วุฒิสภารุกรัฐบาล! ‘คำนูณ’แนะเปิดอภิปรายทั่วไป‘วันชัย’ชงหั่นทหารในส.ว.ทิ้ง


เพิ่มเพื่อน    

 

วุฒิสภารุกหนัก "คำนูณ" ไม่อ้อมค้อมหวั่นประเทศเข้าสู่สถานการณ์วิปโยค ทับซ้อนบนมหาวิกฤติเศรษฐกิจครั้งใหญ่ในรอบ 100 ปี เสนอ "บิ๊กตู่"  รีบขอเปิดสภาอภิปรายทั่วไป แลกเปลี่ยนข้อมูลและความคิดเห็นระหว่างรัฐบาล ส.ส.และ ส.ว. ด้าน "วันชัย" ชงแก้รัฐธรรมนูญ ตัดทิ้งอำนาจ ส.ว.โหวตเลือกนายกฯ ห้าม ผบ.เหล่าทัพเป็นสมาชิกวุฒิสภา
    เมื่อวันที่ 8 สิงหาคม นายคำนูณ สิทธิสมาน สมาชิกวุฒิสภา แสดงความเห็นผ่านเฟซบุ๊กว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ควรเร่งเสนอขอเปิดอภิปรายทั่วไปในรัฐสภา โดยมีเนื้อหาว่า วันนี้ขอพูดอย่างไม่อ้อมค้อมว่าผู้คนกำลังกังวลกันถึงแนวโน้มของเหตุการณ์ 14 ตุลารอบ 2 หรือไม่ก็ 6 ตุลารอบ 2 ทำอย่างไรจะยับยั้งได้ เพราะถ้ายับยั้งไม่ได้แล้วเกิดขึ้นทับซ้อนบนมหาวิกฤติเศรษฐกิจครั้งใหญ่ในรอบ 100 ปี จินตนาการไม่ออกเลยว่าจะทุกข์ยากแสนสาหัสกันขนาดไหน
    นายคำนูณชี้ว่าา ความขัดแย้งร้อนแรงคุกรุ่นรอบด้านและพัฒนาเร็วมากอย่างนี้ ความเห็นเบื้องต้นทั้งในฐานะสมาชิกวุฒิสภาคนหนึ่ง และในฐานะคนไทยคนหนึ่งที่จะขออนุญาตเสนอท่านนายกรัฐมนตรีก็คือ โดยหลักแล้วต้องพยายามประคองสถานการณ์ให้ได้รับการแก้ปัญหาให้ได้มากที่สุดในเวทีรัฐสภา โดยกลไกของรัฐสภา และกลไกของรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน เพราะไม่ว่าจะต้องการแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับนี้กันอย่างไร รายประเด็นหรือตั้งสภาร่างรัฐธรรมนูญกันอีกครั้ง ก็ต้องเริ่มต้นด้วยการใช้วิธีการที่รัฐธรรมนูญกำหนดไว้เป็นปฐม
    ซึ่งทำให้ไม่ว่าจะรังเกียจวุฒิสภาชุดนี้กันอย่างไร หรือจะรีบร้อนไล่ส่งกันอย่างไร แต่ก็ต้องใช้เสียงของสมาชิกวุฒิสภาอย่างน้อย 84 เสียง ก่อนในการลงมติเห็นด้วยกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้งวาระ 1 และวาระ 3 พยายามใช้รัฐสภาเป็นเวทีประนอมอำนาจก่อนดีกว่า
    "นายกรัฐมนตรีริเริ่มได้ โดยใช้อำนาจตามรัฐธรรมนูญมาตรา 165 เสนอต่อประธานรัฐสภา ขอให้เรียกประชุมรัฐสภาเพื่อเปิดอภิปรายทั่วไป เป็นการแลกเปลี่ยนข้อมูลและความคิดเห็นระหว่างนายกรัฐมนตรีกับสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและสมาชิกวุฒิสภา และอาจจะจบลงด้วยการเสนอตั้งคณะกรรมาธิการร่วมกันของรัฐสภา จะชุดเดียวหรือมากกว่าก็ได้ ให้เวลาจำกัดไว้ ไปร่วมแสวงหาหนทางในรายละเอียดต่อไป ไม่เว้นแม้แต่หนทางในการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่จะเป็นฉันทมติร่วมกัน และแน่นอนรวมทั้งหนทางอื่นๆ ในการประสานความคิดที่แตกต่างให้สามารถเดินร่วมกันได้"
    นายคำนูณเผยว่า สารัตถะของมาตรา 165 มีดังนี้ “มาตรา 165 ในกรณีที่มีปัญหาสําคัญเกี่ยวกับการบริหารราชการแผ่นดินที่คณะรัฐมนตรีเห็นสมควรจะฟังความคิดเห็นของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและสมาชิกวุฒิสภา นายกรัฐมนตรีจะแจ้งไปยังประธานรัฐสภาขอให้มีการเปิดอภิปรายทั่วไปในที่ประชุมร่วมกันของรัฐสภาก็ได้ ในกรณีเช่นว่านี้ รัฐสภาจะลงมติในปัญหาที่อภิปรายมิได้” ทำเสียแต่วันนี้ ยังไม่สาย
    ขณะที่นายวันชัย สอนศิริ สมาชิกวุฒิสภา ให้ความเห็นว่า เป็นที่แน่ชัดว่าทั้งฝ่ายรัฐบาล ฝ่ายค้าน มีแนวทางตรงกันว่าจะแก้รัฐธรรมนูญ เพียงแต่ละฝ่ายจะมีเงื่อนไขบางเรื่องบางประเด็นและระยะเวลาเท่านั้น นั่นก็หมายความว่าเรื่องการแก้รัฐธรรมนูญคงไม่ใช่เงื่อนไขที่จะเป็นปัญหาอีกต่อไป สถานการณ์ตอนนี้ ทั้งภัยธรรมชาติ เศรษฐกิจ สังคมและการเมือง ทั้งภายในและภายนอก เราหมดเวลาที่จะทะเลาะกัน แบ่งแยกแตกสามัคคี ประเทศเราหายนะมามาก เสียเวลามามาก เลิกทะเลาะเบาะแว้งขัดแย้งกันได้แล้ว ถ้าทุกฝ่ายลดละความเห็นแก่อำนาจและผลประโยชน์ของตน เอาประเทศและประชาชนเป็นตัวตั้ง ทุกสิ่งทุกอย่างมันก็เดินไปได้   
       ส.ว.ผู้นี้ระบุว่า เรายังมีเรื่องอื่นอีกเยอะที่ยังเห็นไม่ตรงกัน แต่เรื่องรัฐธรรมนูญทุกฝ่ายมีเป้าหมายตรงกันว่าจะต้องแก้ ก็รีบเดินหน้าไปเลย เพื่อจะได้ลดความขัดแย้งลงไปเปลาะหนึ่ง อย่างที่ผมว่ามาแล้ว ไม่ต้องแก้ทั้งฉบับหรอก รัฐบาล ฝ่ายค้าน และ ส.ว.รวมทั้งฝ่ายอื่นๆ มีประเด็นมีปัญหาอะไรต้องการแก้ตรงไหนว่ากันมาเลย เอากันให้ชัดๆ ตรงๆ ไม่ต้องอ้อมค้อม เมื่อเห็นตรงกันก็เดินไปเลยจะได้เร็ว จะได้เห็นผลทันต่อสถานการณ์ ไม่ใช่ปล่อยไว้ให้เป็นระเบิดเวลา เพราะตอนนี้ดูๆ แล้วสถานการณ์กำลังแรงขึ้น ขืนชักช้าอาจไม่ทันแก้ก็ได้ ดังนั้นอะไรทำได้รีบทำเสียก่อนที่จะสายเกินแก้
        "มีคนถามผมมาเยอะว่าที่เป็น ส.ว.มา เห็นประเด็นปัญหาอะไรในรัฐธรรมนูญ ถ้าจะแก้จะเสนอในส่วนใดก็ขอบอกเลยในฐานะส่วนตัว ไม่เกี่ยวกับคนอื่นคือเรื่องโหวตนายกฯ ในสถานการณ์ตอนนั้นเราคิดว่าน่าจะใช่ เพื่อเอารัฐสภามาร่วมด้วยช่วยกันในระยะเปลี่ยนผ่าน แต่ ณ วันนี้ และความเป็นจริงเห็นแล้วว่าการที่ ส.ว.จะโหวตให้ใครเป็นนายกฯ เขาก็ต้องมีเสียงในสภาผู้แทนราษฎรเกินกว่ากึ่งหนึ่ง เราจึงโหวตให้ ถ้ามีเสียงไม่ถึงกึ่งหนึ่งขืนโหวตให้ ส.ว.ก็คงเสียผู้เสียคน"
    นายวันชัยเผยว่า การดำรงอยู่ของรัฐบาลจะอยู่ได้หรือไม่ได้ก็อยู่ที่เสียงของสภาผู้แทนราษฎร ไม่ได้เกี่ยวกับเสียงของ ส.ว.เลย อย่างที่เห็นอย่างที่เป็นอยู่ในขณะนี้นี่แหละ ใครจะเป็นรัฐบาลก็ต้องมีเสียงเกินกว่า 250 เสียง ส.ว.ไม่ได้ไปกำหนดอะไรได้เลย เมื่อสถานการณ์และความจริงเป็นเช่นนี้ ทั้งเรามีเป้าหมายตรงกันเพื่อความเป็นประชาธิปไตยตามรัฐธรรมนูญ ถ้าจะแก้ในส่วนนี้ ผมเห็นด้วยและไม่ขัดข้องด้วยข้อเท็จจริงและบริบทที่เปลี่ยนไป และลดปัญหาดับไฟแห่งความขัดแย้งของประเทศ ไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องหวงอำนาจหรือผลประโยชน์อื่นใด
    "อย่างที่ว่าเอาผลประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชนเป็นที่ตั้ง แม้แต่เรื่อง ผบ.เหล่าทัพเป็น ส.ว.โดยตําแหน่ง 6 คน เท่าที่ใช้รัฐธรรมนูญมาปีเศษ ผมว่าสร้างภาระและสร้างปัญหาให้กับท่านไปเปล่า เพราะคนเหล่านั้นมีตำแหน่งหน้าที่และความรับผิดชอบมากมายเกินกว่าที่จะมาร่วมประชุมได้ 2-3 วัน หรือหามรุ่งหามค่ำเหมือน ส.ส. ส.ว. ให้ท่านกลับไปทำหน้าที่ของท่านอย่างเต็มที่ดีกว่าไหมครับ ท่านจะได้ไม่ถูกข้อครหา และอีกเรื่องหนึ่งคือองค์กรอิสระ ทั้งคุณสมบัติและกระบวนการสรรหาก็น่าจะมีการปรับปรุงเปลี่ยนแปลง เพราะบางองค์กรกว่าจะหาได้ก็ยากลำบาก หาคนมาสมัครยาก หรือยังหาไม่ได้จนกระทั่งทุกวันนี้ ไปๆ มาๆ ก็จำต้องเลือกเพราะหาตัวเลือกไม่ได้"
         นายวันชัยระบุด้วยว่า คนอื่นอาจจะเห็นประเด็นเห็นปัญหามากกว่านี้ก็ได้ ก็อย่างที่ว่านั่นแหละ คนร่างไม่ได้ใช้ คนใช้ไม่ได้ร่าง และเมื่อใช้มาแล้วเห็นปัญหาและเป็นประเด็นของความขัดแย้งก็จัดการแก้ไขมันซะ ไม่เห็นจะเสียหายอะไร และไม่มีใครได้หน้าเสียหน้า มีแต่ความสงบเรียบร้อยและความรักความสามัคคีของประชาชนในประเทศ ถือว่าดับไฟแห่งความขัดแย้งไปได้กองหนึ่ง ดีกว่าที่จะปล่อยให้มันลุกลามเป็นเรื่องราวใหญ่โต ไหม้ประเทศ ไหม้ประชาชนต่อไป
รัฐบาลยินดีแก้รัฐธรรมนูญ
    นายธนกร วังบุญคงชนะ อดีตเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และอดีตโฆษกพรรคพลังประชารัฐ กล่าวถึงกรณีที่ น.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ เลขาธิการพรรคเพื่อไทย ระบุว่า หาก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เตะถ่วงรัฐธรรมนูญ จะทำให้ประชาชนไปร่วมม็อบว่า ไม่ทราบว่า น.อ.อนุดิษฐ์ไปอยู่ไหนมาถึงไม่ทราบว่าพล.อ.ประยุทธ์สนับสนุนให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ท่านนายกฯ ก็บอกแล้วว่ารอให้คณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาปัญหา  หลักเกณฑ์ และแนวทางแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญปี 60 เสนอมา ไม่ได้มีการเตะถ่วงหรือขัดขวาง แต่ทุกอย่างต้องเป็นไปตามขั้นตอน ที่สำคัญการแก้รัฐธรรมนูญไม่ได้ขึ้นอยู่กับ พล.อ.ประยุทธ์เพียงคนเดียว แต่ขึ้นอยู่กับทุกภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็น ส.ส. ส.ว. ที่สำคัญคือพี่น้องประชาชนทั่วประเทศ ดังนั้น น.อ.อนุดิษฐ์จะให้พล.อ.ประยุทธ์สั่งให้แก้รัฐธรรมนูญได้อย่างไร ทั้งนี้ การแก้รัฐธรรมนูญ หากจะให้สำเร็จต้องจริงใจ อย่าสร้างเงื่อนไขที่จะนำไปสู่ความขัดแย้ง
         นายธนกรกล่าวอีกว่า ส่วนกรณีที่ น.อ.อนุดิษฐ์อ้างว่าหากไม่เร่งแก้รัฐธรรมนูญจะทำให้ประชาชนไปร่วมชุมนุมทั่วประเทศนั้น เป็นการพูดเพื่อหวังผลทางการเมืองเพียงอย่างเดียวโดยไม่สนใจความเสียหายที่เกิดขึ้นกับประเทศ วันนี้รัฐบาลยินดีที่จะให้มีการแก้รัฐธรรมนูญ ส่วนจะแก้แบบไหน อย่างไร ทุกฝ่ายจะต้องหารือกัน อย่าพยายามใช้เรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญเป็นเงื่อนไขในการดิสเครดิตรัฐบาล ตนไม่เข้าใจเจตนาของ น.อ.อนุดิษฐ์ ก่อนหน้านี้ก็เรียกร้องให้ พล.อ.ประยุทธ์ฟังเสียงนักศึกษาบ้าง แต่พอ พล.อ.ประยุทธ์จะเปิดเวทีรับฟังนักศึกษา น.อ.อนุดิษฐ์ก็กลับบอกว่าเสียเวลา
    "ผมเห็นด้วยในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ แต่ต้องฟังเสียงประชาชนทั่วประเทศ ควรแก้ในสิ่งที่เป็นปัญหา สิ่งดีๆ มากมายก็เก็บไว้ จะแก้อย่างไรก็หารือกัน แต่ไม่อยากให้นำเรื่องนี้มาเป็นเงื่อนไขที่จะนำไปสู่ความขัดแย้งอีก ประเทศบอบช้ำมามากแล้ว" นายธนกรกล่าว
    ที่หอประชุมเทศบาลนครนครศรีธรรมราช นายสุภรณ์ อัตถาวงศ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำนายกรัฐมนตรี เป็นประธานรับคืนป้ายหมู่บ้านเสื้อแดง 14 จังหวัดภาคใต้ และมอบป้ายหมู่บ้านวิสาหกิจชุมชนคนท้องถิ่น เรารักประเทศไทย ตามคำเชิญของนายอานนท์ แสนน่าน อดีตประธานหมู่บ้านเสื้อแดงแห่งประเทศไทย ซึ่งปัจจุบันต้องการสลายสีเสื้อและหันมาร่วมงานกับรัฐบาลในการสนับสนุนกลุ่มวิสาหกิจชุมชนฯ ตามแนวหลักเศรษฐกิจพอเพียงและทฤษฎีใหม่ ช่วยเหลือเกษตรกรที่เป็นสมาชิกกลุ่มทั้ง 4 ภาคของประเทศไทย
    โดยนายสุภรณ์ได้นำสมาชิกผู้ร่วมงานประมาณ 1,000 คน กล่าวปฏิญาณตนในการรวมพลังเป็นหนึ่งเดียวกันร่วมมือกันปกป้องชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และเดินตามแนวทาง "รวมไทย สร้างชาติ" ของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม
    จากนั้นกล่าวปราศรัยกับมวลชนที่มาร่วมงานว่า ต้องขอบคุณพี่น้องประชาชนทั้ง 14 จังหวัดในภาคใต้ ที่เป็นตัวแทนของคนที่รักหวงแหนแผ่นดินไทยที่เดินทางมาในวันนี้ รัฐบาลภายใต้การนำของ พล.อ.ประยุทธ์ มีความห่วงใยพี่น้องประชาชนคนไทยทุกคน รัฐบาลได้ทุ่มเททุกสรรพกำลังโดยให้งบประมาณลงสู่พี่น้องคนไทยทุกกลุ่มที่กำลังได้รับความเดือดร้อนจากวิกฤติโควิด ที่ส่งผลกระทบต่อความเป็นอยู่ของพี่น้องประชาชนตลอดระยะเวลา 5-6เดือนที่ผ่านมา ซึ่งนายกฯ และรัฐบาลไม่เคยนิ่งนอนใจ หาแนวทางช่วยเหลือและเยียวยาให้มากที่สุดเท่าที่จะดำเนินการได้ เพื่อให้กระทบความเป็นอยู่การดำรงชีพของประชาชนให้น้อยที่สุด
    "วันนี้นายกฯ มีแนวนโยบายรวมไทยสร้างชาติ เพื่อเชิญชวนคนไทยทุกกลุ่มทุกภาคส่วน มาร่วมมือร่วมแรงร่วมใจกันขับเคลื่อนประเทศให้เดินไปข้างหน้า เพื่อให้ประชาชนอยู่ดีกินดี และให้ประชาชนมีอาชีพมีรายได้หมดหนี้หมดสิน การรวมกลุ่มกันของแกนนำ 14 จังหวัดภาคใต้เพื่อสลายสีเสื้อ ไม่มีความขัดแย้งกัน เพื่อความสามัคคีปรองดองของคนในชาติ ถือเป็นเรื่องที่ดี รัฐบาลจึงสนับสนุนในการส่งเสริมกลุ่มวิสาหกิจชุมชน ตามแนวทางพระราชดำริทฤษฎีใหม่และเศรษฐกิจพอเพียง เพื่อให้เกษตรมีอาชีพมีรายได้ อย่างมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืนตลอดไป" นายสุภรณ์กล่าว
สมบัติผลัดกันชม
     นายสุภรณ์ยังกล่าวถึงกรณีที่นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด โฆษกพรรคเพื่อไทย ออกมาวิพากษ์วิจารณ์ถึงการคัดเลือกรัฐมนตรีคนใหม่ของนายกรัฐมนตรี ทำให้ประชาชนรู้สึกพะอืดพะอมว่านายอนุสรณ์ไม่ควรไปคิดแทนประชาชนว่ารู้สึกอย่างไร ทั้งที่ยังไม่ได้เห็นผลงานและฝีมือของรัฐมนตรีคนใหม่ อย่าเพิ่งวิจารณ์จะดีกว่า คนที่รู้สึกพะอืดพะอมก็น่าจะเป็นนายอนุสรณ์ หรือพรรคเพื่อไทยเท่านั้น เพราะไม่ว่าจะเลือกใครมาเป็นรัฐมนตรี พรรคเพื่อไทยก็คงไม่ถูกใจทั้งนั้น เนื่องจากเป็นพรรคฝ่ายค้านที่ต้องค้านในทุกเรื่อง โดยไร้เหตุผลอยู่แล้ว ขณะเดียวกันรัฐมนตรีใหม่ที่เข้ามาก็ถือว่ามีความเสียสละอย่างมาก ที่จะช่วยแก้ไขปัญหาให้กับบ้านเมืองหลังสถานการณ์โควิด-19 คลี่คลายลง เพราะถือว่าเป็นงานที่หนักมาก ดังนั้นจึงต้องให้โอกาสรัฐมนตรีได้ทำงานพิสูจน์ฝีมือก่อน
    "ยืนยันว่านายกรัฐมนตรีได้คัดเลือกบุคคลที่มีความรู้ ความสามารถ มีฝีมือ เข้ามาแก้ไขปัญหาให้บ้านเมือง แต่ยอมรับว่าเป็นเรื่องปกติที่รัฐบาลมาจากการเลือกตั้งจะมีพรรคร่วมรัฐบาลหลายพรรค และจะต้องมีรัฐมนตรีที่มาจากฝ่ายการเมือง ซึ่งเรื่องนี้พรรคเพื่อไทยคงเข้าใจดี เพราะเคยเป็นรัฐบาลมาหลายสมัย และก็มีการปรับ ครม.บ่อยครั้ง ซึ่งก็ไม่แน่ใจว่าในสมัยพรรคเพื่อไทยนั้น ประชาชนรู้สึกพะอืดพะอมด้วยหรือไม่ เพราะเห็นปรับบ่อยๆ ทุก 6เดือน เหมือนกับเล่นเก้าอี้ดนตรี สมบัติผลัดกันชม โดยไม่สนใจหรือแคร์ความรู้สึกของประชาชนเลยสักนิด รัฐบาลในสมัยพรรคเพื่อไทยปรับจนนับครั้งไม่ถ้วนเช่นนั้น ผมถามกลับว่าประชาชนจะไม่ยิ่งพะอืดพะอมหนักหลายเท่ากว่านี้หรือ ช่วยตอบหน่อย นายอนุสรณ์และพรรคเพื่อไทยคงจำได้ดีหวังว่าคงยังไม่ลืมนะครับ" นายสุภรณ์กล่าว
    ด้าน น.ส.วทันยา วงษ์โอภาสี ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคพลังประชารัฐ กล่าวถึงการแต่งตั้งคณะรัฐมนตรีว่า ตนขอเคารพการตัดสินใจของ พล.อ.ประยุทธ์ ซึ่งได้ประกาศมาชัดเจนแล้ว หลังจากนี้คงเป็นบทพิสูจน์ของ ครม.ที่จะสามารถฟื้นฟูเยียวยาปัญหาเศรษฐกิจที่ขณะนี้อยู่ในภาวะวิกฤติ ซึ่งจากการลงพื้นที่ผู้ประกอบการได้มีการสอบถาม ถึงการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจโดยเฉพาะผู้ประกอบการในระดับล่าง และธุรกิจ sme ก็ยังเผชิญภาวะวิกฤติในแง่ของยอดรายได้ก็ยังไม่มีนัยว่าเศรษฐกิจจะกลับมาฟื้นตัวอย่างไร ในส่วนของตัวรัฐมนตรีก็จะต้องพิสูจน์ตัวเอง การดำเนินงานต้องใช้เวลาอย่างรวดเร็วในการเร่งพลิกฟื้นแก้ปัญหา และการพิสูจน์ตัวเองในสายตาของประชาชน ซึ่งตนคิดว่าความเชื่อมั่น ศรัทธาจากประชาชนให้ออกมาจับจ่ายใช้สอย และกล้าลงทุน รวมถึงการลงทุนต่างชาติ ถือเป็นสิ่งสำคัญมากๆ ว่าจะกล้ามาลงทุนในประเทศหรือไม่
    น.ส.วทันยากล่าวต่อว่า สำหรับรายชื่อบุคคลที่เข้ามาทำหน้าที่ทางด้านเศรษฐกิจ ก็จะเห็นว่านายกรัฐมนตรีพยายามคัดเลือกบุคคลที่มีความสามารถเข้ามาทำหน้าที่ แต่อย่างที่บอกว่าก็ถือเป็นเรื่องที่ท้าทายมากๆ ท่านผู้บริหารต้องทำความเข้าใจกับระบบราชการ และทำอย่างไรให้เกิดการเชื่อมโยงในการทำงานแบบบูรณาการกับหน่วยงานอื่น รวมถึงการทำงานร่วมกับรัฐสภา เกี่ยวกับการออกกฎหมายและแก้กฎหมายที่ทำให้เกิดปัญหาติดขัดและการรื้อฟื้นเศรษฐกิจ
    เมื่อถามว่า รัฐมนตรีหลายคนไม่ได้มาจากพรรคพลังประชารัฐจะมีปัญหาในการทำงานหรือไม่ น.ส.วทันยาตอบว่า ไม่มีปัญหาในการทำงาน เพราะสิ่งสำคัญที่สุดคือการมุ่งมั่นทำงานเพื่อนำพาประเทศผ่านพ้นวิกฤติและก้าวไปข้างหน้า ซึ่งพวกเราทุกคนต้องพยายามช่วยให้ประเทศผ่านวิกฤติเศรษฐกิจไปให้ได้ ถ้ารัฐมนตรีท่านใดมีนโยบายหรือโครงการที่ทำเพื่อประชาชน พวกเราก็พร้อมที่จะช่วยสนับสนุนและผลักดันให้เกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม
    ถามถึงการแก้ไขกฎหมายรัฐธรรมนูญ น.ส.วทันยากล่าวว่า คงจะต้องรับฟังความเห็นของประชาชนว่ามีความคิดเห็นอย่างไรเกี่ยวกับเรื่องนี้ ซึ่งวันนี้ก็มีการออกมาเรียกร้องให้แก้ไขรัฐธรรมนูญทั้งประชาชน พรรคร่วมรัฐบาล ฝ่ายค้าน และล่าสุดนายกรัฐมนตรีก็พูดชัดเจนแล้วว่า พร้อมที่จะสนับสนุนให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ หลังจากนี้คงจะเหลือแค่ขั้นตอนว่าจะมีการแก้ไขอย่างไร ให้ตั้ง ส.ส.ร.แก้เป็นรายมาตรา หรือแก้มาตรา 256 ก็คงจะต้องนำไปพูดคุยหาข้อสรุปในชั้นกรรมาธิการ ซึ่งถือว่ายังเป็นความคิดเห็นที่แตกต่างของหลายฝ่าย และเป็นเรื่องเปราะบาง ที่ผู้ใหญ่ทุกท่านในทุกภาคส่วนจะต้องร่วมหารือกัน เพื่อหาข้อยุติร่วมกันให้ดีที่สุด.

 


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"