ไทยมีผู้ติดเชื้อเพิ่มอีก 1 รายจากสถานกักกันของรัฐ  อธิบดีกรมควบคุมโรคเตือนอย่าชะล่าใจ แม้ไม่พบผู้ป่วยในประเทศ 83 วันก็ตาม เพราะยังมี 2 ปัจจัยเสี่ยง และตัวอย่างจากต่างประเทศ
    เมื่อวันอาทิตย์ที่ 17 สิงหาคม ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) หรือ ศบค.เปิดเผยถึงสถานการณ์โควิด-19 ในประเทศไทยว่า มีผู้ติดเชื้อรายใหม่เพิ่มขึ้น 1 ราย ในสถานที่กักตัวของรัฐ ทำให้มียอดผู้ป่วยสะสม 3,377 ราย หายป่วยสะสม 3,194 ราย ผู้ป่วยรักษาในโรงพยาบาล 125 ราย ยอดผู้เสียชีวิตสะสมคงที่ 58 ราย สำหรับผู้ป่วยรายใหม่ 1 ราย เป็นชายไทยอายุ 47 ปี อาชีพรับจ้าง เดินทางมาจากประเทศสิงคโปร์ ถึงประเทศไทยวันที่ 14 ส.ค. ผ่านการคัดกรอง ณ ด่านควบคุมโรค ผลตรวจพบเชื้อเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลจังหวัดสมุทรปราการ 
    สำหรับสถานการณ์ทั่วโลก มียอดผู้ติดเชื้อรวม 21,602,258 คน มีอาการรุนแรง 64,450 คน รักษาหายแล้ว 14,322,823 คน เสียชีวิต 768,673 คน ส่วนประเทศที่มีผู้ติดเชื้อสูงสุด ได้แก่ 1.สหรัฐอเมริกา จำนวน 5,529,789 คน รองลงมา บราซิล จำนวน 3,317,832 คน, อินเดีย จำนวน 2,589,208 คน, รัสเซีย จำนวน 917,884 คน, แอฟริกาใต้ จำนวน 583,653 คน ส่วนประเทศไทยอยู่ที่อันดับ 114 
    นพ.สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย อธิบดีกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า การที่ประเทศไทยไม่พบการติดเชื้อโควิด-19 ในประเทศมาก 83 วัน นับสิ้นสุดวันที่ 16 ส.ค. ไม่ได้หมายความประเทศไทยจะปลอดภัยจากโควิด หรือคลายกังวลได้ และความเสี่ยงของการเกิดโรคไม่ได้อยู่ที่จำนวนวันใกล้หลักร้อย เหมือนกันประเทศอื่นๆ ที่ท้ายสุดกลับมาพบการติดเชื้อภายประเทศ ซึ่งสิ่งที่เป็นความเสี่ยงของการติดเชื้อโควิด-19 เพราะการผ่อนปรนกิจกรรมและกิจการต่างๆ ที่มีความเสี่ยง หรือใกล้ชิดกัน รวมทั้งการกลับเข้ามาของผู้ที่เดินทางจากต่างประเทศทั้งคนไทยตกค้างในต่างประเทศที่ต้องการกลับไทย หรือแรงงานต่างด้าวที่จะต้องเข้ามาช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจ จะเห็นได้ว่าความเสี่ยงใน 2 จุดนี้ คล้ายกันกับประเทศอื่นๆ ที่กลับมามีการระบาดอีกครั้ง หลังจากไม่มีการระบาดในประเทศเป็นเวลานาน เช่น เวียดนาม  เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น และนิวซีแลนด์ 
    “การควบคุมการแพร่ระบาดของโรค ไทยไม่ได้มีเป้าหมายเป็นศูนย์ แต่ต้องมีการตรวจจับอย่างรวดเร็ว การรักษาพยาบาลมีประสิทธิภาพ ไม่มีการระบาดจนเกินศักยภาพ หรือขีดความสามารถของกระทรวงสาธารณสุขจะรับได้ ทั้งนี้ กระทรวงสาธารณสุขจะควบคุมการระบาดให้เกิดการสมดุลที่พอทำให้เศรษฐกิจขับเคลื่อนไปได้ ส่วนเรื่องการผ่อนปรนอนุญาตให้มีการเปิดโรงเรียนแบบ 100% เมื่อวันที่ 13 ส.ค.ที่ผ่านมา ยังไม่สามารถประเมินได้ ต้องรอให้ครบ 14 วันก่อน โดยต้องมีการประเมินร่วมกับกระทรวงศึกษาธิการ ส่วนการผ่อนปรนให้ชมกีฬาบางประเภทได้นั้น เป็นอำนาจของการกีฬาแห่งประเทศไทยและสมาคมกีฬา และแต่ประเภทกีฬาก็มีความแตกต่างกัน” นพ.สุวรรณชัยระบุ
    มีรายงานจากกระทรวงกลาโหม (กห.) แจ้งว่า ในระหว่างวันที่ 17-18 ส.ค.นี้ กห.จะเป็นเจ้าภาพเตรียมฝึกซ้อมแผนเพื่อเตรียมรับสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 ระลอกที่ 2 ผ่านระบบวีดิทัศน์ทางไกล (วิดีโอคอนเฟอเรนซ์) ร่วมกับหน่วยงานหลายแห่งทั่วประเทศ โดยเฉพาะคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดที่มีผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นประธาน ณ ห้องยุทธนาธิการ ศาลาว่าการกระทรวงกลาโหม โดยจะมีบุคลากรจากกองบรรเทาสาธารณภัย สำนักงานกิจการพลเรือน ศูนย์บรรเทาสาธารณภัยกองบัญชาการกองทัพไทย กรมการแพทย์ทหารบก ทหารเรือ ทหารอากาศ กระทรวงกลาโหม ที่เข้าฝึกซ้อม รวมทั้งบุคลากรจาก 22 หน่วยงาน เช่น ศบค., ศูนย์ปฏิบัติการด้านความมั่นคง (ศบม.), กรมประชาสัมพันธ์, สำนักงานตำรวจแห่งชาติ, สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.), กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.), กระทรวงการต่างประเทศ, กรมควบคุมโรค, สำนักงานป้องกันและควบคุมโรคเขตเมือง กองสาธารณสุข สำนักปลัด สธ. สำนักงานป้องกันและควบคุมโรคที่ 4-6 กองบัญชาการตำรวจท่องเที่ยว กทม. และศูนย์ปฏิบัตการฉุกเฉินจังหวัด กระทรวงมหาดไทย ในบางพื้นที่ เป็นต้น
    สำหรับการฝึกซ้อมดังกล่าว มีคำสั่งให้คณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัด หรือศูนย์ปฏิบัติการควบคุมโรคจังหวัดประมาณ 8-10 คน เขาร่วมซึกซ้อมด้วย ซึ่งการกำหนดหัวข้อการฝึกไว้เพื่อให้ตอบสนองต่อสถานการณ์ตามแผนของหน่วยงาน/จังหวัด การจัดสรรทรัพยากรในการควบคุมการแพร่ระบาดของโรค การแบ่งมอบหน้าที่ตามความรับผิดชอบ และการร้องขอการสนับสนุนทรัพยากรเพิ่มเติมด้วย โดยการฝึกรับสถานการณ์โควิด-19 ระลอกที่ 2 คาดว่าจะเน้นการควบคุมกลุ่มแรงงานต่างด้าวในพื้นที่จังหวัดชายแดน การท่องเที่ยว ช่องทางเข้า-ออก และพื้นที่เฉพาะ.