10 ส.ค.63 - ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) พล.ต.อ.ชนสิษฎ์ วัฒนวรางกูร จเรตำรวจแห่งชาติ พร้อมด้วยพล.ต.ท.สมหมาย พัชรอินโต ผบช.กมค. พล.ต.ท.นิทัศน์ ลิ้มศิริพันธ์ ผบช.ก.ตร.พล.ต.ต.อนุชา รมยะนันท์ รอง ผบช.สกพ. และพล.ต.ต.นพพร ศุภพัฒน์ ผบก.กองวินัย แถลงชี้แจงถึงกระบวนการขั้นตอนการดำเนินการทางวินัยและอาญา กรณีคลิปเสียงการสนทนของ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร. และ พล.ต.อ.วิระชัย ทรงเมตตา สำรองราชการ ตร.
พล.ต.อ.ชนสิษฎ์ กล่าวว่า ตนได้รับมอบหมายจากพล.ต.อ.จักรทิพย์ มาสรุปขั้นตอนการดำเนินการของสำนักงานตำรวจแห่งชาติที่เกี่ยวกับพล.ต.อ.วิระชัย ทรงเมตตา สืบเนื่องจาก 1-2 สัปดาห์ที่ผ่านมา การนำเสนอข่าวของสื่อมวลชนเกี่ยวกับการดำเนินในส่วนของพล.ต.อ.วิระชัยมีความคลาดเคลื่อนจากข้อเท็จจริง และเพื่อให้ข้อเท็จจริงชัดเจน ให้สื่อมวลชนได้ชี้แจงกับประชาชนให้ถูกต้อง จึงขอสรุปสั้นๆ เกี่ยวกับรายละเอียดการดำเนินการตั้งแต่ต้นทางวินัยในกรณีที่เกี่ยวข้องกับพล.ต.อ.วิระชัย ทรงเมตตา จนถึงปัจจุบัน
โดย พล.ต.อ.ชนสิษฏ์ ได้กล่าวอธิบาย ลำดับเหตุการณ์ตั้งแต่วันที่ 6 มกราคม 2563 - 29 กรกฎาคม 2563 ว่า สืบเนื่องจากวันที่ 6 มกราคม 2563เวลาประมาณ 20.00 น. มีเหตุยิงรถยนต์ของพล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล ในท้องที่บางรัก หลังจากนั้นวันที่ 9 มกราคม 2563 เวลาประมาณ 08.00 น. มีการเผยแพร่คลิปเสียงผ่านสื่อมวลชนเกี่ยวกับการสนทนาทางโทรศัพท์ของผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติกับพล.ต.อ.วิระชัย ที่เป็นข้อสั่งการเกี่ยวกับการสอบสวนการดำเนินคดีอาญา ซึ่งถือเป็นความลับของทางราชการ อันเป็นการใช้อำนาจของผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติในฐานะหัวหน้าพนักงานสอบสวนทั่วราชอาณาจักรแล้วมีการนำไปเผยแพร่ตามสื่อมวลชนหลายแขนงส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติและการปฏิบัติหน้าที่ของผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ จนเป็นเหตุให้ราชการเสียหาย จากนั้นก็มีสื่ออื่นๆ เผยแพร่ต่อเนื่องโดยตลอดมา
วันที่ 21 มกราคม 2563 สืบเนื่องจากความเสียหายดังกล่าวข้างต้น สำนักงานตำรวจแห่งชาติจึงได้แต่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงขึ้นมาคณะหนึ่งโดยมีผมเป็นประธานกรรมการ และกรรมส่วนใหญ่เป็นหัวหน้าส่วนราชการระดับผู้บัญชาการซึ่งมีหน้าที่เกี่ยวข้องในการตรวจสอบดังกล่าว ทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติได้รายงานข้อเท็จจริงการแต่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงให้นายกรัฐมนตรีทราบ และให้เหตุผลในการรายงานโดยมีรายละเอียดสรุปได้ดังนี้ เพื่อให้การตรวจสอบข้อเท็จจริงและการดำเนินการเป็นไปอย่างโปร่งใสและมีความน่าเชื่อถือเพียงพอจึงเสนอให้พิจารณาสั่งการให้พล.ต.อ.วิระชัย ทรงเมตตา ไปปฏิบัติราชการนอกสังกัดตร. เพื่อประโยชน์แก่การตรวจสอบดังกล่าว ต่อมาวันที่ 23 มกราคม 2563 มีคำสั่งสำนักนายกให้พล.ต.อ.วิระชัย ทรงเมตตา ไปปฏิบัติราชการที่สำนักนายก ตามเสนอของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ
พล.ต.อ.ชนสิษฏ์ กล่าวว่า หลังจากที่มีคำสั่งตั้งคณะกรรมการสืบสวนข้อเท็จจริงถึงวันที่ 10 กรกฎาคม 2563 เป็นเวลา 6 เดือน คณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงได้รายงานผลการตรวจสอบข้อเท็จจริงต่อผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ผ่านกองวินัย การรายงานได้รวบรวมพยานหลักฐานโดยให้ทุกฝ่ายชี้แจงข้อเท็จจริงอย่างเต็มที่แล้ว มีมติคณะกรรมการทั้งหมดมีมติเป็นเอกฉันท์สรุปได้ว่า แบ่งออกเป็น 2 กรณี คือการดำเนินการทางวินัย และการดำเนินการทางอาญา ส่วนการดำเนินการทางวินัยตามวินัยมีมูลเพียงพอที่จะรับฟังได้ว่า พล.ต.อ.วิระชัย ทรงเมตตา กระทำความผิดทางวินัยอย่างร้ายแรง ส่วนการดำเนินการทางอาญา มีมูลรับฟังได้ว่าเป็นการกระทำความผิดตามพระราชบัญญัติประกอบกิจการโทรคมนาคม พ.ศ.2544 มาตรา 74 และประกาศคปค. ฉบับที่ 21 เรื่องการห้ามดักฟังทางโทรศัพท์และเครื่องมือสื่อสารอื่นใด และในความเห็นนั้นเสนอให้กองวินัย และสำนักงานกฎหมายและคดีดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ต่อไป
การดำเนินการทางวินัย วันที่ 14 กรกฎาคม 2563 หลังจากได้รับรายงานของคณะกรรมการตรวจสอบ ในวันที่ 18 กรกฎาคม 2563 กองวินัยรายงานผลการตรวจสอบข้อเท็จจริงของคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงต่อผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และมีความเห็นว่าเป็นกรณีมีมูลเพียงพอที่จะแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนวินัยอย่างร้ายแรง ตามเสนอของคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงและมีหนังสือกราบเรียนนายกรัฐมนตรี เพื่อโปรดทราบผลการตรวจสอบข้อเท็จจริงเป็นกรณีเร่งด่วน ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติได้พิจารณาเห็นชอบและสั่งการให้หน่วยเกี่ยวข้องดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ของหน่วยต่อไป
วันที่ 15 กรกฎาคม 2563 ได้รายงานผลการตรวจสอบข้อเท็จจริงต่อนายกรัฐมนตรี ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติรายงานผลการตรวจสอบข้อเท็จจริงว่าพล.ต.อ.ชนสิษฎ์ วัฒนวรางกูร จตช. ประธานกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงได้ทำการตรวจสอบข้อเท็จจริงเสร็จสิ้นแล้ว เห็นว่ามีมูลเพียงพอรับฟังได้ว่ากระทำความผิดวินัยร้ายแรง
การดำเนินคดีอาญา ในวันที่ 20 กรกฎาคม 2563 สำนักงานกฎหมายและคดี รายงานผลการดำเนินการจัดทำคำกล่าวโทษและส่งให้ผบช.ก. ดำเนินการไปตามกฎหมายตามอำนาจและหน้าที่เนื่องจากบก.ป. เป็นหน่วยงานสอบสวนในสังกัดบช.ก. มีอำนาจสอบสวนทั่วราชอาณาจักรแล้ว
วันที่ 21 กรกฎาคม 2563 สกพ. เสนอผบ.ตร. ว่ากรณีการตรวจสอบข้อเท็จจริงได้เสร็จสิ้นแล้ว ตามที่ตร. ได้รายงานผลให้นายกรัฐมนตรีรับทราบ เห็นควรกราบเรียนนายกรัฐมนตรี เพื่อพิจารณาสั่งการให้พล.ต.อ.วิระชัย กลับมาปฏิบัติราชการที่ตร. เพื่อดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องและเพื่อประโยชน์ในการบังคับบัญชากำกับดูแลการปฏิบัติราชการตามกฎหมายระเบียบและคำสั่งที่เกี่ยวข้อง
วันที่ 22 กรกฎาคม 2563 ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติเสนอนายกรัฐมนตรีว่า การตรวจสอบข้อเท็จจริงอันเป็นเหตุที่เสนอให้ไปปฏิบัติราชการเสร็จสิ้นแล้ว เห็นควรสั่งให้พล.ต.อ.วิระชัย กลับมาปฏิบัติราชการที่ตร.
คำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรีที่ 219/2563 ลง 23 กรกฎาคม 2563 อ้างถึงคำสั่งให้พล.ต.อ.วิระชัยไปปฏิบัติราชการสำนักนายกรัฐมนตรี โดยไม่ขาดจากตำแหน่งเดิม เพื่อให้การตรวจสอบข้อเท็จจริง โปร่งใส น่าเชื่อถือ ตามเสนอของตร. บัดนี้การตรวจสอบเสร็จสิ้นแล้วจึงให้พล.ต.อ.วิระชัย กลับไปดำรงตำแหน่งรองผบ.ตร. กลับไปปฏิบัติราชการที่ตร. ตั้งแต่วันที่ 23 กรกฎาคม 2563
การตั้งกรรมการสอบสวนวินัยร้ายแรง วันที่ 24 กรกฎาคม 2563 ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ลงนามคำสั่งตร. ที่ 383/2563 ตามที่กองวินัยเสนอเรื่องแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนลงวันที่ 24 กรกฎาคม 2563 แต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนพล.ต.อ.วิระชัย ทรงเมตตา ผู้ถูกกล่าวหา กรณีถูกกล่าวหาว่ากระทำความผิดวินัยอย่างร้ายแรงสองประเด็นตามความเห็นที่คณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงเสนอไว้
ตร. มีคำสั่งสำรองราชการที่ 387/2563 เรื่องให้ข้าราชการตำรวจสำรองราชการ วันที่ 29 กรกฎาคม 2563 ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติลงนามในคำสั่งสำรองราชการ เนื่องจากตร. มีคำสั่งตั้งกรรมการวินัยร้ายแรงพล.ต อ.วิระชัย ทรงเมตตา และ บก.ป. ได้รับคำร้องทุกข์กรณีกล่าวโทษว่ามีการกระทำอันเป็นความผิดต่อรัฐมีมูลเข้าข่ายความผิดตามพ.ร.บ.การประกอบกิจการโทรคมนาคม พ.ศ. 2544 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ม. 74 และตามประกาศคปค. ฉบับที่ 21 อันเป็นเหตุให้สำรองราชการได้ตามข้อ 3(1) แห่งกฎ ก.ตร. ว่าด้วยการสั่งให้ข้าราชการตำรวจประจำตร. หรือส่วนราชการใดหรือสำรองในส่วนราชการใด พ.ศ.2548 กรณีนี้เป็นการเสนอของสกพ. เพื่อให้ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ใช้ดุลพินิจสั่งการตามอำนาจหน้าที่เพื่อประโยชน์แห่งความเป็นธรรมในการดำเนินการทางวินัยและอาญา เพื่อประโยชน์ในการบริหารราชการในภาพรวมของตร.
พล.ต.อ.ชนสิษฏ์ กล่าวว่า การดำเนินการทั้งหมดข้างต้นเป็นการดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ของผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติในฐานะผู้บังคับบัญชา ซึ่งตามพ.ร.บ. ตำรวจแห่งชาติ พ.ศ. 2547 หมวด 5 วินัยและการรักษาวินัยได้กำหนดอำนาจหน้าที่ของผู้บังคับบัญชาไว้ให้ผู้บังคับบัญชามีหน้าที่เสริมสร้างและพัฒนาให้ผู้อยู่ใต้บังคับบัญชามีวินัย ป้องกันมิให้ผู้ใต้บังคับบัญชากระทำผิดวินัย และดำเนินการทางวินัยแก่ผู้อยู่ใต้บังคับบัญชา ซึ่งมีกรณีอันมีมูลที่ควรกล่าวหาว่ากระทำผิดวินัย ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติมิได้อยู่ในฐานะคู่กรณีตามบทบัญญัติของกฎหมายตามที่คนทั่วไปเข้าใจ
เมื่อผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติได้รับรายงานจากผลการตรวจสอบข้อเท็จจริงว่ามีมูลเพียงพอรับฟังได้ว่าเป็นกระทำผิดวินัยอย่างร้ายแรงและกองวินัยได้ให้ความเห็นพ้องด้วยกับคณะกรรมการตรวจสอบประกอบกับทางอาญาพงส. ได้รับคำร้องทุกข์ไว้แล้วในกรณีการกล่าวโทษว่ามีการกระทำอันเป็นความผิดต่อรัฐ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติซึ่งมีหน้าที่ตามกฎหมายจึงต้องดำเนินการตามขั้นตอน บทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าว และไม่สามารถดำเนินการโดยใช้ดุลพินิจเป็นอย่างอื่น นอกเหนือจากที่กฎหมายบัญญัติไว้ได้
จะเห็นได้ว่าการดำเนินการและการสั่งการของผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เป็นการกระทำในหน้าที่ของผู้บังคับบัญชา ซึ่งได้ดำเนินการไปตามลำดับขั้นตอน โดยมีความเห็นของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรองรับการพิจารณาสั่งการด้วยเสมอ รวมระยะเวลานับตั้งแต่ที่คณะกรรมการรายงาน ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ตั้งแต่ 10 กรกฎาคม 2563 จนถึงการออกคำสั่งสำรองราชการ 29 กรกฎาคม 2563 รวมทั้งสิ้น 20 วัน เป็นระยะเวลาในการดำเนินเนินงานทางธุรการตามปกติไม่ได้เป็นการเร่งรัดหรือตระเตรียมการไว้ แต่อย่างใด
พล.ต.อ.ชนสิษฏ์ กล่าวว่า ตนได้รับมอบหมายจาก พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร. ให้มาชี้แจงเกี่ยวกับขั้นตอนการดำเนินการทั้งหมดที่ผ่านมา ทั้งวินัยและอาญา เกี่ยวกับ พล.ต.อ.วิระชัย ทรงเมตตา สำรองราชการ ตร. โดยยืนยันว่าทำตามขั้นตอน ไม่ได้เร่งรัดดำเนินการ ตั้งแต่ตนทำเรื่องเสนอ ผบ.ตร. จนจบกระบวนการสำรองราชการ ใช้เวลาประมาณ 20 วัน ไม่ใช่เพิ่งทำ
พล.ต.อ.ชนสิษฎ์ ยืนยันว่าหากไม่พบความผิด พล.ต.อ.วิระชัย สามารถกลับเข้ามาดำรงตำแหน่งในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้ดังเดิม แต่ส่วนตัวปฏิเสธจะให้ความเห็นว่าพล.ต.อ.วิระชัย ยังมีสิทธิ์ ได้รับการเสนอชื่อเป็นผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ได้อีกหรือไม่
สำหรับกรอบระยะเวลาการสอบสวนวินัยร้ายแรง พล.ต.ต.นพพร กล่าวว่า เป็นไปตาม กฎ ก.ตร. ว่าด้วยการสอบสวนพิจารณา พ.ศ.2547 ต้องเรียกผู้ถูกกล่าวหามาแจ้งอธิบายให้ผู้ถูกกล่าวหาทราบ ภายใน 15 วัน จากนั้นรวบรวมพยานหลักฐานในเรื่องที่กล่าวหา และประชุมพยานหลักฐานสนับสนุนข้อกล่าวหา และสรุป ใช้เวลา 60 วัน หลังสรุปแล้วหากมีมูลความผิดจะเรียกผู้ถูกกล่าวหามาแจ้งข้อกล่าวหา ภายใน 15 วัน หลังแจ้งข้อกล่าวหาก็ถามความความประสงค์ผู้ถูกกล่าวหาชี้แจง อธิบายข้อกล่าวหา และทำเรื่องมาให้ถ้อยคำเพิ่มเติมภายใน 60 วัน หลังจากนั้นคณะกรรมการรวบรวมพพยานหลักฐานภายใน 30 วัน สรุปสำนวนเสนอผู้สั่งตั้งคณะกรรมการ
ด้าน พล.ต.ท.นิทัศน์ กล่าววถึงกรณีที่ พล.ต.อ.วิระชัย ร้องขอความเป็นธรรม คือ คำสั่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนวินัยร้ายแรง ได้มีการร้องทุกข์ และคัดค้านคำสั่งตั้งกรรมการสอบสวน และร้องทุกข์และอุทธรณ์คำสั่งของ ผบ.ตร. ที่สั่งให้สำรองราชการ ทั้งสองส่วนเรื่องถูกส่งไปที่สำนักงาน ก.ตร. ในฐานะเป็นเลขานุการ ก.ตร. ซึ่งสำนักงาน ก.ตร. ต้องส่งเรื่องให้ประธานคณะอนุกรรมการ ก.ตร. เกี่ยวกับการร้องทุกข์ ซึ่งมี พล.ต.อ.สุชาติ ธีระสวัสดิ์ รอง ผบ.ตร. เป็นประธาน นำเข้าสู่การพิจารณากับคณะอนุกรรมการ เมื่อพิจารณาเสร็จสิ้นแล้ว เรื่องจะเข้าสู่ ก.ตร. อีกครั้ง
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |