17 ส.ค. 2563 นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.พลังงาน กล่าวว่า ได้มอบนโยบายในฐานะกำกับดูแลกระทรวงการคลัง กระทรวงพลังงาน สำนักงานพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ว่า จะมีมาตรการฟื้นฟูเศรษฐกิจเพิ่มเติมในช่วงครึ่งปีหลัง โดยจะเห็นมาตรการชัดเจนภายในเดือน ส.ค.นี้ ภายใต้วงเงินกู้ 1 ล้านล้านบาทที่มีอยู่ใช้ไปก่อน และหากจำเป็นต้องเพิ่มเติมจริง ๆ ก็ต้องกู้เพิ่ม เช่น ถ้าเกิดระบาดโควิด-19 รอบ 2 เป็นภาวการณ์ที่ควบคุมไม่ได้ คนในประเทศไม่ร่วมมือกัน เงินอาจจะไม่พอก็ได้ แต่ในทางกลับกันถ้าควบคุมการระบาดได้ดี วัคซีนมาเร็ว เชื่อมั่นสูงขึ้น เงินที่เตรียมไว้ก็อาจจะไม่จำเป็น เพราะความมั่นใจสูง การลงทุน การบริโภค และการใช้จ่ายมากขึ้น ทุกคนเลิกประหยัด เลิกกลัวที่จะต้องเก็บเงินไว้
“วันนี้การดำเนินการทั้งหมดยังอยู่ภายใต้กรอบการกู้เงิน 1 ล้านล้านบาท จะดำเนินการภายใต้สถานการณ์ หากระบาดรอบ 2 ต้องปิดเมืองอีกครั้ง ถ้าต้องเพิ่มการกู้เงินกู้ต้องเพิ่ม หนี้สาธารณะวันนี้อยู่ระดับ 40% กว่าของจีดีพี รัฐบาลไม่มีนโยบายตั้งเป้าว่าหนี้จะต้องเป็นเท่าไหร่ แต่ตั้งเป้าต้องรักษาควบคุมการระบาดให้ดี แล้วเราจะใช้งบประมาณอย่างเหมาะสมและดีที่สุด”
นายสุพัฒนพงษ์ กล่าวว่า จีดีพีไตรมาส 2 ขยายตัวติดลบ 12.2% เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นทุกที่ มากน้อยแค่นั้นเอง และประเทศไทยมีสัดส่วนของจีดีพีเรื่องการท่องเที่ยวและการส่งออกสูง ซึ่งได้รับผลกระทบอยู่ และยังมีประเทศอื่นที่แย่กว่าไทยก็มี เราต้องเชื่อมั่น การที่จีดีพีติดลบ 12.2% คิดว่าเป็นเรื่องดีด้วยซ้ำไป ถ้าการระบาดที่เราร่วมมือกันไม่ได้ดีอย่างนี้ ควบคุมการระบาดไม่เรียบร้อย ก็อาจจะแย่กว่านี้ เป็นความภาคภูมิใจของคนไทย หลายประเทศเปิดประเทศ ไม่ควบคุมเหมือนไทย เศรษฐกิจก็แย่กว่า
ทั้งนี้ ก่อนหน้านี้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้ให้นโยบาย 5 เรื่อง คือ 1.การดูแลผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม (เอสเอ็มอี) และประชาชนในภาคส่วนต่าง ๆ ที่ได้รับความเดือดร้อน 2. เตรียมมาตรการฟื้นฟูเศรษฐกิจ ต้องเป็นมาตรการยั่งยืนไม่ใช่แค่การเยียวยาโดยตรง 3. หาแนวทางในการจูงใจให้ภาคธุรกิจธุรกิจต่าง ๆ จ้างงาน 4.เน้นเรื่องการจ้างแรงงานจากนักศึกษาจบใหม่ สู่ตลาดแรงงาน และ 5.ทำงานอย่างซื่อสัตย์โปร่งใส รับฟังความคิดเห็นของทุกฝ่าย ส่วนสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ (ซอฟท์โลน) ของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะดูภาพรวม อุปสรรค ดูในเชิงปฏิบัติให้เหมาะสม ต้องตรงเป้าหมาย ตรงจุดให้เหมาะสมกับคนที่ควรจะได้
โดยนายกรัฐมนตรี ได้ตั้งศูนย์บริหารสถานการณ์เศรษฐกิจจากผลกระทบจากการระบาดของโรคระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 (โควิด-19) หรือ ศูนย์บริหารสถานการณ์เศรษฐกิจ (ศบศ.) ที่มีพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม เป็นประธาน มีหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชนในการดูแล 5 แนวทางที่กล่าวมา
