'บิ๊กตู่' เครียด! ลั่นทำงานเต็มที่สุดชีวิต ประเทศชาติไม่ใช่ของผม แต่เป็นของทุกคน


เพิ่มเพื่อน    

“บิ๊กตู่”เครียด​ ลั่น​จะทำงานในหน้าที่อย่างเต็มที่สุดชีวิตด้วยความรับผิดชอบ ประเทศชาติไม่ใช่ของผม แต่เป็นของทุกคน แผ่นดินนี้จะเปลี่ยนแปลงอะไรต้องดูพื้นฐาน-บริบทด้วย ระบุ​ ไม่ว่าใครก็ต้องตาย ตอนมีชีวิตทำความดีกันบ้าง อย่ามองอะไรไม่พ้นขากางเกงตัวเอง

17 ส.ค.63 - ที่ห้อง Auditorium ชั้น 6 อาคารทรู ดิจิทัล พาร์ค พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม เป็นประธานในพิธีเปิดงาน “ยกกำลังสองการศึกษาไทย สู่ความเป็นเลิศ” (Thailand Education Eco-System) และการแสดงวิสัยทัศน์การขับเคลื่อนการศึกษาไทย โดยพล.อ.ประยุทธ์มีสีหน้าเคร่งเครียดตลอดเวลา และทันทีทีเข้ามายังห้องห้อง Auditorium ซึ่งเป็นสถานที่ในการแสดงวิสัยทัศน์และไม่เห็นกลุ่มสื่อมวลชน เนื่องจากสถานที่ค่อนข้างคับแคบ เจ้าหน้าที่ได้จัดสถานที่ให้ฟังอยู่ด้านนอกห้องประชุม ​พล.อ.ประยุทธ์จึงให้เจ้าหน้าที่มาเชิญสื่อมวลชนให้เข้าไปฟังในห้อง โดยกล่าวก่อนเริ่มแสดงวิสัยทัศน์ว่า "สื่อมวลชนเข้ามาฟังเลยหรือไม่​ ถ้าไม่เข้ามาก็จะไม่พูด​ ไม่ให้สัมภาษณ์​ เพราะเรื่องนี้เป็นความเป็นความตายของประเทศ" ทำให้ผู้เข้าร่วมฟังการแสดงวิสัยทัศน์ถึงกับงงในคำพูดของ พล.อ.ประยุทธ์

พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า วันนี้ปัญหาทั้งหมดเราทำคนเดียวไม่ได้จะต้องร่วมมือกันจากคนไทยทั้งประเทศที่จะต้องร่วมมือกันในการขับเคลื่อน โดยเฉพาะการเปลี่ยนหน้าประวัติศาศตร์ทางการศึกษา​รัฐบาลมีหน้าที่แก้ปัญหาและอุปสรรคต่างๆ อย่างบูรณาการ วันนี้หลายคนไม่เข้าใจว่าทำไมเราจะต้องมียุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี หลายคนถามว่าจะมีไปทำไม เราต้องเตรียมการเพราะโลกมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา การศึกษาถือเป็นยุทธศาสตร์สำคัญ​ เพราะต้องทำคนให้มีความเหมาะสมกับศตวรรษที่ 21 วันนี้ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงไปทั้งหมดแล้ว​ ทั้งวิธีคิดและหลักคิด หลายอย่างยากขึ้น ถ้าไม่แก้ตั้งแต่วันนี้วันข้างหน้าจะหนักยิ่งกว่าเดิม

พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า เป้าหมายของรัฐบาลคือการพัฒนาคนในทุกมิติในทุกช่วงวัย ทำอย่างไรจะให้คนไทยมีความพร้อม และคิดว่าวันนี้ความแข็งแรงของร่างกายเด็กค่อนข้างจะเข้มแข็งน้อยลงจำเป็นต้องปลูกฝังให้ร่างกายมีความแข็งแรงและเมื่อร่างกายแข็งแรงสมองก็จะแข็งแรง​ การพัฒนาเจริญเติบโตก็จะมีมากขึ้น

“นอกจากร่างกายจะต้องแข็งแรงแล้วจิตใจก็ต้องแข็งแรงด้วย มีจิตสาธารณะมีความรับผิดชอบต่อสังคม ต่อผู้อื่น ประหยัด มัธยัสถ์ อดออม โอบอ้อมอารีมีวินัย รักษาศีลธรรม เป็นคนดีของชาติด้วนการมีหลักคิดที่ถูกต้อง มีมายเซตใหม่ ปรับทั้งหมด และคงไม่ใช่เฉพาะเด็กๆ เท่านั้น ผู้ใหญ่เองก็ต้องปรับด้วยในการเตรียมความพร้อมในการเดินหน้าต่อไป”พล.อ.ประยุทธ์​ กล่าว

พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า เราต้องพัฒนาเด็กไปสู่กระบวนการเรียนรู้ที่คิดเป็น มีหลักการ มีวิชาการเสริมอยู่ในสมอง ต้องรู้หลักปฏิบัติตั้งแต่เล็กว่ามีความลำบากแค่ไหน กว่าจะมาถึงวันนี้ เราต้องให้เด็กให้ความสนใจกับเรื่องของชุมชนและสังคมให้มากขึ้น มากกว่าเรื่องที่ยังไม่ใช่เวลา หรืออนาคตของพวกเขา คือการเรียนหนังสือให้จบและมีงานทำ คือเป้าหมายของนักศึกษาและเด็กนักเรียนทุกคน

“เราเป็นประเทศที่มีอัตลักษณ์ความเป็นไทยสูง วันนี้เราลืมสิ่งเหล่านี้ไปแล้วหรือ ต้องกลับมาทบทวนใหม่ทั้งหมด ผมถูกสอนมายุคโบราณ ยอมรับว่าวันนี้เลย คิดมาก คิดละเอียดยุบยิบทุกวัน ไม่ได้อยู่เฉยๆ และนายกฯ ไม่ใช่มีหน้าที่แค่เป็นประธานเปิดและปิดงาน ต้องรับมือได้ทุกสถานการณ์ เพียงแต่จะพูดหรือไม่พูดเท่านั้นเอง ทุกอย่างเพื่อให้ประเทศชาติมีความสงบ เรียบร้อย ปลอดภัย

การเป็นเด็กที่ดีจะต้องเรียนดี และไม่ใช่เรียนดีอย่างเดียว ต้องมีจิตสำนึกและความรับผิดชอบ ไม่มองแต่เรื่องค่าตอบแทนเพียงอย่างเดียว สรุปว่าต้องเปลี่ยนหลักคิดใหม่ทั้งหมด แต่ไม่ใช่จะเปลี่ยนหวือหวา อะไรที่ไม่เข้ากับบริบทของความเป็นไทยในขณะนี้ หลายประเทศอิจฉาอัตลักษณ์ความเป็นไทยของเรา หลายเรื่องที่เขาอยากจะร่วมมือ หลายอย่างที่อยากมาลงทุนประเทศไทย เพราะความมีอัตลักษณ์ของไทย ความเป็นชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ สิ่งเหล่านี้อยู่กับตัวคนไทยทุกคน รอยยิ้ม อาหาร สถานที่ท่องเที่ยวธรรมชาติที่งดงาม ทุกสิ่งนี้คือประเทศไทย แต่สิ่งเหล่านี้ถูกลืมไปหรือเปล่า เป็นหน้าที่ของครูและการศึกษาต้องช่วยกันสอนและอบรม บ่มนิสัยให้เป็นคนดีและเก่ง”พล.อ.ประยุทธ์​ กล่าว

พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า เป็นนายกรัฐมนตรีมา 5 ปี กำลังจะเข้าสู่ปีที่ 6 รู้ดีว่ามีการเปลี่ยนแปลงมาก​ สิ่งสำคัญวันนี้เราต้องหาพรสวรรค์ของเด็กให้เจอ ครูจะต้องสอนทั้งในและนอกห้องเรียน วันนี้เราบังคับใครไม่ได้ แต่เราสามารถทำให้เขาเข้าใจ ไม่มีใครไปบังคับหรือช่วยได้ เพราะอนาคตเขาต้องเผชิญโลกของความเป็นจริงด้วยตัวเอง วันนี้ตนทำได้เพียงการสร้างการรับรู้ สร้างความเข้าใจ วันนี้ทุกอย่างถือเป็นงานที่ตนต้องรับผิดชอบในฐานะที่เป็นรัฐบาล  มีหน้าที่ในการรับฟังข้อเสนอแนะต่างๆ รับฟังความคิดเห็นแสวงหาความร่วมมือจากทุกภาคส่วน รวมทั้งรับฟังความคิดเห็นจากต่างประเทศด้วย

"วันนี้ต่างประเทศอยากมีส่วนร่วมกับเรา​ เพราะเห็นศักยภาพที่มีอยู่ ดังนั้น​ เราจะต้องไม่ทำลายศักยภาพของเราเอง ไม่ทำลายประเทศด้วยสิ่งที่มีปัญหาทุกอย่างต้องค่อยๆ แก้ไขไป ตามขั้นตอนอย่าทำให้ทุกอย่างมาทำลายตรงนี้ให้เกิดความเสียหาย​ ผมต้องการเพียงเท่านั้น ยืนยันว่าผมจะทำงานในหน้าที่อย่างเต็มที่สุดชีวิตของผม ในการทำงานทุกอย่างด้วยความรับผิดชอบ ทุกคนต้องเข้าใจว่าทุกภาคส่วนมีความเกี่ยวข้องทั้งหมด ครู เด็ก ผู้ปกครอง สังคม สิ่งแวดล้อม ชุมชน โรงเรียน รวมถึงกระบวนการประชาธิปไตยใดๆ ก็ตาม ในปัจจุบันล้วนแล้วแต่มาจากความเป็นประชาธิปไตยทั้งสิ้น

ดังนั้น​ ทุกคนต้องมาช่วยกัน ถ้ายังขัดแย้ง ต่อต้านอะไรก็ทำไม่ได้ซักอย่าง ก็จะล้มทั้งหมด แล้วมันจะไปได้กันอย่างไร แล้วอนาคตประเทศจะมีหรือ วันนี้สถานการณ์บ้านเราไม่ใช่สถานการณ์ปกติ เพราะนอกจากปัญหาโควิดแล้ว มีปัญหาเศรษฐกิจทั้งโลก สื่อบางสำนักก็กดดัน ไม่มีการเปรียบเทียบหรือขอให้ทุกคนอดทน สังคมเราจะต้องเกิดการประนีประนอม หาทางออกที่ถูกต้อง ช่องทางที่ควรจะเป็น เดินหน้าในสิ่งที่ทำได้เร็ว และร่วมมือกันเปลี่ยนแปลงไม่ใช่ปล่อยให้เกิดปัญหาเดิมๆ อย่างเช่นเด็กติดอยู่ในรถ ซึ่งเป็นเรื่องการขาดความรับผิดชอบ เกิดซ้ำแล้วซ้ำเล่า จึงต้องช่วยกันลดอุปสรรค และหวังว่าทุกคนจะมีเวลาให้กับเด็กมากขึ้น”พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว

พล.อ.ประยุทธ์​ กล่าวว่า สื่อมวลชนวันนี้ถือเป็นบุคคลสำคัญที่จะสร้างการรับรู้ให้กับสังคมอย่างไร ถ้าเอาแต่การแพร่ข่าวอย่างเดียว ทางนั้นว่าอย่างนี้ ทางนี้ว่าอย่างนั้น ความขัดแย้งจะเกิดอย่างนี้ไปตลอดเวลา ฉะนั้น ทำอย่างไรจะให้เกิดความสงบให้ได้ มีเสถียรภาพรัฐบาลให้ได้ ไม่ว่ารัฐบาลจะอยู่หรือไม่อยู่ ต้องรู้ว่าจะเกิดอะไรตามมาในขณะนี้ ก็สุดแล้วแต่ วันนี้เราต้องใช้จ่ายงบประมาณ ทำโครงการโดย ครม. ส่วนเรื่องของสภาฯ ฝ่ายนิติบัญญัติก็ว่ากันไป อย่าเอาอะไรมาพันกัน อย่าเอาอำนาจฝ่ายบริหารและตุลาการมาพันกัน มันคนละอำนาจกัน แต่ตนมีหน้าที่ในการประสานทำความเข้าใจ นั่นคือ หน้าที่ของรัฐบาล ไปก้าวล่วงใครเขาไม่ได้ ทุกคนมีกฎหมายทุกตัว

ดังนั้น สื่อมวลชนเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยเผยแพร่ความรู้ เสริมสร้างความเข้าใจสังคมในสิ่งที่ดีๆ สิ่งที่เกิดขึ้นแล้ว แต่ถ้าจะเสนอข่าวความขัดแย้งอะไรก็สุดแล้วแต่สื่อ แต่ต้องเสนอสิ่งดีๆ ที่มันเกิดขึ้นด้วย บางสื่อ บางฉบับ บางคอลัมน์ เอาข้อเท็จจริงมาปรากฏว่าเกิดอะไรขึ้น แล้วทำอะไรไปบ้างแล้ว ตนอยากให้มีคอลัมน์เหล่านี้มากยิ่งขึ้น วันนี้อยากจะบอก คนเขาก็ไม่อยากอ่านเหมือนกัน เพราะเขาบอกความขัดแย้งมันสูง ก็เลยเข้าไปในโซเชียลมีเดีย ก็ไปเจอทางนู้นอีกทาง ตรงนี้จะทำอย่างไรกับเรื่องเหล่านี้ ตนบังคับใครไม่ได้

พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า แต่ละฝ่ายมีปัญหา แต่ทุกฝ่ายต้องช่วยกัน ถ้อยทีถ้อยอาศัย หาเป้าหมายว่าต้องการอะไร ช่วงปีนี้ หรือยุทธศาสตร์ 5 ปี ต้องการอะไร ทั้งครู เด็กนักเรียน สถาบันการศึกษาต้องการอย่างไร และมองย้อนหลังว่าสิ่งที่ทำในวันนี้จะต้องอะไรในอีก 5 ปีข้างหน้า จะเป็นการเดินหน้าทุก 1 ปี และ 5 ปี เป็นรูปธรรมที่จับต้องได้ บางทีพูดหลักการคนไม่เข้าใจ ซึ่งทราบกันดีอยู่แล้วว่าทุกคนไม่ชอบอ่านหนังสือยาวๆ ไม่ชอบฟังอะไรนานๆ สิ่งเหล่านี้เป็นโลกยุคใหม่ อ่านหนังสือ 3 บรรทัด และอ่านโซเชียลมีเดีย 3 บรรทัด แต่วิพากษ์วิจารณ์กันได้เยอะ ใส่ไปในโซเชียลมีเดีย ฝ่ายรัฐลองเปิดดูบ้าง ข้อมูลที่ใส่ไปไม่เห็นมีใครอ่าน มีคนแชร์นิดเดียว ฉะนั้น ต้องช่วยกันพูดและทำความเข้าใจ

“ประเทศชาติไม่ใช่ของผม หรือของใครคนใดคนหนึ่ง แต่เป็นของคนทุกคน แผ่นดินผืนนี้จะเปลี่ยนแปลงอะไร จะทำอะไรก็ต้องดูพื้นฐานและบริบทของประเทศไทยด้วย สิ่งสำคัญจะทำอย่างไรถึงจะยกระดับการศึกษาของประเทศให้ได้ การศึกษาเราไม่ใช่ล้มเหลว ไม่ใช่ไม่ดี เพียงแต่อยู่ที่การบริหารจัดการให้ทันต่อโลกยุคที่มีเทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามา” พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว

พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า การเจริญเติบโตของเศรษฐกิจเมื่อมีโควิด-19 ก็กระทบต่อการส่งออก การท่องเที่ยว ไม่ใช่ไทยไม่อยากส่งออก เขาไม่ซื้อเพราะเขาก็เจอปัญหาโควิด-19 เหมือนกัน ดังนั้น เราต้องเพิ่มการบริโภคในประเทศ เพิ่มสินค้าส่งออกที่มีมูลค่าเพิ่มขึ้น นวัตกรรมใหม่ๆ ออกมา สิ่งเหล่านี้ต้องทบทวนใหม่ทั้งหมด ทั้งระบบเศรษฐกิจและการพัฒนาคนจะต้องตอบสนองความต้องการประเทศ การบรรจุข้าราชการก็ต้องเอาคนรุ่นใหม่เข้ามา ไม่ใช่เอาแต่สอบทั้งหมด ต้องรับพวกเฉพาะทางเข้ามาด้วย เศรษฐกิจรอบบ้านตกทั้งหมด อยู่ที่ว่าจะตกมากหรือตกน้อย ตนไม่ได้บอกว่าของเราดีกว่าเพื่อน แต่เรามีทรัพยากรซึ่งต้องคิดดูว่าจะพัฒนาอย่างไรให้มีมูลค่าสูงขึ้น คนไทยไม่ใช่ไม่เก่ง เก่ง ความคิดเห็นก็เยอะ ความรู้มาก เหลืออย่างเดียวจะทำงานร่วมกันอย่างไร นั่นคือ ประเด็นของเรา เราจะต้องร่วมมือกันให้ได้ทุกภาคส่วน รัฐบาลได้เตรียมการหลายอย่างตั้งแต่เป็นรัฐบาลครั้งที่แล้ว ในด้านสาธารณูปโภคต่างๆ และกำลังปรับปรุงฟื้นฟู ขสมก. การบินไทย รถไฟ แต่ทั้งหมดเกี่ยวข้องกับคนเยอะ ทั้งในองค์กร สหภาพ แต่ทำอย่างไรจะแก้ปัญหาได้ ไม่เช่นนั้นปัญหาเหล่านี้จะกดทับเราไปเรื่อยๆ ปัญหาใหม่เข้า ปัญหาเก่าแกะไม่ออก เพราะมีแรงต่อต้านเยอะ จึงไปไม่ได้สักอัน

“มันยิ่งกว่าโควิด-19 อีก โควิด-19 ว่าร้ายแล้ว ต่อจากนี้ไปมันจะร้ายกว่านี้อีก ฉะนั้น ทุกคนต้องเข้าใจให้ดีว่าจะทำอย่างไรให้สังคมช่วยกันที่จะลดผลกระทบอันจะเกิดขึ้นกับประเทศไทย เราต้องเผชิญหน้ากับปัญหาอีกหลายด้าน หลังโควิด-19 แล้ว ปีหน้ายังไม่รู้ว่าวัคซีนจะออกมาได้จริงหรือไม่ เมื่อออกมาแล้วจะเกิดอะไรขึ้นอีก เพราะไวรัสมันก็พัฒนาตัวเอง ทุก 5 ปี 10 ปี มันก็มี หายไปแล้วจะกลับมาใหม่หรือไม่ก็ยังไม่รู้ โลกเป็นอย่างนี้เพราะคนมีจำนวนมากขึ้น วันนี้ความยากจนถ้าไม่รู้จักการใช้จ่าย ไม่คำนึงกระเป๋าซ้ายกระเป๋าขวา ไม่ใช้เศรษฐกิจพอเพียง ไปไม่ได้แน่นอน นี่คือสิ่งที่ผมกังวล”พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว

พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า เรื่องการศึกษาหลายคนบอกว่าอยากเอาแบบประเทศฟินแลนด์ ไม่ต้องไปโรงเรียน เด็กมีความสุข เราทำอย่างนั้นได้หรือไม่ ไปคิดดู แต่ตนคิดว่ายังไม่ถึงเวลานั้น ลำบาก เพราะหลายอย่างเรายังมีปัญหามากในขณะนี้ ถ้าเราสามารถช่วยแก้ปัญหาช่วงนี้ไปก่อน ปัญหาอื่นยังไม่ใช่ความเป็นความตายของประเทศ ต้องแก้ปัญหาที่มีอยู่ให้ได้ก่อน อย่างอื่นก่อนแก้ไปตามระบบ ระเบียบ ขั้นตอน ตนไม่ขัดแย้งกับใครทั้งสิ้น

นายกฯ กล่าวว่า ประเทศเขาเคยเกิดปัญหาขึ้นมาก่อน แต่เขาแก้ได้ด้วยความสมัคสมานสามัคคี เคยรบกันมาเยอะตายเป็นล้านคน แล้วเขาก็เลิกรบกัน เลิกขัดแย้งกัน เพราะเขาเห็นว่าจะเป็นอย่างนั้น หลายเรื่องของเราก็มีบทเรียนไปแล้ว และวัฎจักรเหมือนอย่างเดิมหมด ถ้าเรายังเข้าไปในวัฎจักรก็กลับมาที่เก่า กลับไปเหมือนที่เกิดขึ้น กลับไปเหมือนที่ตนมาอยู่ตรงนี้ ซึ่งตนไม่เคยคิดอะไรทั้งสิ้น หน้าที่อย่างเดียวคือตราบใดที่ตนยังเป็นนายกฯจะทำหน้าที่ให้ดีที่สุด ในการแก้ไขปัญหาทุกอย่างได้สงบมีเสถียรภาพ และตนเป็นนายกฯรับผิดชอบทุกอย่างอยู่แล้ว และขอบคุณทุกภาคส่วนที่ร่วมมือกับภาครัฐในการพัฒนาประเทศและเพื่อให้ทัดเทียมกับต่างประเทศเราต้องค่อยเป็นค่อยไป เพราะเรามีความแตกต่างกันเยอะอยู่พอสมควร

นายกฯ กล่าวว่า สิ่งสำคัญที่สุดคือความกลัวกังวลที่ตนมีต่อเยาวชนของชาติในเวลานี้​ และไม่ว่าเวลาไหน​ เพราะเขาคืออนาคตของพวกเรา​ และพวกเขาจะเป็นอย่างไรต่อไปในวันข้างหน้าเด็กมัธยม นักศึกษา อุดมศึกษา อาชีวะ เราจะทำอย่างไรกับเขาระบบการศึกษามีหลายอย่างไม่ว่าจะโรงเรียนวัดหรือโรงเรียนเอกชน โรงเรียนนานาชาติมาตรฐานยังไม่เท่ากัน แต่เราต้องทำพื้นฐานให้ดีทุกคนมีหุ้นส่วนในทุกเรื่องทั้งสิ้น​ นายกฯรับผิดชอบอยู่แล้ว ทุกคนต้องรับผิดชอบร่วมกันในการสร้างเยาวชนของไทยวันข้างหน้า​ เขาศึกษาจบ มีอนาคต มีงานทำ เพราะวันข้างหน้าเขาก็ต้องกลับมาเป็นผู้นำในอนาคตของเขา

แต่ถ้าไม่เตรียมวันนี้อนาคตจะไปถึงหรือไม่ มันจะก้าวกระโดดไปตรงนั้นเลยได้หรือไม่ แต่ตอนนี้มันอยู่ขั้นตอนตรงนี้อยู่ ขั้นตอนของประเทศชาติที่กำลังต้องพัฒนาต่อไปและต่อไปเรื่อยๆ ภายใต้สิ่งที่เราเรียกว่า ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ทุกคนมีส่วนร่วมทั้งสิ้นในการทำให้ตระหนัก แล้วนอกจากประวัติศาสตร์ที่อยากให้เด็กเรียนรู้เพิ่มขึ้นแล้ว อยากให้เพิ่มเรื่องศาสนาและศีลธรรม รวมถึงเติมเรื่องกฎหมายพื้นฐานด้วย ไม่อย่างนั้นทุกคนก็สนใจแต่รัฐธรรมนูญที่มีเพียง 200 กว่ามาตรา จนลืมไปแล้วว่ากฎหมายลูกมีเป็นพันๆซึ่งเหล่านั้นละเมิดไม่ได้ ต้องสอนให้คนคิดเป็นกระบวนการในหัว

“ควรคิดอย่างเดียวคือ​ คิดในสิ่งที่เกิดประโยชน์ ถ้าไม่เกิดประโยชน์จะไปคิดทำไม คิดไปมันก็เปลืองสมอง ร้อนรนอยากได้นี่อยากได้นู่น เอามาถามว่าแล้ววันนี้เราได้อะไรมาแล้วบ้าง​ ทุกคนลืมไปแล้วว่าเราได้อะไรมาแล้วบ้าง​ อยากได้มากขึ้นๆทุกวัน ตื่นมาก็อยากได้มากขึ้น นั่นคือสิ่งที่อันตรายกับประเทศของเราในอนาคต ต้องค่อยเป็นค่อยไปค่อยพัฒนา ถ้าทุกคนเห็นว่านี่คือความเร่งด่วนของประเทศไทย นี่คือปัญหาหลักที่สำคัญของประเทศไทย ในการที่จะมีพลเมืองที่มีคุณภาพเพื่อพัฒนาประเทศต่อไปในอนาคตของเขา เรากำลังทำเพื่ออนาคตอยู่ คงเหลืออยู่กันไม่กี่คนแล้ว โดยเฉพาะตน มันไม่มีใครไม่ตายหรอก ตายกันหมด มีชีวิตอยู่ก็ทำความดีกันบ้าง อย่ามองอะไรไม่พ้นขากางเกงตัวเอง ไม่ใช่ตื่นขึ้นมามองแค่เท้าตัวเอง มันไปไม่ได้ ต้องมองไปข้างหน้าว่าจะเหยียบอะไรหรือเปล่า นั่นคือการมองตัวเองก่อนที่จะไปทำเพื่อคนอื่น”นายกฯกล่าว

นายกฯกล่าวว่า เคยตื่นขึ้นมากลางดึก ตี 2 ตี 3 แล้วนอนไม่หลับหรือไม่ หลายคนก็เคยเจอมาแล้วกินยานอนหลับวันละ 2 เม็ด กินมากก็ดื้อยา ต้องเอาธรรมะเข้ามาข่ม นับ 1 ถึง 10 แต่ผมเสียนิสัยนับถึง 2 ก็ไปแล้ว ปล่อยต้องเพิ่มพยายามอีกหน่อยใคร แต่ผมไม่เกลียดใคร ความเกลียดจะเป็นสิ่งที่จะตอบสนองมาที่ตัวเรา คนที่เราเกลียดเขาไม่รู้หรอกว่าเราเกลียดเขา แต่บาปมันอยู่ที่เรา​ ผมให้อภัยทุกคนได้ ทุกอย่างเป็นไปตามกฎหมาย นั่นคือสิ่งที่ผมพยายามทำให้เกิดความเป็นธรรมมากที่สุด หลายอย่างมันต้องเกิดขึ้นแน่นอน หลายอย่างมันสะสมมานาน ก็ต้องแก้กันวันนี้ หลายอย่างต้องคิดว่าหลายอย่างวันนี้มาจากความโกรธมากขึ้นเรื่อยๆและจะเปิดหน้าขึ้นมาเรื่อยๆ คนทำความผิดก็จะมีออกมาเรื่อยๆ และเราก็ต้องมาแก้กัน ถ้าไม่เปิดออกมาก็แก้กันไม่ได้ และไม่รู้ว่าจะแก้ยังไง นี่คือสิ่งที่ผมคิด"

นายกฯกล่าวว่า วันนี้ตนก็พูดไปตามเอกสารที่ท่านให้มาบ้างแล้ว ฉะนั้นสื่อเอาไปเผยแพร่ด้วย เมื่อกี้ก็น้อยใจอยู่เหมือนกัน ถ้าสื่อไม่เข้ามาฟังมีเรื่องแน่ เชิญเข้ามาแล้วไม่มา​ แล้วไปรอถามการเมืองข้างนอก แล้วได้อะไรขึ้นมาหรือไม่​ การศึกษาจะดีขึ้นหรือไม่​ แต่ตนไปก้าวล่วงไม่ได้อยู่แล้ว​ ในเมื่อท่านเป็นฐานันดรที่สี่ก็เป็นให้ได้แล้วกัน นักข่าวดีหรือไม่ดีก็ไม่ได้ว่าอะไร ตนเชื่อมั่นในสิ่งที่ตนทำ แต่ท่านต้องสร้างแรงศรัทธาตรงนี้ให้ได้ทุกคน โดยเฉพาะข้าราชการต้องเป็นสะพานให้ประชาชนเหยียบย่ำข้ามแม่น้ำไปข้างหน้าเพื่อนำพาประชาชนไปสู่จุดมุ่งหมายที่เราต้องการ โดยผ่านอุปสรรคมากมาย นั่นคือความภูมิใจของเรา เมื่อเราตายไปจะได้มีคนชื่นชม ตอนที่อยู่ก็ไม่ค่อยมีคนชื่นชมอยู่แล้ว แต่ลูกหลานเราจะปลื้มใจ

"ผมพูดมากก็ไม่ได้​ พูดน้อยก็ไม่ดี แต่พยายามพูดไม่สร้างความขัดแย้ง เพราะมันขัดแย้งกันอยู่แล้ว แต่สิ่งสำคัญเศรษฐกิจจะทำอย่างไรต่อไป ไม่มีรัฐบาลแล้วจะทำอย่างไรต่อไป แต่รัฐบาลผมอยู่ได้โดยไม่มีการทุจริต เพราะนายกฯ เป็นอย่างนั้นอยู่ไม่เคยมีการทุจริตกับใครทั้งสิ้น อยู่มา 5 ปีพูดได้ 100% ซึ่งเป็นเรื่องของการตรวจสอบ ทุกคนก็ต้องระวังของท่านด้วย ไม่ใช่ผมไม่ไว้ใจ ไม่มีก็แล้วไป"

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในช่วงท้าย​ พล.อ.ประยุทธ์​ ได้ถามว่ามีอะไรจะถามหรือไม่ จะไม่ตอบข้างนอก​ เข้ามาให้ทุกคนได้เห็นว่าท่านถามกันยังไง ถามสิไม่แน่จริงนี้หว่า​ เวลาคุณถามผม​ เอาคำตอบของผมไปออกอย่างเดียว​ แต่ไม่เอาคำถามของคุณไปออก แปลกดีเหมือนกัน.


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"