นายกฯ ปลื้ม "แจ็ก หม่า" ให้ความเชื่อมั่นและร่วมมือกับไทย ตั้งเป้าเป็นศูนย์กลางอีคอมเมิร์ซ ขณะที่เจ้าของอาลีบาบาพร้อมเดินหน้าใช้เทคโนโลยีพัฒนาประเทศหนุนเอสเอ็มอี คนรุ่นใหม่ เกษตรกร หวังเกิดการใช้การค้าออนไลน์ขยายตลาดไปทั่วโลก สัญญาไม่ทำให้ไทยผิดหวัง ด้าน ”สมคิด” มั่นใจอาลีบาบาคือพาสเนอร์ที่ดี ฉุดผู้ประกอบการไทยก้าวสู่ยุคดิจิทัล  
    ที่ทำเนียบรัฐบาล เวลา 10.30 น. วันที่ 19  เมษายน นายแจ็ก หม่า ผู้ก่อตั้งและประธานกรรมการบริหารกลุ่มบริษัทอาลีบาบา และคณะผู้บริหารกลุ่มบริษัทอาลีบาบา จากสาธารณรัฐประชาชนจีน เข้าเยี่ยมคารวะ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในโอกาสเดินทางเยือนประเทศไทย 
    ภายหลังการหารือ พล.ท.วีรชน สุคนธปฏิภาค รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า นายกรัฐมนตรียินดีที่กลุ่มบริษัทอาลีบาบาให้ความเชื่อมั่นและร่วมมือกับไทย โดยไทยเชื่อมั่นว่าแนวคิดและเทคโนโลยีใหม่ของอาลีบาบาจะช่วยสร้างโอกาสด้านการพัฒนาตามแนวนโยบายไทยแลนด์ 4.0 ของไทย นอกจากนี้ นโยบายไทยแลนด์ 4.0 และโครงการ อีอีซียังเชื่อมโยงไปแนวคิดหนึ่งแถบ หนึ่งเส้นทางของจีนได้อีกทางหนึ่งด้วย
    พล.ท.วีรชนกล่าวว่า ทั้งสองฝ่ายยังได้พูดคุยแลกเปลี่ยนถึงทิศทางเศรษฐกิจไทยและจีน โดยนายกรัฐมนตรีกล่าวว่า เศรษฐกิจไทยมีเสถียรภาพและเติบโต รวมทั้งรัฐบาลยังมีนโยบายต่างๆ ที่เอื้อต่อการค้าและการลงทุนของนักธุรกิจ ส่งผลให้ไทยเป็นแหล่งลงทุนที่ดี และมีศักยภาพที่จะรองรับการลงทุนจากต่างประเทศ รวมถึงการขยายการลงทุนของกลุ่มบริษัทอาลีบาบาในระยะยาว เศรษฐกิจดิจิทัลถือเป็นการขับเคลื่อนเศรษฐกิจที่สำคัญของไทย โดยการนำเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารมาใช้ในการขับเคลื่อนการปฏิรูป อีคอมเมิร์ซเป็นกุญแจสำคัญที่จะขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัลของประเทศไทยไปสู่เป้าหมาย ซึ่งไทยยินดีที่อาลีบาบาวางแผนลงทุนสร้าง Smart Digital Hub ในพื้นที่อีอีซี โดยมุ่งเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอี รวมทั้งตั้งเป้าให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางทางด้านการค้าอีคอมเมิร์ซ
    "ทั้งสองฝ่ายยังเห็นพ้องถึงความสำคัญของการส่งเสริมและพัฒนาศักยภาพเอสเอ็มอี ที่ครอบคลุมตั้งแต่ระดับฐานรากจนถึงเอสเอ็มอีที่สามารถส่งออกได้ ให้สามารถดำเนินธุรกิจผ่านช่องทางอีคอมเมิร์ซ รวมถึงการพัฒนาบุคลากรรุ่นใหม่ให้ก้าวสู่เศรษฐกิจยุคดิจิทัล โดยนายกฯ เห็นว่าเป็นโอกาสอันดีที่ทางอาลีบาบาจะช่วยแบ่งปันประสบการณ์และความเชี่ยวชาญที่เป็นประโยชน์เพื่อส่งเสริมเอสเอ็มอีและผู้ประกอบการรุ่นใหม่ของไทยด้วย" 
    พล.ท.วีรชนกล่าวว่า ด้านผู้บริหารกลุ่มบริษัทอาลีบาบากล่าวว่าไทยถือเป็นผู้นำในด้านการพัฒนาไปสู่เศรษฐกิจดิจิทัล โดยบริษัทมั่นใจที่จะเข้ามาลงทุนในประเทศไทยเป็นอย่างมาก จะเห็นได้จากการแลกเปลี่ยนบันทึกความเข้าใจ (MOUs) ระหว่างกลุ่มบริษัทอาลีบาบากับหน่วยงานต่างๆ ในการดำเนินโครงการที่จะช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัลของไทยในหลากหลายมิติ จำนวน 4 ฉบับในวันนี้ โดยนายแจ็ก หม่า ได้กล่าวขอบคุณรัฐบาลไทยที่ให้ความมั่นใจในการเข้ามาร่วมลงทุนกับกลุ่มบริษัทอาลีบาบา และพร้อมที่จะช่วยสนับสนุนและพัฒนาประเทศไทยไปสู่ยุคเศรษฐกิจดิจิทัลอย่างเป็นรูปธรรมโดยเร็ว
    ด้านนายแจ็ก หม่า เปิดเผยภายในงานลงนามความร่วมมือระหว่างหน่วยงานภาครัฐกับ Alibaba Group ในความร่วมมือด้าน Smart Digital Hub and Digital Transformation Strategic Partnership ว่า ประเทศไทยมีความพร้อมและวัฒนธรรมที่ยากจะหาประเทศอื่นๆ เข้ามาแข่งขันได้ ซึ่งมั่นใจว่าในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า กลุ่มวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (เอสเอ็มอี) กว่า 80% จะทำธุรกิจบนการค้าออนไลน์ เพื่อให้เกิดการขยายตลาดไปทั่วโลก ซึ่งในหลายประเทศยังคงเกรงกลัวและหวาดหวั่นในการที่จะนำเทคโนโลยีใหม่ ๆ เข้ามาพัฒนาธุรกิจ ไม่เหมือนกับไทย ที่กล้าจะเดินหน้าในส่วนนี้ และไม่น่าเป็นห่วงว่าเทคโนโลยียุคใหม่จะเข้ามาแย่งงานของแรงงานคน เพราะจะต้องมีการพัฒนาไปให้ควบคู่กัน มั่นใจว่าการพัฒนาอุตสาหกรรมใหม่ครั้งนี้จะทำให้กลุ่มประเทศทวีปเอเชียเดินหน้าไปมากกว่าสหรัฐอเมริกา
     “เราเชื่อมั่น และจะมีการลงทุนระยะยาว ซึ่งเราเลือกวิธีและรูปแบบการพัฒนาที่ค่อนข้างยาก แต่เชื่อว่าจะได้ประโยชน์สูงสุด ซึ่งเราไม่ได้หวังถึงผลกำไรที่จะได้ แต่หวังว่าจะช่วยเหลือผู้ประกอบการต่างๆ ทั้งกลุ่มเอสเอ็มอี คนรุ่นใหม่ เกษตรกร ให้ประสบความสำเร็จ เพราะในกลุ่มนี้ก็จะทำให้ประเทศก้าวหน้าขึ้นไปด้วย ซึ่งความร่วมมือครั้งนี้จะเป็นจุดเริ่มต้น สัญญาว่าจะไม่ทำให้ประเทศไทยและประชาชนไทยผิดหวัง  และเรารู้สึกดีที่อาลีบาบาเป็นส่วนหนึ่งในการพัฒนาประเทศ ทั้งในอีอีซีและอุตสาหกรรม 4.0” นายแจ็ก กล่าว
    นายแจ็ก หม่า กล่าวอีกว่า จีนกำลังก้าวขึ้นสู่การเป็นตลาดผู้บริโภคที่มีขนาดใหญ่ที่สุดของโลก ด้วยการขยายตัวของกำลังซื้อของคนชั้นกลางที่มีจำนวนมากกว่า 300 ล้านคนในปัจจุบัน ประกอบกับนโยบายเปิดการค้าเสรีของจีนคงไม่มีเวลาที่ดีกว่านี้อีกแล้ว ที่สำคัญคือผลิตผลทางการเกษตรของไทย ไม่ว่าจะเป็นข้าวหอมมะลิ ทุเรียน หรือผลไม้ต่างๆ ล้วนเป็นสินค้าที่ชาวจีนชื่นชอบ ทั้งนี้ เราไม่ต้องการทำสงครามทางการค้า เพราะเชื่อในการค้าเสรี ซึ่งทำให้ทุกคนสามารถค้าขายกันได้ทั่วโลก โดยอาลีบาบามีเป้าหมายที่จะทำให้โลกเกิดความสมดุล เท่าเทียม และเป็นธรรม ในที่สุดการค้าจะช่วยแก้ปัญหาการเมืองได้ 
    ด้านนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า การเดินทางมาของนายแจ็ก หม่า เป็นจังหวะที่เหมาะสมอย่างยิ่ง เพราะเศรษฐกิจไทยกำลังฟื้นตัวอยู่ในช่วงขาขึ้น โดยมั่นใจปีนี้จะขยายตัวได้มากกว่า 4% แน่นอน ประกอบกับไทยยังมีนโยบายยกระดับเอสเอ็มอีไทยไปสู่ดิจิทัลให้รวดเร็วที่สุด รวมทั้งการดำเนินนโยบายปฏิรูปภาคการเกษตร เพื่อไม่ให้เกษตรกรไทยย่ำอยู่กับที่ อาลีบาบาตัดสินใจที่จะลงทุนสร้างดิจิทัลฮับ (สมาร์ตดิจิทัลฮับ) ในพื้นที่เขตเศรษฐกิจภาคตะวันออก (อีอีซี) เนื่องจากมีความเชื่อมั่นในนโยบายประเทศไทย 4.0 และอนาคตเศรษฐกิจไทยที่สดใส โดยดิจิทัลฮับเป็นกลไกสำคัญที่จะช่วยเชื่อมโยงเอสเอ็มอีไทยทุกระดับ รวมถึงกลุ่มโอท็อป และกลุ่มเกษตรกรทั่วประเทศ ให้สามารถเข้าถึงตลาดจีนและตลาดโลก
    นอกจากนี้ ความร่วมมือเชิงยุทธศาสตร์ก่อให้เกิดประโยชน์ต่อเอสเอ็มอีและเกษตรกรของไทย ซึ่งจะขยายไปยังอุตสาหกรรมท่องเที่ยวและอุตสาหกรรมอื่นๆ ขณะเดียวกันยังจะเป็นแรงเสริมขับเคลื่อนการพัฒนาเศรษฐกิจดิจิทัลของไทย แม้เอสเอ็มอีจะเป็นบริษัทขนาดเล็ก ไม่มีอำนาจต่อรอง แต่หากได้รับความช่วยเหลือให้สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนและตลาด เอสเอ็มอีไทยก็จะลืมตาอ้าปากได้ เพราะจะช่วยยกระดับขีดความสามารถในการพัฒนาระบบออนไลน์ให้สินค้าเกษตรส่งผ่านไปสู่การค้าในตลาดต่างประเทศ
    อย่างไรก็ตาม นายสมคิดยอมรับว่า ประเทศไทยยังใหม่มากในเรื่องดิจิทัล และยังเป็นประเทศที่มีช่องว่างของรายได้ที่แตกต่างกันสูงมาก ส่วนใหญ่จะมีรายได้ค่อนข้างต่ำ ซึ่งไทยต้องยกระดับรายได้ชีวิตของคนในท้องถิ่น ชาวไร่ชาวสวน ที่จะต้องดำรงชีวิตอยู่ในยุคดิจิทัลต่อไป และการเลือกอาลีบาบาเป็นพาสเนอร์ถือเป็นเรื่องที่ถูกต้องที่สุด การปฏิรูปประเทศจะเป็นไปได้ง่าย และไทยยังอยู่ในช่วงที่เร่งทรานส์ฟอร์มเอสเอ็มอี ซึ่งได้สั่งการให้สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย(ส.อ.ท.) เป็นหน้าที่ที่จะร่วมมือกันพัฒนาเอสเอ็มอีขึ้นมาในช่วงนี้.