“เชื่อว่าคือวิธีการทำงานที่จะรวดเร็วขึ้น มีการบูรณาการข้อมูลที่ชัดเจนขึ้น และเป็นการทำงานร่วมมือกัน ไม่แยกหน่วยงาน ไม่แยกกระทรวง ไม่แยกรัฐ ไม่แยกเอกชน เราจะได้ทางเลือก หรือทางออกที่ดี มีประสิทธิภาพและมีความคล่องตัวสูง สอดคล้องความไม่แน่นอน หรือปัญหาที่เกิดขึ้น จึงดำริเรื่องรวมไทยสร้างชาติขึ้นมา” นายสุพัฒนพงษ์ กล่าว
นายปรีดี ดาวฉาย รมว.การคลัง กล่าวว่า กระบวนการทำงานของกระทรวงการคลังจะเปลี่ยนไป การตัดสินใจ การทำมาตรการต่าง ๆ อยู่ที่ ศบศ. ที่นายกรัฐมนตรีเป็นผู้ดูแล บทบาทของคลังจากในอดีตจะถูกเปลี่ยนไปบ้าง โดยวันนี้คลังมีเรื่องตัวเงินที่ต้องเข้าไปซับพอร์ต เรื่องวินัยการเงินการคลัง บทบาทเปลี่ยนชัดเจน จะมีข้อมูล และมาตรการในรายละเอียดออกมาจาก ศบศ. หลังจากนี้
สำหรับความท้าทายระยะสั้น เศรษฐกิจทุกประเทศหดตัวลงหมด ถ้าจีดีพีไทยถูกกระทบมากที่สุด ก็ต้องยอมรับว่ามันมากที่สุด เพราะโครงสร้างเศรษฐกิจแต่ละประเทศไม่เหมือนกัน ไทยพึ่งพาการท่องเที่ยว ส่งออก ปัญหาเกิดจากคนเดินทางไมได้ ไทยก็ได้รับผลกระทบในส่วนนั้นมากที่สุด ทั้งหมดเป็นเหตุและผล ทุกคนถามว่าเมื่อไหร่จะกลับที่เดิม จะ 1-2 ปีนั่นเป็นความคาดหวัง เป็นกำลังใจ ความไม่แน่นอนยังมีอยู่ เราจะแก้ปัญหากัน 1-2 เดือนหรือแก้ปัญหาจนถึงวัคซีนมา บางเรื่องยังไม่สามารถตอบได้ชัดเจน เพราะมีเหตุและผลของตัวเอง
นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยเรื่องอัตราการว่างงานเพิ่มขึ้น ณ สิ้นเดือนมิ.ย. 2563 อัตราการว่างงานเพิ่มขึ้นประมาณ 7.45 แสนคน หรือ 2% ของกำลังแรงงาน และคาดว่ามีแรงงานมากกว่า 2 ล้านคนที่ไม่ได้รับเงินเดือน แต่มีงานรอที่จะกลับไปทำ รวมทั้งเม็ดเงินกระตุ้นเศรษฐกิจมีจำกัด ทั้งงบประมาณรายจ่าย พ.ร.บ.โอนงบประมาณ และ พ.ร.ก. กู้เงิน ใช้ในการเยียวยาและฟื้นฟูเศรษฐกิจไปแล้ว ในช่วงที่เหลือมีเม็ดเงินงบประมาณจำกัด การกระตุ้นเศรษฐกิจต้องมีความคุ้มค่า
“ผมมานั่งคลัง ผมจะไม่ตอบอะไรที่มันไม่มีความชัดเจน เพราะทำอย่างนั้นไม่ได้ เช่นเรื่องการกู้เงิน เราก็เป็นหนี้ พอเป็นหนี้ ถามต่อไปว่าเป็นหนี้ต้องใช้คืน เพราะฉะนั้นเป็นหนี้ต้องมีการคืน ก็โยงกลับไปสู่แหล่งรายได้ แต่ถ้าถามความจำเป็นต้องเป็นหนี้เพิ่มไหม รัฐบาลต้องเป็นแน่นอน และรู้ว่าทุกคนมีความคาดหวังเมื่อมีคนใหม่เข้ามาทำงานจะก่อให้เกิดสิ่งที่มีการเปลี่ยนแปลง” นายปรีดี กล่าว
นายปรีดี กล่าวว่า จากนี้ดำเนินนโยบายการคลังแบบขยายตัวควบคู่กับการรักษาระดับหนี้สาธารณะให้อยู่ภายใต้กรอบวินัยการคลังที่ 60% ต่อจีดีพี เร่งรัดการใช้จ่ายภาครัฐ โดยเฉพาะรายจ่ายลงทุน เพิ่มประสิทธิภาพในการจัดเก็บรายได้ โดยใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีใหม่ ๆ ปรับปรุงกฎหมายและโครงสร้างภาษีให้เป็นธรรม พัฒนากลไกการรักษาเสถียรภาพระบบสถาบันการนเงิน กำกับดูแลแบงก์รัฐให้ดำเนินการตามพันธกิจท่ามกลางปัจจัยท้าทาย
รมว.การคลัง กล่าวว่า ส่วนที่มีหลายฝ่ายตั้งข้อสังเกตว่า รายได้ไม่เพียงพอต่อรายจ่ายนั้น ขออย่าพูดว่าถังแตก อย่าไปคิดแบบนั้น การบริหารงบประมาณ จัดการรายจ่าย รายได้ ขึ้นอยู่กับแต่ละช่วง เป็นฤดูกาล ต้องบริหารจัดการเป็นเรื่องปกติ การพูดว่าถังแตกไม่มีความหมายที่ดี และไม่ใช่เรื่องที่ดี
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |