียน นิสิต นักศึกษา และประชาชน กล่าวว่า หลังคณะทำงานเปิดช่องทางการสื่อสารให้ผู้ถูกคุกคามและบุคคลทั่วไปสามารถร้องเรียนและแจ้งเบาะแสข้อมูลต่างๆ เข้ามา พบว่านอกเหนือจากเยาวชนจะถูกละเมิดสิทธิ์และถูกคุกคามแล้ว ยังมีรายงานเข้ามาว่าครูอาจารย์โดนคุกคามและกดดันมาจากผู้มีอำนาจด้วยเช่นกัน โดยมีรายงานระบุชัดเจนว่า มีข้าราชการระดับสูงในกระทรวงศึกษาธิการ ออกมากดดันและคาดโทษผู้บริหารสถานศึกษาและครูอาจารย์ ที่ปล่อยให้นักเรียนแสดงออกทางการเมือง ในขณะเดียวกันกับที่เจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงของรัฐ เช่นตำรวจและทหาร ก็ออกมากดดันให้ครูอาจารย์ร่วมมือส่งชื่อรายชื่อเด็ก และผู้ปกครองที่เป็นแกนนำให้ฝ่ายความมั่นคงด้วยเช่นกัน
“ไม่สบายใจที่รัฐบาลทำเรื่องง่ายให้เป็นเรื่องยาก อยากให้ พล.อ.ประยุทธ์ลงมาเอาใจใส่กับเรื่องนี้ให้มากขึ้น อย่างน้อยที่สุดควรให้นโยบายกับเจ้าหน้าที่ของรัฐทั้งฝ่ายประจำและฝ่ายมั่นคง ให้เลิกแทรกแซงสถาบันการศึกษาต่างๆ ในทุกระดับ ให้เสรีภาพกับครูอาจารย์ในการดูแลปกป้องลูกศิษย์ หยุดกดดันและใช้ครูอาจารย์เป็นเครื่องมือในการละเมิดเสรีภาพและลิดรอนสิทธิ์ของเยาวชน” น.อ.อนุดิษฐ์กล่าว
นายสมคิด เชื้อคง ส.ส.อุบลราชธานี พรรค พท. ในฐานะประธานคณะทำงานเพื่อติดตามการชุมนุมของกลุ่มนักเรียน นิสิต นักศึกษา และประชาชน ในคณะ กมธ.การปกครอง กล่าวว่า การชูนิ้ว 3 นิ้วในช่วงเคารพธงชาติ อยากฝากไปยังคณะครูอาจารย์เจ้าหน้าที่ ว่าขอเปิดให้นักเรียนได้แสดงออก เพราะไม่มีอะไรเกินเลย นอกจากนี้ คณะทำงานยังได้รับการประสานงานจากผู้ที่ได้รับหมายเรียก 15 คนให้ช่วยเหลือ ซึ่งย้ำว่าพร้อมดูแล และประกันตัวทั้งชั้นสอบสวนและชั้นศาล หากญาติไม่ประกันตัวคณะก็พร้อมดูแล
“หากครูอาจารย์ปิดกั้นการแสดงออกของนักเรียน นักศึกษา พร้อมจะประสานเสนอให้ กมธ.การศึกษาฯ เชิญมาชี้แจงถึงมาตรการดูแลนักเรียน ส่วนการชุมนุมในต่างจังหวัดหากจะชุมนุม คณะทำงานของ ส.ส.เพื่อไทยพร้อมลงไปสังเกตการณ์ และขอปฏิเสธข้อสังเกตว่าการชุมนุมมีนักการเมืองอยู่เบื้องหลัง โดยพรรคไปในนามผู้สังเกตการณ์ และไปเพียง 6 คนเท่านั้น และเชื่อว่าคงไม่มีใครเกณฑ์คนไปชุมนุมได้” นายสมคิดกล่าว
ซัด'ป้อม'ดื้อตาใส
นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด โฆษกพรรค พท. กล่าวโต้ พล.อ.ประวิตร กรณีมองการชู 3 นิ้วเป็นแค่ลูกเสือว่า พล.อ.ประวิตรยังคงเป็นผู้ไม่เคยรู้อะไรเลย ดื้อตาใส เพราะประเมินสถานการณ์ผิด วิเคราะห์ผิด แบบนี้มาโดยตลอด เลยไม่สามารถแก้ไขปัญหาอะไรได้ ถึงวันนี้ไม่แน่ใจว่า พล.อ.ประวิตรเข้าใจในความหมายของการชู 3 นิ้วหรือไม่ รัฐบาลนี้กลัวการชู 3 นิ้ว กลัวโบขาว กลัวการชูกระดาษเปล่า เพราะต้องการรักษาอำนาจไว้ให้นานที่สุด แต่พลังของนักเรียน นิสิต นักศึกษา ที่ขยายตัวมากขนาดนี้ ถ้าประเมินสถานการณ์ตรงไปตรงมา ถ้ารัฐบาลผ่านปีนี้ไปได้ ต้องถือว่าปาฏิหาริย์
นายการุณ โหสกุล ส.ส.กทม. พรรค พท. กล่าวว่า รู้สึกไม่สบายใจอย่างมากที่การจัดกิจกรรมของเด็กถูกกดดันห้ามปรามจากครูบาอาจารย์ บางโรงเรียนถูกเจ้าหน้าที่ของรัฐเข้าไปคุกคาม เพราะการทำกิจกรรมเชิงสัญลักษณ์ของเด็กๆ คือการแสดงออกซึ่งสิทธิเสรีภาพและความเป็นประชาธิปไตยของประเทศนี้ ซึ่งเด็กๆ เห็นว่ามันมีปัญหา ดังนั้นเมื่อผู้ใหญ่ไปคุกคามและลิดรอนสิทธิ์ จึงกลายเป็นการตอกย้ำความเชื่อให้กับเด็กๆ ว่าประเทศนี้อยู่ภายใต้การปกครองของรัฐบาลเผด็จการ เหตุการณ์ในลักษณะนี้ต้องไม่เกิดขึ้นอีก
“การโจมตีว่ามีพรรคการเมืองหนุนหลังม็อบอยู่นั้น แสดงให้เห็นว่าการข่าวกรองของประเทศต้องมีปัญหา เพราะพื้นที่ของพรรคการเมืองทุกพรรคอยู่ในสภาเรียบร้อยแล้ว จึงไม่จำเป็นต้องมาเคลื่อนไหวเรียกร้องนอกสภา การที่พรรคการเมืองส่งผู้แทนราษฎรไปสังเกตการณ์นั้น เพราะว่าที่ผ่านมารัฐใช้อำนาจไปข่มขู่ คุกคาม และจับกุม สร้างความหวาดกลัวในหมู่ผู้ชุมนุม เราจึงต้องไปปกป้องประชาชนของเรา วันนี้นายกฯ คุมทั้งฝ่ายความมั่นคง คุมทั้งตำรวจ จึงขอได้โปรดยุติการคุกคามประชาชนทุกรูปแบบ” นายการุณกล่าว
นายณัฐชา บุญไชยอินสวัสดิ์ โฆษกพรรคก้าวไกล (กก.) กล่าวว่า ในฐานะผู้เข้าร่วมสังเกตการณ์การชุมนุมกลุ่มประชาชนปลดแอกเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา บอกได้ว่าผู้อยู่เบื้องหลังม็อบคือ พล.อ.ประยุทธ์ เพราะหากท่านไม่บริหารประเทศลงเหวได้ขนาดนี้ไม่มีใครออกมาเรียกร้องหรอก ต้นกำเนิดของการชุมนุมทั้งหมดคือตัวนายกฯ เอง ไม่ต้องหาว่าพรรคไหนอยู่เบื้องหลัง พวกท่านผลักประชาชนออกมาเพราะเขาทนไม่ไหวแล้ว ยอมรับความจริง เปิดหูเปิดตา เลิกโทษประชาชนเสียที
เตือนไฟลามทุ่ง
ด้านนายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธานแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) เฟซบุ๊กไลฟ์ peace talk โดยระบุถึงสถานการณ์ทางการเมืองขณะนี้ลุกลามดังไฟลามทุ่ง ว่าธรรมชาติของไฟที่ดับยากที่สุดคือไฟไหม้ใต้ดิน และเหตุการณ์การเมืองขณะนี้เป็นเหมือนไฟใต้ดินปะทุขึ้น ซึ่งลุกโหมจากพื้นที่มหาวิทยาลัยขยายไปถึงโรงเรียนต่างๆ แล้วลามออกไปกว้างขวางจนยากดับได้อย่างยิ่ง โดยเฉพาะการชู 3 นิ้ว ซึ่งหากมองว่าการชูสามนิ้ว ผูกโบขาวเป็นศัตรู จะยิ่งทำให้ไปกันใหญ่
“ความตื่นตัวทางการเมืองลงไปถึงเยาวชนแล้ว ดังนั้นรัฐบาลต้องแสดงความจริงใจในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ หากบิดพลิ้ว ยื้อถ่วงเวลา จะนำไปสู่เหตุการณ์อื่นๆ ได้ เนื่องจากขณะนี้สถานการณ์เป็นเหมือนไฟลามทุ่ง ส่วนที่นักเรียนลุกขึ้นมาชูสามนิ้ว ผูกโบขาว ควรปล่อยให้เป็นสิทธิเสรีภาพ ไม่ควรมองในเชิงใช้อำนาจเข้าจัดการ เพราะจะเกิดการถลำลึก แล้วเกิดความสูญเสีย การแก้ปัญหาต้องมองคนหนุ่มสาวเป็นลูกหลาน มองเข้าไปถึงเบื้องลึกความต้องการ ไม่ใช่ยุยงให้เจ้าหน้าที่จัดการปัญหา” นายจตุพรกล่าว
นางทิชา ณ นคร ผู้อำนวยการศูนย์ฝึกและอบรมเด็กและเยาวชนชาย บ้านกาญจนาภิเษก กล่าวถึงการชู 3 นิ้วว่า ขณะที่ผู้ใช้อำนาจยังเหลิง ยังเมาในอำนาจไม่สร่างชัดเจน นักเรียนเหล่านี้ได้ลุกขึ้นมาทวงสิทธิ์ ยืนยันเสรีภาพ ตอกย้ำระบบอำนาจนิยมที่กดทับพวกเขามายาวนาน
นายชูวิทย์ จันทรส เลขาธิการมูลนิธิเด็ก เยาวชน และครอบครัว กล่าวว่า มีครูอาจารย์ในโรงเรียนบางแห่งได้กระทำการที่ไม่เหมาะสมกับเด็กๆ นักเรียนที่แสดงออก ทั้งวาจาและการกระทำ ซึ่งในฐานะคนทำงานด้านเด็กและเยาวชน มีความห่วงใยต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้น เป็นผลกระทบโดยตรงต่อเด็ก จึงขอแสดงจุดยืน ดังนี้ 1.ขอสนับสนุนสิทธิเสรีภาพในการแสดงออก การมีส่วนร่วมทางการเมืองของนักเรียนนักศึกษาทุกระดับชั้น 2.กระทรวงศึกษาธิการควรมีนโยบายเปิดพื้นที่แสดงออกของนักเรียน นักศึกษา ให้สถานศึกษาเป็นพื้นที่ปลอดภัยปราศจากการแทรกแซง หรือคุกคามของคนกลุ่มหนึ่งกลุ่มใด และ 3.กระทรวงศึกษาฯ และสถานศึกษาควรระลึกอยู่เสมอว่า ความตื่นตัวในทางการเมืองและสนใจปัญหาบ้านเมืองของนักเรียนนักศึกษาในยุคนี้ คือสิ่งที่มีค่า ควรสนับสนุนและรักษาไว้อย่างยิ่ง
นายธนเดช ใจสบาย ผู้ประสานงานเครือข่ายเยาวชนปกป้องสิทธิ ได้ออกแถลงการณ์โดยมีเนื้อหาตอนหนึ่งว่า เครือข่ายเยาวชนปกป้องสิทธิเห็นว่าการแสดงออกเชิงสัญลักษณ์ของนักเรียนในรั้วสถาบันการศึกษานั้น เป็นสิทธิขั้นพื้นฐานของนักเรียนที่สามารถจะกระทำได้
วันเดียวกัน ในการประชุมของ กมธ.วิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ.2564 นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า ในฐานะที่ปรึกษา กมธ. ร่วมซักถามและขอคำชี้แจงในส่วนของหน่วยงานกรมประชาสัมพันธ์ โดยมี พล.ท.สรรเสริญ แก้วกำเนิด อธิบดีกรมประชาสัมพันธ์ชี้แจง นายธนาธรได้พยายามซักถามในเรื่องผังล้มเจ้า โดยเฉพาะกรณีมีชื่อตนเองอยู่ในผัง ซึ่ง พล.ท.สรรเสริญที่เคยเป็นอดีตโฆษกศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) และอดีตโฆษกประจำสำนักนายกฯ แถลง และต่อมากลับยอมรับว่ามโนไปเอง ไม่เป็นความจริงแต่อย่างใด
พล.ท.สรรเสริญชี้แจงว่า เรื่องเกี่ยวกับผังล้มเจ้าที่ว่าได้ยอมรับต่อศาลว่าผังนี้ได้มโนไปเองนั้นไม่เป็นความจริง เพราะคนที่ฟ้องร้องต่อศาลได้ถอนฟ้องไป และก็ไม่ได้ยอมรับว่ามโนแบบนั้น ทำให้นายธนาธรได้นำคำของ พล.ท.สรรเสริญที่แถลงต่อศาล ซึ่งอ้างอิงจากสำนักข่าวผู้จัดการเมื่อวันที่ 26 พ.ค.2554 มาอ่าน พร้อมระบุว่าผังล้มเจ้าที่พูดมาตลอดมันไม่มี มีแค่การเชื่อมโยงความสัมพันธ์ แล้วให้สังคมไปพิจารณาเอง แต่ทว่าเวลาที่ท่านพูดถึงเรื่องผังล้มเจ้า ณ วันนั้น พูดเสมือนหนึ่งว่าเกิดขึ้นจริง แต่เวลาแถลงกับศาลกลับอีกเรื่อง อย่างนี้สังคมพิจารณาเองได้ว่าท่านมีความตั้งใจอย่างไร ซึ่ง พล.ท.สรรเสริญชี้แจงเพิ่มเติมว่า คำว่ามโนไปเอง เป็นคำที่สื่อเลือกข้างสุดโต่งนำไปใช้เท่านั้น.
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |