ผวา!ม็อบบานปลาย พลเดชเตือนอย่าเลยเถิด‘ส.ว.’เสียงแตกหั่นอำนาจ


เพิ่มเพื่อน    

 

ซูเปอร์โพลเผย ปชช.ส่วนใหญ่เชื่อปัญหาการเมือง-เศรษฐกิจจะลุกลามบานปลาย หวั่นกลายเป็นสึนามิเชื่อมโยงม็อบประชาชนปลดแอก "พล.ท.นันทเดช" เป่านกหวีดนัดนักเรียนอาชีวะรวมพลที่หน้ารัฐสภา 10 สิงหา.นี้ต่อต้านก๊วนหมิ่นสถาบันฯ  ซัดฝ่ายตรงข้ามจ้องหาเรื่อง "หมอพลเดช" สอนรุ่นน้องอย่าเลยเถิดเชื่อม็อบจุดไม่ติด "วราวุธ" เตือนจะวนกลับไปที่เดิม "ก้าวไกล" กระตุกนายกฯ อย่ามองเยาวชนเป็นศัตรู ปลุกม็อบผู้ใหญ่มาชนบานปลายถึงตัน "เสรี" ขวางตัดอำนาจ ส.ว. ซัด "วันชัย" เป็นเสียงส่วนน้อย ส่วนใหญ่ยังนิ่ง
    เมื่อวันอาทิตย์ที่ 9 สิงหาคม นายนพดล กรรณิกา ผู้อำนวยการสำนักวิจัยซูเปอร์โพล นำเสนอผลสำรวจภาคสนามเรื่อง อารมณ์ประชาชน กรณีศึกษาประชาชนทุกสาขาอาชีพทั่วประเทศ จำนวน  16,099 ตัวอย่าง ในโลกโซเชียล และ “เสียงประชาชนในสังคมดั้งเดิม จำนวน 2,459 ตัวอย่าง ระหว่างวันที่ 5 ถึง 8 สิงหาคมที่ผ่านมา พบว่าส่วนใหญ่หรือร้อยละ 81.6 ระบุปัญหาการเมืองจะรุนแรง ลุกลามบานปลาย ในขณะที่ร้อยละ 18.4 ระบุไม่รุนแรง ในขณะที่ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 87.9 ระบุปัญหาเศรษฐกิจจะรุนแรง ลุกลามบานปลาย คนตกงานเพิ่มขึ้น ในขณะที่ร้อยละ 12.1 ระบุไม่รุนแรง
    ที่น่าเป็นห่วงคือ ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 62.2 ระบุปัญหาทุจริต คอร์รัปชันอยู่ในระดับรุนแรง ในขณะที่ร้อยละ 37.8 ระบุไม่รุนแรง นอกจากนี้ ผลสำรวจพบว่าก้ำกึ่งกันคือ ร้อยละ 49.1 อดทน ยอมรับได้ต่อปัญหาทุจริตคอร์รัปชันถ้าตนเองได้ประโยชน์ ในขณะที่ร้อยละ 50.9 ระบุไม่ทนต่อปัญหาทุจริตคอร์รัปชัน แม้ตนเองจะได้ประโยชน์ก็ตาม
    นายนพดลกล่าวว่า คลื่นอารมณ์ของประชาชนในโลกโซเชียลที่ก่อตัวเกิดขึ้นต่างวันและห้วงเวลาแบบกระจัดกระจาย กำลังมารวมตัวกันในห้วงเวลาเดียวกันเป็นก้อนใหญ่ระหว่างวันที่ 6 สิงหาคมเป็นต้นไป และมีศักยภาพจะกลายเป็นสึนามิได้อย่างน่ากลัว ถ้ามีการเชื่อมโยงกันได้ระหว่างอารมณ์ประชาชนในโลกโซเชียลกับโลกความเป็นจริงตามยุทธการ โดยแต่ละข้อความการเมืองมีช่องทางในการสื่อแตกต่างกัน ในการศึกษาครั้งนี้พบข้อความที่ว่า “คณะประชาชนปลดแอก” ใช้ทวิตเตอร์ร้อยละ 57.2 น้อยกว่าข้อความอื่นๆ เช่น ข้อความที่ว่า “เยาวชนปลดแอก” ใช้ทวิตเตอร์ร้อยละ 91.3 โดยข้อความว่า คณะประชาชนปลดแอก หันไปใช้สำนักข่าวต่างๆ มากถึงร้อยละ 20 แต่ถ้าข้อความที่ว่า “ให้มันจบที่รุ่นเรา” จะใช้อินสตาแกรม ร้อยละ 13.6 และใช้ทวิตเตอร์ร้อยละ 79.8 ในขณะที่ข้อความการเมืองที่ว่า ถ้าไม่สู้ ก็อยู่อย่างทาส ได้ใช้ทวิตเตอร์ร้อยละ 85.2 และใช้วิดีโอร้อยละ 8.8 ตามด้วยข่าวร้อยละ 4 เป็นต้น
      วันเดียวกัน พล.ท.นันทเดช เมฆสวัสดิ์ อดีตกรรมการบริหารพรรครวมพลังประชาชาติไทย (รปช.) อดีตแนวร่วม กปปส. และอดีตหัวหน้าศูนย์ปฏิบัติการพิเศษ ศูนย์รักษาความปลอดภัยแห่งชาติ (ศรภ.) โพสต์ข้อความลงบนเฟซบุ๊กส่วนตัว ระบุว่า "ขอเชิญทุกอาชีพ มากันเอง ออกตังค์เอง แบบเดิมๆ ที่หน้ารัฐสภาใหม่ครับ ทำกิจกรรมสันติวิธี วันจันทร์ที่ 10 เวลา 10.10 น."
    นอกจากนี้ พล.ท.นันทเดชยังโพสต์ภาพพร้อมข้อความของศูนย์กลางประสานนักศึกษา อาชีวะ ประชาชนปกป้องสถาบันฯ หรือ ศอปส. ที่ระบุว่า 10 สิงหาคม ขอเชิญชวนพ่อแม่พี่น้องและเยาวชนทุกท่าน ร่วมกันปกป้องชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ เพื่อแสดงจุดยืนต่อต้านแกนนำที่ปราศรัยหมิ่นสถาบันชาติ และร่วมกันแสดงความรักต่อสถาบันฯ กับบรรดาเหล่าเยาวชน อนาคตของชาติ ณ หน้ารัฐสภา 10.10 น."
จับตาม็อบชนม็อบหน้ารัฐสภา
    พล.ท.นันทเดชเปิดเผยว่า หลังจากเผยแพร่นัดหมายกิจกรรมการรวมตัวกันดังกล่าวที่หน้ารัฐสภาในวันจันทร์นี้ โดยได้ส่งคนไปขออนุญาตทำกิจกรรมที่ สน.บางโพ ตามขั้นตอน รวมถึงมีการประสานกับทางรัฐสภา เพื่อขอทำกิจกรรมดังกล่าวหน้ารัฐสภา ก็ปรากฏว่าทราบข่าวล่าสุดมาว่าจะมีกลุ่มเคลื่อนไหวสนับสนุนให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ก็มีการนัดรวมพลเช่นกัน เพื่อเคลื่อนไหวเรียกร้องให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญและสนับสนุนกิจกรรมแฟลชม็อบ ซึ่งดูแล้วน่าจะมีเจตนาบางอย่าง ทั้งที่ตนและกลุ่มแนวร่วมศูนย์กลางประสานนักศึกษา อาชีวะ ประชาชนปกป้องสถาบันฯ มีการจองเวลา สถานที่ และแจ้งกับตำรวจไว้ล่วงหน้าแล้ว
    "กิจกรรมที่จะทำวันจันทร์นี้ เริ่มจากการแถลงข่าวเพื่อแสดงจุดยืนต่อสถานการณ์ จากนั้นจะร่วมกันร้องเพลงชาติ ร้องเพลงสรรเสริญพระบารมี แล้วก็แยกย้ายกันกลับ ทุกอย่างทำโดยสันติ ผมประเมินแล้วหลังจากนี้เขาจะเคลื่อนไหวแรงขึ้นเรื่อยๆ และจะต้องหาเรื่องก่อกวนให้ได้ เพื่อทำให้รัฐบาลมีการจับกุมคนของฝ่ายนั้น เพื่อให้เกิดอะไรบางอย่างขึ้น" พล.ท.นันทเดชกล่าว
    ขณะเดียวกัน เพจเฟซบุ๊ก “พันธมิตรนิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทย” ซึ่งเป็นแนวร่วมเครือข่ายเดียวกันกับทางกลุ่ม “อาชีวะช่วยชาติ” โพสต์ข้อความว่า พวกเราขอส่งคำเตือนไปยังเพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ นิสิตนักศึกษาทุกคน ที่ชุมนุมร่วมกับกลุ่ม “เยาวชนปลดแอก” หรือกลุ่มต่างๆ ที่เกี่ยวข้องว่าเราได้เฝ้าจับตาดูการเคลื่อนไหวของพวกคุณอย่างใกล้ชิด หากการกระทำของคุณเป็นไปเพื่อสร้างทางออกให้กับประเทศชาติอย่างแท้จริง พวกเราพร้อมที่จะสนับสนุน แต่จากที่ผ่านมา พวกท่านบางคนได้แสดงให้เห็นแล้วว่ามีเจตนาแอบแฝงบางอย่างที่ไม่เป็นผลดีต่อประเทศชาติและสถาบันเบื้องสูงอย่างชัดเจน ดังนั้นขอให้ท่านหยุดการกระทำนั้นเสีย ก่อนที่พวกท่านจะถูกจดจำในประวัติศาสตร์เยี่ยงเยาวชนหลงผิดในอดีตที่เข้าร่วมกับผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ในเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519
    ช่วงเย็น ที่อนุสาวรีย์ท้าวสุรนารี อ.เมืองฯ จ.นครราชสีมา กลุ่มพลังมวลชนที่เรียกตัวเองว่า กลุ่มนักรบเมืองย่า และคนโคราชปกป้องสถาบัน รวมกว่า 50 คน ส่วนใหญ่สวมเสื้อสีเหลือง นำโดยนายประทีป ณ นคร แกนนำกลุ่มนักรบเมืองย่า และนายสมชาย ลิขิตวรสิริ แกนนำกลุ่มคนโคราชปกป้องสถาบัน ร่วมกันจัดกิจกรรมแสดงพลังปกป้องสถาบัน โดยมีการนำภาพพระบรมฉายาลักษณ์ของทั้งสองพระองค์ มีการถือธงชาติโบกสะบัด ก่อนแกนนำยืนอ่านแถลงการณ์เรียกร้องให้เจ้าหน้าที่ดำเนินการกับผู้กระทำผิดกฎหมายไม่ว่ากลุ่มไหน และให้บุคคลหรือกลุ่มที่กำลังจาบจ้วงสถาบันพระมหากษัตริย์ จงหยุดการกระทำโดยเด็ดขาด จากนั้นกลุ่มได้ร่วมกันร้องเพลงชาติจนจบ และตะโกนคำว่า ทรงพระเจริญ 3 ครั้ง ก่อนสลายตัวแยกย้ายเดินทางกลับอย่างสงบ    
    ขณะเดียวกัน ที่ริมตลิ่งแม่น้ำน่าน หน้าวัดพระศรีรัตนมหาธาตุ วรมหาวิหาร หรือวัดใหญ่ ต.ในเมือง อ.เมืองฯ จ.พิษณุโลก กลุ่ม #พิษณุโลกคนกล้า ไม่ก้มหน้าให้เผด็จการ ประมาณ 20 คน ได้รวมตัวกันตามที่มีนัดหมาย โดยมีการแสดงสัญลักษณ์ชู 3 นิ้ว ชูป้ายที่เขียนข้อความแสดงความคิดตามเหตุผลส่วนตัวเพียง 1 แผ่น พร้อมเรียกร้องไม่ให้รัฐบาล-ตำรวจ คุกคามประชาชน และแสดงจุดยืน ออกแถลงการณ์เรื่องการเคลื่อนไหวเพื่อสิทธิเสรีภาพ และประโยชน์ทั้งหลายของประชาชนชาวไทยทุกคน ย้ำใน 3 ข้อเรียกร้องคือ 1.แก้รัฐธรรมนูญ 2.ยุบสภา 3.หยุดคุกคามประชาชน โดยไม่มีแกนนำมาปราศรัย และสลายตัวไปในเวลา 18.00 น.
อย่าผลักนศ.เป็นศัตรู    
     ด้าน นพ.พลเดช ปิ่นประทีป สมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) กล่าวว่า  ควรเปิดเวทีให้นักศึกษาได้แสดงออก แต่นักศึกษาอย่าเลยเถิด ไร้เดียงสา ตนเคยผ่านวัยนักศึกษามาก่อน รู้ดีว่าสุดโต่งเกินไปก็ไม่ชนะ เปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้ ถ้าเปรียบเทียบการชุมนุมของนักศึกษาสมัยก่อนกับปัจจุบันต่างกันมาก สมัยก่อนนักศึกษามาชุมนุมด้วยจิตสำนึกการมีส่วนรวม อุดมการณ์การเมือง ศึกษาเรื่องราวต่างๆ มาอย่างจริงจัง แต่สมัยนี้ไม่ได้เป็นเช่นนั้น เป็นเรื่องการใช้อารมณ์ความรู้สึกมากกว่า การบอกว่ากระแสนักศึกษาจุดติด ลามไปทั่วประเทศนั้น เป็นการติดแบบวูบวาบ ยังไปไม่ถึงขั้นกระแสปฏิวัติมวลชน เชื่อว่าสิ่งที่ทำจะไม่สำเร็จ ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้ และเกรงว่าจะมีแรงต้านออกมา ทำให้สถานการณ์แรงขึ้น คุมกันลำบาก ไม่อยากให้มีความรุนแรงเกิดขึ้น
    นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ หัวหน้าพรรคก้าวไกล กล่าวถึงกรณีการชุมนุมของนักศึกษา และการที่ ส.ส.พรรคก้าวไกลเสนอเตรียมใช้ตำแหน่งประกันตัวประชาชนผู้ชุมนุมที่ถูกดำเนินคดีว่า สิ่งที่พวกเราทำเป็นการปกป้องสิทธิเสรีภาพขั้นพื้นฐานของประชาชน ซึ่งเป็นหลักพื้นฐานตามระบอบประชาธิปไตยและเป็นการเรียกร้องตามหลักสันติวิธี ขอเรียกร้องไปยังรัฐบาล นายกรัฐมนตรี ถึงความจริงใจในการรับฟังความคิดเห็นของประชาชน นักเรียนนักศึกษา อย่ามองประชาชน เยาวชนที่อาจมีความเห็นไม่ตรงกับท่านเป็นศัตรู
    "ต้องยอมรับว่าน้องๆ นักศึกษาและประชาชนที่ออกมาเรียกร้อง ส่วนหนึ่งเกิดจากวิกฤติเศรษฐกิจ วิกฤติทางการเมือง และเป็นเรื่องของวิกฤติศรัทธาด้วย ซึ่งเป็นความล้มเหลวของรัฐบาลที่ไม่สามารถแก้ไขปัญหาต่างๆ ได้ รวมทั้งเรียกร้องเรื่องที่เกี่ยวข้องกับอนาคตของพวกเขา ต้องกลับมามองที่ตัวผู้ใหญ่เองว่ามีอะไรที่จะต้องแก้ไข แทนที่จะมีความพยายามในการใช้ปฏิบัติการไอโอ สร้างการยุยง ปลุกปั่น เพื่อให้มีม็อบผู้ใหญ่ออกมาชนกับม็อบของเยาวชน จะทำให้สถานการณ์บานปลาย และประเทศก็จะถึงทางตัน" นายพิธากล่าว
        ร.ต.อ.วัฒนรักษ์ อำนรรฆสรเดช กรรมการกิจการพิเศษและหัวหน้าศูนย์ข้อมูลสารสนเทศ พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า จากการชุมนุมของกลุ่มเยาวชนปลดแอกเมื่อวันที่ 18 ก.ค.ที่ผ่านมา ทำให้เกิดการชุมนุมย่อยๆ หรือที่เรียกว่าแฟลชม็อบตามมา กระแสการเคลื่อนไหวนี้ลุกลามเร็วราวกับไฟลามทุ่งไปทั่วประเทศกว่า 47 จังหวัด ล่าสุดได้เปิดตัวเป็นกลุ่มประชาชนปลดแอกตามทฤษฎีผีเสื้อขยับปีก (Butterfly Effect) กระแสที่เกิดขึ้นนี้ยังดึงดูดผู้มีอุดมการณ์ร่วมกัน  ไม่ว่าจะวัยหนุ่มสาวหรือวัยอื่นๆ ให้ลุกขึ้นมาขับไล่รัฐบาลจากการบริหารงานที่ล้มเหลวมากว่า 6 ปี ถ้าหากรัฐบาลของ พล.อ.ประยุทธ์ยังไม่ดำเนินการตามข้อเรียกร้อง สถานการณ์อาจบานปลายจนถึงขั้นที่รัฐบาลอยู่ยาก แต่หาก พล.อ.ประยุทธ์ เข้าถึง เข้าใจ และพร้อมแก้ไขปัญหาร่วมกับประชาชน คงไม่สายเกินไปที่จะกลับตัวกลับใจ เปลี่ยนวิธีการบริหารประเทศของตัวเองเสียใหม่
    นายสุระ เตชะทัต เลขาธิการพรรคพลังชล กล่าวว่า การนัดหมายชุมนุมใหญ่ของกลุ่มนิสิตนักศึกษาในวันที่ 16 ส.ค. ขอเรียกร้องให้รัฐบาล เจ้าหน้าที่ ดูแลให้เกิดความเรียบร้อย อย่าทำให้เกิดการกระทบกระทั่งกัน อย่าไปกดดันทั้งแกนนำผู้ที่จะมาชุมนุม บุคคลในครอบครัว รัฐบาลควรรับฟังข้อเรียกร้องของผู้มาชุมนุมแล้วนำไปพิจารณา ขณะเดียวกันผู้มาชุมนุมก็ต้องเคารพกฎหมาย เคลื่อนไหวให้อยู่ในกรอบกติกา ซึ่งแต่ละฝ่ายควรต้องเคารพซึ่งกันและกัน อย่างไรก็ดี ก่อนการเลือกตั้งได้มีการเรียกร้องให้มีการปฏิรูปประเทศเพื่อนำไปสู่ความปรองดอง ขอถามว่ารัฐบาลได้ทำแล้วหรือยัง ถ้าทำ ทำไปถึงไหนแล้ว
ชทพ.เตือนจะวนกลับที่เดิม
    ที่โรงแรมมิราเคิล แกรนด์ คอนเวนชั่น พรรคชาติไทยพัฒนา จัดการประชุมใหญ่สามัญประจำปี 2563 โดย น.ส.กัญจนา ศิลปอาชา หัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนา (ชทพ.) ทำหน้าที่ประธานในที่ ประชุม โดย น.ส.กัญจนากล่าวตอนหนึ่งว่า รัฐธรรมนูญทุกฉบับมีทั้งจุดแข็ง ข้อดี และมีทั้งที่เมื่อใช้ไประยะหนึ่งก็พบว่ามีปัญหา ซึ่งรัฐธรรมนูญฉบับปี 60 ก็เช่นกัน พรรคชาติไทยพัฒนาเห็นว่ารัฐธรรมนูญฉบับนี้มีประเด็นที่มีปัญหาและสมควรได้รับการแก้ไข แต่จะแก้ไขในเนื้อหาอะไรบ้างในกระบวนการแก้ไขแบบใดนั้น เราขอฟังข้อเสนอแนะของคณะกรรมาธิการพิจารณาแนวทางแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ ที่ทางรัฐบาลได้จัดตั้งขึ้นก่อน จึงจะมาประชุมและกำหนดท่าทีก่อนจะเป็นความคิดเห็นของพรรคชาติไทยพัฒนาอีกครั้งหนึ่ง
    นายวราวุธ ศิลปอาชา รมว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม แกนนำพรรค ชทพ. ให้สัมภาษณ์ถึงข้อเรียกร้องของกลุ่มนักเรียน นิสิต นักศึกษา ที่ให้หยุดคุกคาม แก้ไขรัฐธรรมนูญ และยุบสภา ว่าสิ่งที่ต้องตระหนักคือการแก้ปัญหาอย่างใดอย่างหนึ่งนั้นคงต้องมองภาพรวมว่าเรียกร้องแล้วสิ่งที่แก้ปัญหาไปก่อให้เกิดปัญหาใหม่หรือไม่ หรือว่าเมื่อแก้ปัญหาไปแล้วจะสู่จุดเดิมหรือไม่  หากกลับไปอยู่ที่เดิม ก็จะเป็นการเปลืองทั้งแรงกายและความตั้งใจจริงของกลุ่มนักเรียนนักศึกษา เพราะแต่ละข้อเรียกร้องเป็นไปด้วยความตั้งใจและหวังดี อยากเห็นความก้าวหน้าของประเทศ แต่บางครั้งสิ่งที่คิดกับสิ่งที่สามารถทำได้จริงนั้นมันยังคลาดเคลื่อนในความเป็นจริงอยู่บ้าง บางครั้งอยากจะทำ แต่มันทำไม่ได้อย่างที่คิด ดังนั้นต้องมีความอดทน ค่อยแก้กันไปทีละเปลาะ
    นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ รองหัวหน้าพรรค และประธาน ส.ส. พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) กล่าวว่า พรรค ปชป.ไม่เห็นด้วยกับรัฐธรรมนูญนี้มาตั้งแต่ต้น และเห็นว่าควรมีการแก้ไข จึงได้เสนอให้การแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 256 ซึ่งอยู่ในหมวด 15 ว่าด้วยการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ เพื่อให้การแก้ไขรัฐธรรมนูญเป็นไปได้ และขณะนี้ กมธ.วิสามัญศึกษาแก้ไขรัฐธรรมนูญฯ ที่มีกรรมาธิการจากเกือบทุกพรรคก็เห็นด้วย พรรคร่วมฝ่ายรัฐบาล พรรคร่วมฝ่ายค้าน รวมไปถึงวิปของสมาชิกวุฒิสภา ควรไปประชุมปรึกษาหารือร่วมกันเพื่อหาแนวทางในทิศทางเดียวกัน และนำสรุปเสนอต่อสาธารณชน ส่วนกรณีที่นายวันชัย สอนศิริ ส.ว. เสนอแก้ไขรัฐธรรมนูญไม่ให้ ส.ว.มีอำนาจโหวตเลือกนายกฯ นับเป็นเรื่องดีที่ส.ว.มองเห็นจุดอ่อนของเรื่องนี้ที่ควรมีการแก้ไข สำหรับข้อเสนอที่ให้ผู้นำเหล่าทัพมาเป็น ส.ว.โดยตำแหน่งนั้น ไม่เห็นด้วยมาตั้งแต่ต้น เชื่อว่าไม่สามารถป้องกันการรัฐประหารได้ และการไม่มีผู้นำเหล่าทัพเป็น ส.ว.คงไม่มีผลกระทบอะไรกับการทำงานของ ส.ว. โดยรวม
    นายเทพไท เสนพงศ์ ส.ส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า เมื่อทั้ง 3 ฝ่ายคือ รัฐบาล ส.ส. ส.ว. เห็นพ้องต้องกันว่าถึงเวลาแล้วที่ต้องรีบผลักดันหรือสังคายนาแก้ไขรัฐธรรมนูญเสียใหม่ก็ควรจะเร่งหาข้อสรุปในการแก้ไขให้เร็วที่สุด ให้เป็นไปตามกระแสเรียกร้องของสังคม ไม่ควรจะยืดเยื้อซื้อเวลาอีกต่อไป เพราะจะสร้างความเสียหายให้กับประเทศชาติอย่างน่าเสียดาย
"เสรี"ขวางตัดอำนาจ ส.ว.
    ด้านนายเสรี สุวรรณภานนท์ ส.ว. ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการพัฒนาการเมือง วุฒิสภา กล่าวถึงกรณีนายวันชัย สอนศิริ ส.ว. เสนอให้แก้รัฐธรรมนูญยอมให้ตัดอำนาจ ส.ว.โหวตเลือกนายกฯ ว่า เป็นความเห็นส่วนตัวของนายวันชัยที่วิเคราะห์จากสถานการณ์การเมือง เสียง ส.ว.ที่แสดงความเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยกับการแก้รัฐธรรมนูญเป็นเสียงส่วนน้อย แต่เสียง ส.ว.ส่วนใหญ่ยังนิ่งรอดูสถานการณ์อยู่ ส.ส.ยังเห็นไม่ตรงกัน ถ้า ส.ว.รีบเสนออะไรไป โดยยังไม่มีข้อยุติ จะยิ่งสร้างความขัดแย้งมากขึ้น และต้องดูว่า ส.ว.มาโดยรัฐธรรมนูญ มีภารกิจปฏิรูปประเทศ ติดตามยุทธศาสตร์ชาติ เลือกนายกฯ ที่กำหนดเป้าหมายไว้แต่แรก
    "ดังนั้นการจะเปลี่ยนแปลงอะไรต้องรอบคอบ จะดูกระแสอย่างเดียวไม่ได้ ต้องว่าด้วยเหตุผล โดยเฉพาะการไม่ให้ ส.ว.โหวตเลือกนายกฯ ต้องเป็นไปโดยความเห็นพ้องต้องกัน รัฐธรรมนูญนี้ผ่านประชามติมา ต้องเคารพเสียงประชาชน จะแก้ได้ก็ต้องเป็นความเห็นพ้องต้องกัน" และว่า ข้อเรียกร้องการแก้รัฐธรรมนูญเรื่อง ส.ว.ขณะนี้ เป็นเรื่องของที่มา ส.ว.ไม่ถูกใจจึงออกมาเรียกร้อง แต่ไม่ได้ดูเรื่องเหตุผล บวกกับปัญหาการเมืองที่บางพรรคถูกยุบพรรค กรรมการบริหารพรรคถูกตัดสิทธิโดยรัฐธรรมนญฉบับนี้ เลยอยากให้รื้อใหม่หมด
    ส่วน นพ.พลเดช ปิ่นประทีป ส.ว. กล่าวว่า ข้อเสนอนายวันชัยนั้น ความจริง ส.ว.ไม่ได้เป็นเอกภาพ มีความเห็นแตกต่างกัน ส่วนตัวไม่ขัดข้องถ้าจะแก้รัฐธรรมนูญไม่ให้โหวตเลือกนายกฯ ผลออกมาเป็นอย่างไร พร้อมยอมรับ ตนพร้อมโหวตแก้ให้ แต่ให้มาคุยกันก่อน จะแก้ไขประเด็นใด แก้ทั้งฉบับหรือบางประเด็น เพราะรัฐธรรมนูญไม่ใช่ไม่ดีทั้งฉบับ ส่วนดีก็มีเยอะ ขอให้มาคุยกัน อย่ามาขู่กัน เพราะไม่มีใครกลัวใคร การระบุว่าอำนาจ ส.ว.เป็นส่วนหนึ่งของความขัดแย้งนั้น แล้วแต่จะมอง แต่อำนาจ ส.ว.เป็นไปตามบท เฉพาะกาล 5 ปี ให้ทำหน้าที่ติดตามการปฏิรูปประเทศ เชื่อว่ากว่าจะแก้รัฐธรรมนูญเสร็จก็เข้าไปที่ 2-4 ของรัฐบาลแล้ว ตอนนั้น ส.ว.ใกล้หมดเวลาแล้ว อย่าใจร้อนเกินไป ควรให้ ส.ว.ทำหน้าที่ครบ 5 ปี เดี๋ยวก็ต้องไป" นพ.พลเดชกล่าว
    นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด โฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า การที่ส.ว.ออกมาเสนอแนวทางในการตัดสิทธิ์การโหวตเลือกนายกฯ รวมถึงการตัดเก้าอี้ ผบ.เหล่าทัพที่เป็น ส.ว. โดยตำแหน่ง 6 คนออกไป ต้องกลับไปถาม พล.อ.ประยุทธ์ ที่เป็นคนตั้ง ส.ว.ว่าเห็นชอบกับแนวทางนี้หรือไม่ หากยิ่งปล่อยเวลานานให้สถานการณ์การชุมนุมยืดเยื้อออกไป ที่สุดรัฐบาลอาจจะไม่สามารถควบคุมได้  และอาจส่งผลถึงการเกิดอุบัติเหตุทางการเมืองจนรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ต้องพ้นไปในที่สุด แนวทางใดที่จะแก้ไขรัฐธรรมนูญให้เร็วที่สุด ประชาชนยอมรับมากที่สุด ทุกฝ่ายควรร่วมมือกันหาทางออก แล้วยุบสภาเลือกตั้งใหม่ หากไม่แก้ไขรัฐธรรมนูญ ที่เป็นต้นตอของปัญหา แทบไม่มีหนทางที่จะนำพาประเทศชาติและประชาชนออกจากวิกฤติ วังวนแห่งความขัดแย้ง
         น.ส.ทิพานัน ศิริชนะ อดีตโฆษกพรรคพลังประชารัฐ กล่าวว่า พล.อ.ประยุทธ์พร้อมสนับสนุนให้มีการแก้ไข และจะมีการเสนอร่างรัฐธรรมนูญควบคู่ไปกับร่างของคณะกรรมาธิการศึกษาแนวทางการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ที่มีนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค เป็นประธานด้วย จะเห็นได้ว่ารัฐบาลไม่ได้เพิกเฉยต่อเสียงเรียกร้องของประชาชน หากแต่ตอนนี้เป็นขั้นตอนในส่วนของคณะกรรมาธิการขับเคลื่อนไปก่อน ส่วนการเรียกร้องให้ยุบสภาในช่วงเวลานี้ น่าจะไม่เป็นผลดีต่อประเทศ โดยเฉพาะการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ ซึ่งจะเป็นการซ้ำเติมวิกฤติ
    น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า นายกรัฐมนตรีเผยว่ารัฐมนตรีที่ได้รับพระมหากรุณาธิคุณโปรดเกล้าฯ พร้อมปฏิบัติงานทันที ซึ่งภายหลังการเข้าเฝ้าฯ ถวายสัตย์ปฏิญาณตน จะมีการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เพื่อสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับการปฏิบัติงานในตำแหน่ง พร้อมอธิบายแนวทางการขับเคลื่อนภาพรวมของรัฐบาล ให้การทำงานเป็นไปในทิศทางเดียวกัน และรับข้อสั่งการจากนายกรัฐมนตรีไปขับเคลื่อน รวมถึงถือโอกาสพบปะ ครม.ทั้งคณะด้วย
     "นายกรัฐมนตรีขอให้เชื่อมั่นว่า ครม.ใหม่ผ่านการพิจารณามาเป็นอย่างดีแล้ว ทุกคนล้วนมีประสบการณ์ด้านการบริหารระดับสูงมาแล้วทั้งสิ้น มีความรู้ความสามารถเหมาะสมกับตำแหน่ง เชื่อว่าจะสามารถสานต่องานทันทีโดยไม่สะดุด และริเริ่มโครงการใหม่ๆ ได้อย่างต่อเนื่อง" น.ส.ไตรศุลีกล่าว.

 


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"