อย่าให้เกิดเหตุรุนแรง-นองเลือด ประวัติศาสตร์ต้องไม่ซ้ำรอย
การเคลื่อนไหวทางการเมืองและนำเสนอชุดความคิด ข้อเรียกร้องต่างๆ จากกลุ่มนักศึกษาและประชาชนบางส่วน ที่เคลื่อนไหวอย่างหนักในช่วงนี้ โดยมี กลุ่มเยาวชนปลดแอก, คณะประชาชนปลดแอก, แนวร่วมธรรมศาสตร์และการชุมนุม เป็นแกนนำหลัก สร้างเสียงวิพากษ์วิจารณ์อย่างมากให้แวดวงสังคมการเมืองไทยในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา หลังมีการนำเสนอข้อเรียกร้องที่เกี่ยวกับ สถาบันเบื้องสูง ระหว่างการจัดชุมนุมที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต เมื่อ 10 ส.ค.ที่ผ่านมา ขณะเดียวกันกลุ่มนักศึกษาก็ได้นัดชุมนุมใหญ่ในวันอาทิตย์นี้ (16 สิงหาคม) ที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย และถูกจับตามองว่าการชุมนุมน่าจะเข้มข้นพอสมควร
ทัศนะจากนักคิด-นักเขียนอาวุโสอย่าง สุลักษณ์ ศิวรักษ์ เจ้าของนามปากกา ส.ศิวรักษ์ นักเขียน นักวิชาการอิสระ ที่ถูกเรียกขานกันว่า ปัญญาชนสยาม ซึ่งมีประสบการณ์ในเรื่องการถูกดำเนินคดีมาตรา 112 มามากมาย มองปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในเวลานี้ โดยให้ความเห็นว่า ขอชื่นชมคนรุ่นใหม่ที่แหวกกระแสหลักออกมาได้ แม้ตอนนี้จะยังเป็นจำนวนน้อย แต่ก็หวังว่าจะมีการขยายตัว มีประชาชนและนักศึกษาออกมาอีกมากขึ้นไปเรื่อยๆ โดยต้องไม่ทิ้งคุณภาพ ก็ได้ข่าวหลายจังหวัดก็เริ่มทยอยออกมาร่วมทำกิจกรรมต่างๆ แล้ว ถือเป็นนิมิตหมายที่ดี ก็อยากเตือนว่าขอให้ใช้ความอดทน ให้ใช้ความสุภาพ ไม่ให้มีความรุนแรง การไปใช้คำรุนแรงมันอาจจะมัน แต่มันไม่ได้ผลหรอก จะเป็นโทษกับตัวพวกคุณเองด้วย ให้ใช้คำสุภาพดีกว่า ให้เคลื่อนไหวโดยใช้หลักสันติวิธี หลักสันติธรรม สถานการณ์หลังจากนี้คงไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง ขอให้มองในแง่ดี เปลี่ยนวิกฤติให้เป็นโอกาส มองในแง่ดี บ้านเมืองจะดีขึ้นก็ต้องอาศัยคนรุ่นใหม่
...อยากจะพูดว่า สิ่งที่เริ่มมีการทำกิจกรรมกันตอนนี้ถือว่าเป็นนิมิตหมายที่ดี ที่มีคนกล้ามากขึ้น อย่าง ทนายอานนท์ นำภา เป็นตัวอย่างที่เห็นชัดว่าเขาเป็นคนไม่แหย ศาลอาญาให้ประกันตัว เสร็จแล้วออกมาก็บินต่อไปพูดที่จังหวัดเชียงใหม่ในวันรุ่งขึ้นทันที แสดงว่าคนแบบนี้ใช้ได้ คราวนี้ผมก็ว่า ทางศาลก็ดี ระบบกระบวนการยุติธรรมก็ดี ตำรวจด้วย น่าจะสนับสนุนให้กำลังใจคนเหล่านี้ ไม่ใช่ไปหาทางทำลายคนเหล่านี้ตลอดเวลา อย่างพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวองค์ปัจจุบัน ก็สั่งแล้วว่าไม่ให้มีการดำเนินคดีตามมาตรา 112 ของประมวลกฎหมายอาญา แต่ก็ยังมีการใช้มาตราอื่นของกฎหมายมาดำเนินคดีรังแกกันจนได้ ทั้งที่บ้านเมืองเวลานี้เป็นประชาธิปไตยแล้ว ก็ยังจะหาเรื่อง เอามาตราอะไรต่างๆ มาหาทางจับคนจนได้ ผมก็เห็นว่ารัฐบาลควรอุดหนุนประชาชน ไม่ใช่มาเป็นศัตรูกับประชาชน
...การที่มีประชาชน นักศึกษาออกมาทำกิจกรรมกันหลายแห่งทั่วประเทศในตอนนี้ มองว่าเพราะประชาชนเขาอดทนมานานเต็มทีแล้ว พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ตอนแรกก็ยึดอำนาจในนาม คสช.แล้วก็ให้มีการมาร่างรัฐธรรมนูญ แต่ก็ยังเป็นเผด็จการ โดยเนื้อหาแม้รูปแบบจะเป็นประชาธิปไตย ยกตัวอย่างการยุบ "พรรคอนาคตใหม่" พวกเขาอดีตอนาคตใหม่ไม่ได้ทำอะไรผิดร้ายแรงเลย แต่ก็มีการไปหาเรื่องเขา หาเรื่องยุบพรรคอนาคตใหม่ รังแกเขาทุกอย่างเลย แล้วคนที่รอบๆ ตัวพลเอกประยุทธ์ก็เป็นแค่เนติบริกร ที่ไม่เห็นคุณงามความดีของคนที่ต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย เพราะพวกที่อยู่รอบๆ ตัวพลเอกประยุทธ์ แม้จะอ้างว่าเป็นประชาธิปไตยแล้ว แต่หัวใจยังเป็นเผด็จการ ที่ผ่านมาผู้คนเขาก็ทนมานานเต็มทีแล้ว เขาก็ต้องออกมาเคลื่อนไหว ซึ่งพอจะเข้าใจได้
เตือนอย่าแตะต้องสถาบันเบื้องสูง
ส.ศิวรักษ์ ย้ำไว้ว่า สิ่งที่ผมอยากเตือนก็คือ การเคลื่อนไหวต่อจากนี้อย่าหวังผลสำเร็จว่าจะเกิดขึ้นทันทีทันใด ให้ใช้ขันติธรรม รู้จักอดทน ขณะเดียวกันการเคลื่อนไหวก็ต้องรวมกัน โดยยึดหลักสามัคคีธรรม อย่าแตกแยกกัน เพราะฝ่ายปกครองต่อไปจะหาทางยุแยกให้แตกกัน ถ้าแตกกันเมื่อใดก็พัง ก็ควรต้องรวมตัวกัน แล้วอย่าไปคิดว่าต้องทำเพื่อให้ได้ความสำเร็จเร็ว ก็อาจจะช้า แต่ต้องอย่าทิ้ง ต้องทำไปเรื่อยๆ โดยรูปแบบการชุมนุมก็ต้องมีการทำกิจกรรมต่างๆ เช่น การเล่นเป็นละคร เพื่อให้การชุมนุมมีความสนุกสนาน และถ้าให้ดีก็ควรให้มีการฝึกทำภาวนาด้วย เช่น การฝึกเดินลมหายใจ ฝึกหายใจสั้น หายใจยาว จะช่วยได้มาก เพราะจะทำให้เกิดการโยงสมองกับหัวใจเข้าด้วยกัน ก็จะเปลี่ยนความโกรธให้เป็นความรัก เปลี่ยนความงกให้เป็นการให้ เพราะการประท้วงทำกิจกรรม หากไม่ระวังบางที "อัตตา" มันออกมา กูดีกว่ามึง พวกกูดีกว่าพวกมึง แบบนี้อันตรายมาก จะต้องเปิดกว้างยอมรับฟังความเห็นที่แตกต่างจากเรา แม้อาจจะมีบางฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยกับเรา มาด่าว่าเรา ก็ขอให้อดกลั้นไว้ อย่างน้อยก็มองว่าเป็นการให้ความเห็นใจ ให้อีกฝ่ายได้ระบาย คือให้มองว่ามาด่าเรา ก็ยังดีกว่าไปด่าคนอื่น
"ข้อสำคัญที่สุด โดยเฉพาะสถาบันเบื้องสูง อย่าไปแตะต้องในทางที่ไม่สมควร เพราะว่าคนที่รักในหลวงมีไม่ใช่น้อย ก็อย่าแสดงความเห็นออกมา อย่างน้อยความคิดความอ่านต้องเป็นกลางๆ ผมยังชมทนายอานนท์ เขาพูดดีมาก เขาไม่ได้โจมตีท่านเป็นการส่วนตัว เขาพูดยกย่องสถาบันพระมหากษัตริย์ เขาใช้วิธีนี้ผมก็ว่าเหมาะสม"
ก็มองว่าบทบาทการเคลื่อนไหวของนายอานนท์ ที่ผ่านมาก็เป็นนิมิตหมายที่ดี อย่างการพูดของทนายอานนท์ก็เป็นการพูดด้วยสัจวาจา พูดอย่างเรียบร้อย ไม่มีอะไรก้าวก่ายเบื้องสูงเลย และพูดด้วยความเทิดทูน เพื่อรักษาสถาบันไว้ หากคนอย่างนี้ยังถูกจับ บ้านเมืองก็ไม่มีความหมายเลย ผมก็ดีใจว่าพวกคนที่ออกมา รุ่นหลังไม่ใช่แค่นิสิตนักศึกษาเท่านั้น เพราะมีนักเรียน ทั้งเด็กผู้หญิง ผู้ชาย ผมยังต้องก้มหัวให้คนเหล่านี้ และพร้อมให้กำลังใจคนเหล่านี้ตลอดเวลา เป็นความหวังของบ้านเมืองเรา ที่ได้เห็นคนรุ่นใหม่ออกมาเคลื่อนไหวโดยใช้สติ ใช้ปัญญาแบบนี้ ผมเป็นคนแก่ ก็คิดว่าได้นอนตายตาหลับแล้ว
สำหรับบทบาทของอาจารย์-นักวิชาการ ก็พบว่าออกมาเคลื่อนไหวมากขึ้น แต่ส่วนใหญ่ยังแหยอยู่ ยังกลัวอยู่ โดยเฉพาะพวกที่มีตำแหน่ง พวกอธิการบดี พวกคณบดี ยังติดอยู่กับยศช้างขุนนางพระทั้งนั้น ถ้ามีอย่างอาจารย์ป๋วย อึ๊งภากรณ์ ที่กล้าออกมาตอนสมัยท่านอยู่ธรรมศาสตร์ ถ้ามหาวิทยาลัยแต่ละแห่งมีคนแบบท่านสักคนละแห่งสองแห่งก็ไปได้สวยเลย แต่ก็ไม่เป็นไร พวกนี้ไม่ออกมา แต่ตอนนี้นิสิตนักศึกษาก็ออกมาแล้ว อาจารย์รุ่นใหม่ๆ ก็ออกมาแล้ว ก็เป็นความหวังของเรา
-แม้พลเอกประยุทธ์ นายกรัฐมนตรี จะบอกว่าในหลวงทรงไม่ให้มีการเอาผิดดำเนินคดี มาตรา 112 แต่มีการมองกันว่ายังมีบางฝ่ายนำเรื่องสถาบันมาเป็นเครื่องมือจัดการกับฝ่ายตรงข้าม?
อันนี้พวกขวาจัดมันทำทุกอย่าง แล้วมาอ้างว่ารักสถาบัน ซึ่งที่จริงทำลายสถาบันเลย เพราะสถาบันจะอยู่ได้ต้องมีการวิพากษ์วิจารณ์ได้ แต่คราวนี้มีการไปแตะเข้าหน่อย ก็มาหาว่าจะมาล้มสถาบัน
สำหรับกรณีที่พลเอกประยุทธ์ นายกรัฐมนตรี ออกมาให้สัมภาษณ์กับสื่อว่า ในหลวงทรงมีพระเมตตาไม่ให้ใช้มาตรา 112 เรื่องนี้ผมไม่แปลกใจ เพราะเรื่องนี้ในหลวงรัชกาลที่ 9 มีรับสั่งไว้ชัดเจนว่า ใครใช้มาตรา 112 เท่ากับทำร้ายสถาบัน และในหลวงพระองค์นี้ก็ดำเนินรอยตามพระราชบิดาพระองค์ท่าน คือเรื่อง 112 เป็นการไปให้ประโยชน์กับพวกนักการเมือง นักการเมืองนำ 112 มาเล่นงานฝ่ายที่อยู่ตรงข้ามเขา อย่างผมถูกดำเนินคดีมาตรา 112 มาแล้วกี่คดี แต่ด้วยพระบารมีปกเกล้าปกกระหม่อมของในหลวงรัชกาลปัจจุบัน พระองค์ท่านมีรับสั่งให้ยุติ ไม่อย่างนั้นผมก็คงโดนดำเนินคดีอีกไม่รู้กี่คดี อย่างล่าสุดผมก็ถูกคนไปฟ้องดำเนินคดี บอกว่าผมหมิ่นสมเด็จพระนเรศวรมหาราช คิดดูสิ ทั้งที่กฎหมายเขียนไว้ว่าห้ามหมิ่นพระเจ้าอยู่หัวองค์ปัจจุบัน แล้วสมเด็จพระนเรศวรมหาราชผ่านมาตั้ง 500 ปีแล้ว จะมาเอาผมเข้าคุก เอาผมไปขึ้นศาลทหาร ซึ่งศาลทหารคงสั่งขังผมในคุกหัวโตแน่ ส่วนที่มีคนไปแจ้งความดำเนินคดีกับ พริษฐ์ ชิวารักษ์ หรือ เพนกวิน แกนนำเยาวชนปลดแอก เห็นว่าเป็นเรื่องไม่สมควร คนที่ทำพวกขวาจัด มันไม่รู้เรื่อง
รัฐบาลพลเอกประยุทธ์ จริงๆ ควรดำเนินรอยตามพระราชดำริดังกล่าว โดยการออกกฎหมายออกมาเป็นเรื่องเป็นราวไปเลย โดยให้มีการผ่านความเห็นชอบจากรัฐสภา แต่รัฐบาลก็ไม่มีการดำเนินการทำออกมา เพราะกฎหมายมาตรา 112 ถ้าใช้ได้ ก็จะเป็นประโยชน์กับฝ่ายที่มีอำนาจ มันไม่มีประโยชน์กับคนไร้อำนาจ ซึ่งการดำเนินการเรื่องมาตรา 112 หากไม่ยกเลิกมาตรานี้ ก็อาจใช้วิธีการเสนอแก้ไขเนื้อหา เช่น ไม่ให้มีโทษชั้นต่ำ 3 ปี และไม่ใช่ว่าใครถูกดำเนินคดีมาตรา 112 แล้ว ตำรวจต้องไปจับกุมตัวมาหมด แต่ควรให้มีคณะกรรมการไตร่ตรองมากลั่นกรองเสียก่อนว่าควรจะฟ้องดำเนินคดีกับผู้นั้นหรือไม่ เรื่องแบบนี้มันทำได้ ใช้สติใช้ปัญญาก็ทำได้ แต่ที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ ตำรวจก็ต้องจับกุม หากมีใครไปแจ้งความ ฟ้องร้อง ตำรวจก็ต้องทำต้องจับ เพราะหากไม่ทำตำรวจก็โดนคดีด้วย ผมก็เห็นใจตำรวจเหมือนกัน
-อยากเตือนการเคลื่อนไหวของแฟลชม็อบ การจัดกิจกรรมของนักศึกษาในเรื่องสถาบันอย่างไร?
ก็อย่าพูดถึงเรื่องสถาบันเลยจะดีที่สุด เพราะจะได้ไม่คุ้มเสีย ถ้าจะพูดก็พูดด้วยความเคารพ ไม่ต้องสรรเสริญเยินยอ แต่พูดโดยใช้สติ ใช้ปัญญา ถ้าคุณไม่เคารพนับถือ ก็อย่าเอ่ยถึงเลย ถ้าเอ่ยถึงก็เอ่ยถึงในทางบวก อันเป็นคุณกับสถาบันและเป็นคุณกับตัวคุณเองด้วย ส่วนข้อเรียกร้องสิบข้อ (จากเวทีชุมนุมที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต เมื่อ 10 สิงหาคม) ที่ผ่านมา ที่ออกมา ก็เป็นข้อความเรียกร้องที่ใช้ได้
-หลายฝ่ายเกรงจะเกิดความรุนแรงหลังเริ่มมีกลุ่มต่างๆ ออกมาต่อต้านการจัดกิจกรรมของนักศึกษา เช่นอดีตกลุ่มนักเรียนอาชีวะ?
ผมก็ยังไม่รู้ แต่ต้องเข้าใจว่าพวกขวาจัดที่ออกมามีการจัดตั้ง พวกนักการเมือง พวกทหารจัดตั้ง แต่คนที่ออกมาเคลื่อนไหวทำกิจกรรมด้วยความบริสุทธิ์ใจ พวกนี้น่าเชื่อถือ น่าเคารพ เพราะเขาเสียสละมาก
-ถ้าสถานการณ์หลังจากนี้ มีกลุ่มนักศึกษา ประชาชนออกมาร่วมทำกิจกรรมมากขึ้นเรื่อยๆ ทั่วประเทศ นายกรัฐมนตรีควรทำอย่างไร?
ผมไม่รู้นายกรัฐมนตรีจะทำอย่างไร แต่ถ้าเขาฉลาด เขาก็ต้องอดทน แต่ถ้าเขาโง่ แล้วใช้ความรุนแรงมาจัดการปราบ พลเอกประยุทธ์จะพังเอง ผมว่าการเปิดให้คนได้ออกมา ได้ออกมาเดินขบวน ได้ออกมาพูด มันดีกว่าจะมาใช้ความรุนแรง เพราะหากใช้ความรุนแรงอาจจะเกิดการนองเลือด แล้วรัฐบาลเองที่จะพัง
ส.ศิวรักษ์ ให้ความเห็นด้วยว่า ข้อเรียกร้องหลักๆ ของกลุ่มที่ออกมาเคลื่อนไหวทำกิจกรรมการเมืองแฟลชม็อบที่ผ่านมา ทั้งเรื่องให้หยุดคุกคามประชาชน ร่างรัฐธรรมนูญใหม่ และยุบสภา มีน้ำหนักความชอบธรรม เริ่มตั้งแต่เรื่องหลักอย่าง การแก้ไขรัฐธรรมนูญ เพราะรัฐธรรมนูญฉบับนี้ใช้ไม่ได้ มีการเขียนเพื่อให้อำนาจกับพวกตัวเอง (คสช.) มากที่สุด จึงควรต้องให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อให้ได้รัฐธรรมนูญที่ดี ให้ไปอยู่กับราษฎร ไม่ใช่ให้ไปอยู่กับชนชั้นปกครอง
ส่วนเรื่องการให้หยุดคุกคามประชาชน โดยที่นักศึกษามีการยกเรื่องกรณีนักเคลื่อนไหวทำกิจกรรม เกิดการสูญหายนั้น ก็เป็นข้อเรียกร้องที่ดี เพราะการที่มีบางคนหายตัวไป เหมือนกับการเก็บ เหมือนกับบางประเทศในทวีปอเมริกาใต้ มันเลวร้ายมาก ไม่ควรทำกัน ส่วนข้อเสนอให้ "ยุบสภา" ก็เช่นกัน เพราะเวลานี้ฝ่ายนิติบัญญัติ อย่างก่อนหน้านี้พวกหัวก้าวหน้าอย่างพรรคอนาคตใหม่ ก็ไปรังแกไปยุบพรรค แล้วพวกสมาชิกวุฒิสภาก็มาจากการสรรหาทั้งหมด ยุคนี้ต้องให้มีการเลือกสมาชิกวุฒิสภาโดยตรง ข้อเรียกร้องทั้งสามข้อของกลุ่มนักศึกษา ผมเห็นว่าเป็นข้อเรียกร้องที่ถูกต้อง เห็นด้วยเต็มที่เลย
ส.ศิวรักษ์-นักวิพากษ์วิจารณ์สังคมการเมืองไทย กล่าวต่อไปว่า สถานการณ์ต่อจากนี้ที่หลายฝ่ายแสดงความเป็นห่วงว่าจะเกิดเหตุรุนแรงนั้น เราอย่าไปเป็นห่วง เราควรใช้สติ ใช้ปัญญา เราก็หวังว่าคนรุ่นใหม่เขาก็ควรใช้สติ ใช้ปัญญา พยายามมองพวกเขาคนรุ่นใหม่อย่างรู้เท่าทันเขา ให้กำลังใจเขา ผมว่าดีที่สุด แล้วอะไรมันจะเกิดก็ต้องเกิด
"แต่หวังว่าจะไม่เกิดอะไรที่เป็นเรื่องขั้นรุนแรง ไม่เกิดเหตุการณ์ถึงขั้นนองเลือดขึ้น เพราะเรามีบทเรียนกันมาแล้วอย่างเช่นสมัยเกิดเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 เรามีบทเรียนแบบนั้นมาแล้ว ก็ต้องแก้ไข ต้องแก้ไขอดีต อย่าให้ประวัติศาสตร์กลับมาซ้ำรอย"
...รัฐบาล นายกรัฐมนตรีก็ต้องใจกว้าง หูตากว้างขวาง อย่าไปเห็นว่าใครที่ออกมาเรียกร้องแล้วก็มองแบบเลวร้ายไปหมด เพราะพวกเขาเพียงแค่คิดแตกต่างจากผู้มีอำนาจ เขาต้องอดทน ฟังที่เขาออกมาและนำไปแก้ไขตัวเอง ซึ่งหากมีการปรับตัวแก้ไขตัวเอง ฝ่ายรัฐบาลก็จะอยู่ในอำนาจได้นาน แต่หากดื้อรั้นก็คือการฆ่าตัวเอง
ส.ศิวรักษ์ วิพากษ์ต่อไปว่า สำหรับการทำงานในช่วงที่ผ่านมาของนายกรัฐมนตรีร่วมหกปีกว่า ผมรู้จักเผด็จการมาเยอะ ผมเกิดมาตอนนั้น จอมพล ป. พิบูลสงคราม เป็นเผด็จการ แต่ถึงจะมีความเป็นเผด็จการอย่างไร แต่ จอมพล ป. พิบูลสงคราม เป็นคนฉลาด รักชาติบ้านเมือง จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ แย่กว่าจอมพล ป. พิบูลสงคราม แต่เขาก็หาคนดีๆ หาเทคโนแครตมาบริหาร มาปกครองบ้านปกครองเมืองโดยไม่เข้าไปก้าวก่าย หรืออย่าง พลเอกสุจินดา คราประยูร จะเลวร้าย มีการสั่งจับกุมผม จนผมต้องหนีออกไป แต่พลเอกสุจินดาก็เป็นคนมีความรู้ความสามารถ แต่พลเอกประยุทธ์ไม่มีอะไรแบบนั้นเลย ผมมองไม่เห็นความรู้ความสามารถของเขา ลองถามคนดูว่าเห็นผลงานอะไรบ้างของเขา ที่อันตรายก็คือตอนนี้ราษฎรเดือดร้อนมากขึ้น คนรวยก็รวยมากขึ้น แต่คนจนถูกรังแกมากขึ้น ที่อันตรายก็คือ ก่อนหน้านี้เรามีแค่สหรัฐอเมริกาอยู่เหนือเราประเทศเดียว แต่ตอนนี้เราปล่อยให้จีนอยู่เหนือเราด้วย ตอนนี้จีนคุมเราแทบทุกอย่างเลย พลเอกประยุทธ์ยอมจีนแทบทุกอย่าง ต่อไปเราก็ต้องไปซื้อหอมกระเทียมจากประเทศจีน อย่างจีนให้มีการกั้นแม่น้ำโขง แล้วนำของเข้ามาขาย ทำให้สินค้าของไทยขายไม่ได้เลย สิ่งเหล่านี้รัฐบาลประยุทธ์ไม่สนใจเลย เพราะรัฐบาลจีนเอาใจรัฐบาลไทย รัฐบาลไทยก็ซูฮกรัฐบาลจีน
...ถ้านายกรัฐมนตรีฉลาดก็ควรต้องลาออกจากตำแหน่งได้แล้ว ที่ผ่านมาเขาอยู่นานเกินไปแล้ว ดูอย่างจอมพล ป.พิบูลสงคราม เก่งกว่าพลเอกประยุทธ์ขนาดไหน ประชาชนก็ไม่เอาโดนขับไล่ ส่วนจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ เคราะห์ดีที่เสียชีวิตก่อน ไม่อย่างนั้นก็จะถูกประชาชนขับไล่เช่นกัน พอเขาเสียชีวิตได้ไม่นานก็มีข่าวเรื่องไม่ดีเกี่ยวกับเขาออกมามากมาย ทั้งเรื่องทรัพย์สิน เรื่องชีวิตส่วนตัว แต่สำหรับรัฐบาลชุดนี้จะเป็นอย่างไรผมยังไม่รู้ แต่หวังว่าประชาชนจะเรียนรู้จากเหตุการณ์ในอดีต จะใช้วิธีอะไรก็ตามแต่ แต่ว่าต้องทำอย่างสันติตลอดเวลาและมั่นคง ส่วนอนาคตของรัฐบาลชุดนี้จะอยู่ได้อีกนานหรือไม่ ผมยังไม่รู้ แต่คงพังอีกไม่นาน เพราะคนก็ทนกันมานานแล้วจะร่วม 7 ปีแล้ว คนก็ทนกันไม่ไหวแล้ว
ย้อนสัมพันธ์ 'สมศักดิ์-จรัล'
หนุนออก กม.นิรโทษกรรม
ส.ศิวรักษ์-เจ้าของสมญานาม ปัญญาชนสยาม ยังได้พูดถึงนักวิชาการ นักเคลื่อนไหวทางการเมืองที่ลี้ภัยอยู่ต่างประเทศตั้งแต่ยุค คสช.จนถึงปัจจุบันว่า พวกที่เคลื่อนไหวอยู่ต่างประเทศก็ได้เปรียบ เพราะกฎหมายทำอะไรไม่ได้ บางทีเขาก็ทำอะไรเกินเลยไป ก็ต้องเห็นใจเขา เขาก็อยากระบาย บางเรื่องก็ต้องมองคนพวกนี้ในแง่ดีจะดีกว่า อย่าไปมองในแง่ร้าย ส่วนตัวผมก็มีติดตามความเคลื่อนไหวของพวกเขาบ้าง (Facebook) ซึ่งบางคนอย่างจรัล ดิษฐาอภิชัย อดีตกรรมการสิทธิมนุษยชน คนนี้ผมเลี้ยงเขาเหมือนลูกผมเลย เมื่อก่อนหน้านี้ก็พักอาศัยอยู่ที่เรือนไทย ที่บ้านผมหลังนี้ (ซอยสันติภาพ บางรัก) ก็เอาลูกเอาเมียมาอยู่กับผมที่เรือนไทยด้วย ผมเป็นคนส่งเขาไปเรียนหนังสือที่ประเทศฝรั่งเศสตั้งแต่แรกเลย ก็ติดต่อกันมาตลอด อย่างตอนหลัง คสช.ทำรัฐประหาร แล้วจรัลต้องลี้ภัยไปฝรั่งเศส ผมก็ไปเยี่ยมเขาไปให้กำลังใจ
...หรืออย่างเวลาผมไปฝรั่งเศส ผมก็ไปหาสมศักดิ์ เจียมธีรสกุล อดีตอาจารย์คณะศิลปศาสตร์ ธรรมศาสตร์ ก็ไปเจอไปให้กำลังใจเขา เพราะผมรู้จักสมศักดิ์ตั้งแต่ยังเป็นนักเรียนมัธยมศึกษาที่โรงเรียนสวนกุหลาบ ตอนเขาไปทำวิทยานิพนธ์ที่ประเทศออสเตรเลีย ผมก็ไปเจอเขาที่นั่น ซึ่งสมศักดิ์เขาก็เป็นตัวของเขาเอง ไม่จำเป็นต้องไปเห็นด้วยเหมือนกับเขา คือผมได้เปรียบเพราะเราเป็นคนแก่ ก็เลยรู้จักคนพวกนี้ตั้งแต่พวกเขายังเป็นเด็กๆ ซึ่งคนเหล่านี้ที่อยู่ต่างประเทศ หากเราเป็นประชาธิปไตยเปิดกว้างเมื่อไหร่ก็คงกลับมาประเทศไทยได้ แต่ถ้าเป็นเผด็จการแบบนี้ก็กลับยาก
สำหรับ ส.ศิวรักษ์ เป็นบุคคลที่แวดวงการเมือง นักวิชาการ นักเคลื่อนไหวทางสังคมหลายปีก หลากกลุ่มรู้จักมักคุ้นเป็นอย่างดี เราเลยถามถึงความเห็นในเรื่องการสร้างความปรองดอง การออกกฎหมายนิรโทษกรรม หลังเริ่มมีข่าวบางฝ่ายกำลังเตรียมเคลื่อนไหวเรื่องนี้ผ่านช่องทางต่างๆ โดย ส.ศิวรักษ์ย้ำว่า การปรองดองจะปรองดองกันได้ต้องให้เกียรติฝ่ายตรงข้าม อย่าเห็นว่าเราเป็นเทวดาแล้วอีกฝ่ายเป็นมาร แต่ต้องฟังซึ่งกันและกัน ประสานประโยชน์ซึ่งกันและกัน ยอมรับในข้อบกพร่องของเรา แค่นี้ก็ปรองดองกันได้ ที่แอฟริกาใต้มีการตั้งคณะกรรมการแสวงหาความจริงเพื่อความปรองดอง หรือ Truth and Reconciliation Commission (TRC) คือ "สัจจะต้องมาก่อน" ซึ่งรัฐบาลหากจะปรองดองก็ต้องยอมรับและขออโหสิในสิ่งที่เคยทำไม่ดีไว้ ถ้าทำแบบนี้ก็จะทำให้เกิดการหันหน้าเข้าหากันได้ แต่หากคิดว่าตัวเองดีอยู่ฝ่ายเดียว อีกฝ่ายผิดหมด แบบนี้มันก็พัง ก็ปรองดองไม่ได้
...อย่างบางฝ่ายก็ถูกรังแกมาตลอด อย่างอดุลย์ เขียวบริบูรณ์ ก็เสียลูกชายไป (เหตุการณ์พฤษภาทมิฬ 2535) หรืออดีตแกนนำฝ่ายต่างๆ เช่น พิภพ ธงไชย (อดีตแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย) ที่ผ่านมาเขาถูกดำเนินคดีไปกี่คดีแล้ว และหากไปดูว่าพวกเขาต่อสู้เพื่ออะไร ก็ต่อสู้เพื่อบ้านเมือง เพื่อความถูกต้องดีงามของบ้านเมือง แต่กระบวนการทั้งหมดก็ไปรังแกพวกเขา เข้าคุกกันเป็นว่าเล่น อย่างพลตรีจำลอง ศรีเมือง หากไม่ออกมาเคลื่อนไหวป่านนี้เขาก็เป็นจอมพลไปแล้ว เพราะเขาก็สู้และเสียสละตลอด แม้ผมจะไม่เห็นด้วยกับพลตรีจำลอง แต่อย่างน้อยผมก็เห็นว่าพลตรีจำลอง เป็นคนที่เสียสละ ซื่อสัตย์สุจริต แล้วก็คนอื่นๆ ทั้งในฝ่ายเสื้อเหลือง เสื้อแดง คือผมอาจไม่เห็นด้วยกับแนวคิดบางอย่างทางการเมือง แต่ก็ต้องชมแกนนำพวกเขาว่าออกมาต่อสู้ยืนหยัดเพื่อบ้านเมือง
ก่อนหน้านี้ผมก็ไปเยี่ยมวีระกานต์ มุสิกพงศ์ อดีตประธาน นปช. และ นพ.เหวง โตจิราการ ที่ศาล (ตอนไปฟังการพิจารณาคดี) ผมก็ไปให้กำลังใจพวกเขา เพราะพวกนี้ผมก็รู้จักมาตั้งนาน อย่างหมอเหวงก็รู้จักตั้งแต่ก่อนเขาจะเข้ามหาวิทยาลัย ส่วนวีระกานต์ก็รู้จักกันมานานเน ก็ต้องไปให้กำลังใจกัน หรือตอนอดีตแกนนำพันธมิตรฯ ติดคุก อย่างพิภพ ธงไชย ผมก็ไปเยี่ยมพิภพที่เรือนจำ ตอนเขาออกจากเรือนจำผมก็ไปร่วมต้อนรับ คือผมเห็นว่าคนที่ต่อสู้เพื่อบ้านเพื่อเมือง แม้จะเห็นแตกต่างกันแต่เราก็ควรให้กำลังใจเขา อย่างทนายอานนท์ นำภา ผมก็ไม่ได้รู้จักเขาเป็นการส่วนตัว แต่ผมก็ยินดีให้กำลังใจเขาเต็มที่เลย แล้วผมดีใจที่เห็นข่าวมีหญิงชรา แม้จะมีฐานะไม่ได้ร่ำรวยอะไร แต่ก็นำเงินไปช่วยเหลือมอบให้เขาหนึ่งหมื่นบาท สำหรับประเทศไทยเรื่องแบบนี้มีความหมายมาก ไม่ใช่แค่กับคนรุ่นใหม่ แต่อย่างคนรุ่นเก่าเขาก็ต้องการ ความยุติธรรม ในสังคมก็มี ก็ทำให้ผมมีความภูมิใจในความเป็นไทย
การออกกฎหมายนิรโทษกรรมเป็นเรื่องที่สมควร เป็นของดี เพราะคนเหล่านี้เขาสู้เพื่อบ้านเพื่อเมืองทั้งนั้น แต่กลับไปว่าเขาอย่างกับเป็นกบฏ เรื่องนี้นายกรัฐมนตรีสมควรจะทำอย่างยิ่ง แต่ดูแล้วพลเอกประยุทธ์คงไม่มีทางทำ.
.....................................
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |