‘ปาราชิก’ หลวงปู่พุทธะอิสระเสนอธรรมะวันละคำ


เพิ่มเพื่อน    

พระสุวิทย์ ธีรธมฺโม หรือหลวงปู่พุทธะอิสระ เจ้าอาวาสวัดอ้อน้อย อ.กำแพงแสน จ.นครปฐมได้โพสต์เฟซบุ๊กในหัวข้อธรรมะวันละคำว่า “วันนี้เสนอคำว่า ปาราชิก” คำว่า ปาราชิก เป็นชื่อของอาบัติอย่างหนักที่แก้ไขไม่ได้ ใช้ปรับอาบัติแก่ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้เท่านั้น ซึ่งแปลว่า ผู้พ่าย หมายถึงภิกษุผู้ต้องอาบัติปาราชิกแล้ว จักพ่ายแพ้ต่อมรรคผล นิพพาน และคุณอันยิ่งแห่งพรหมจรรย์นี้ ท่านเปรียบภิกษุผู้ต้องอาบัติปาราชิก เหมือนกับต้นตาลยอดด้วน หรือ ต้นมะพร้าวที่ยอดและไส้ขาด รอวันตาย มิอาจเจริญเติบโตขยายพันธุ์ใดๆ ได้เลยในชาตินี้

มูลเหตุให้ภิกษุต้องอาบัติปาราชิกแล้วแก้ไขมิได้เลยมี 4 อย่างคือ 1. เสพเมถุน 2. ลักของเขา 3.ฆ่าสัตว์ในปาราชิกนี้ หมายเอาการฆ่ามนุษย์ 4.อวดอุตริมนุสธรรม ซึ่งเป็นธรรมอันยิ่งกว่าธรรมทั้งปวงที่ไม่มีในตนเอง อวดเพื่อต้องการให้ผู้ฟังหลงเชื่อ

ปาราชิกทั้ง 4 สิกขาบทหรือสี่ข้อนี้ ต้องประกอบไปด้วยสจิตตกะ คือ มีเจตนาที่จักกระทำ จะรู้หรือไม่รู้ก็ตาม หากมีเจตนาเสพเมถุน หรือลักทรัพย์ หรือฆ่ามนุษย์ หรืออวดอุตริ ล้วนต้องอาบัติปาราชิก สิกขาบทใดสิกขาบทหนึ่ง แล้วต้องขาดจากความเป็นพระภิกษุทั้งนั้น

มีผู้ถามว่า กรณีทุจริตเงินทอนวัดก็ดี ทุจริตเงินอุดหนุนการศึกษาของคณะสงฆ์ก็ดี และทุจริตเงินงบประมาณสารพัดโครงการที่มีภิกษุเข้าไปพัวพันเกี่ยวข้องด้วยก็ดี การที่ท่าน ผอ.สำนักพุทธ พ.ต.ท.พงศ์พร พราหมณ์เสน่ห์ ปรับอาบัติปาราชิกแก่กรรมการมหาเถรสมาคมทั้ง 3 คนคือ 1.พระพรหมดิลก (เอื้อน หาสธมฺโม) เจ้าอาวาสวัดสามพระยา 2.พระพรหมเมธี (จำนงค์ ธมฺมจารี) ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดสัมพันธวงศาราม 3.พระพรหมสิทธิ (ธงชัย สุขญาโณ) เจ้าอาวาสวัดสระเกศราชวรมหาวิหาร เช่นนี้จะถูกผิดอย่างไร

หากจะว่ากันตามหลักพระธรรมวินัยแล้ว ฆราวาสไม่สามารถปรับอาบัติปาราชิกแก่ภิกษุใดได้ แม้จักเป็นผู้รู้ธรรมรู้วินัยก็ตาม แต่ฆราวาสสามารถทำการโจทหรือโพนทะนา ประกาศ ประจาน บอกกล่าว แจ้งความ แก่คณะสงฆ์ว่าภิกษุรูปใดต้องอาบัติปาราชิก ด้วยมูลความผิดตรงกับสิกขาบทหรือข้อใด เมื่อพระภิกษุรูปใดทราบเรื่องแล้วต้องนำข้อกล่าวหาของฆราวาสผู้นั้นไปแจ้งแก่ประธานสงฆ์ หรือคณะสงฆ์ให้ได้ทราบ เพื่อทำการไต่สวน แต่หากพระภิกษุผู้ได้รับทราบการกล่าวหา ซึ่งอาจจะเป็นประธานสงฆ์ก็ดี คณะสงฆ์ก็ดี รู้เรื่องแล้ว กลับนิ่งเฉยไม่ทำการไต่สวน องค์พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงปรับอาบัติปาจิตตีย์ แก่ภิกษุผู้ปกปิดอาบัติชั่วหยาบของภิกษุอื่น เมื่อคณะสงฆ์หรือประธานสงฆ์ ทำการตรวจสอบทั้งฝ่ายผู้โจทและภิกษุผู้ถูกโจทแล้ว เห็นว่าผิดจริงก็จักปรับอาบัติปาราชิกแก่ภิกษุนั้น ในกรณีนี้ใช้เฉพาะภิกษุหน้าด้าน ไม่ยอมรับผิด จึงต้องเปิดศาลสงฆ์ไต่สวนและปรับอาบัติ

ซึ่งว่ากันตามความจริงแล้ว จะเป็นอาบัติปาราชิกหรือไม่นั้น มิใช่ที่ขบวนการไต่สวน แต่อาบัติปาราชิกเกิดขึ้นทันทีในขณะที่ภิกษุนั้นทำเหตุแห่งอาบัติปาราชิก ให้เกิดขึ้นจนเป็นผลสำเร็จเมื่อใด เมื่อนั้นก็ต้องอาบัติปาราชิกทันที โดยมิต้องมีใครโจทหรือรอผลไต่สวนด้วยซ้ำ 

แต่ที่ต้องเข้าสู่กระบวนการไต่สวน ก็เพราะภิกษุผู้ต้องอาบัติปาราชิก ผู้นั้นไม่มีความละอาย เป็นผู้เก้อยาก ขาดความรับผิดชอบ ไม่แยกแยะดีชั่ว จึงต้องมีขบวนการไต่สวนเอาไว้ขจัดพวกอลัชชีหน้าด้าน อย่างที่เป็นอยู่ในปัจจุบันนี่ล่ะ มีผู้ถามต่อว่า กรณีลักทรัพย์ของกรรมการมหาเถรสมาคมและภิกษุผู้เกี่ยวข้องนี้

หากว่ากันตามหลักพระธรรมวินัยแล้ว มูลค่าของทรัพย์ที่ลัก จักมูลค่าเท่าไรจึงจะต้องอาบัติปาราชิก ตอบว่าการลักทรัพย์ที่กำหนดตามหลักพระธรรมวินัย ทรัพย์นั้นต้องมีมูลค่าไม่ต่ำกว่า 5 มาสก ต้องอาบัติปาราชิก ซึ่งท่านก็แยกชนิดของทรัพย์ที่ลักเอาไว้ 2 ชนิดคือ สังหาริมทรัพย์ ทรัพย์ที่เคลื่อนที่ได้ และอสังหาริมทรัพย์ ทรัพย์ที่เคลื่อนที่ไม่ได้

การลักทรัพย์ที่เคลื่อนที่ได้มีมูลค่าเกิน 5 มาสกหรือเท่ากับราคาปัจจุบัน 300 บาท ทำให้พ้นจากพื้นแค่เส้นผมรอดได้ ด้วยเจตนาที่จะลัก เช่นนี้ต้องอาบัติปาราชิกแล้ว โดยมิต้องให้ใครมาโจท ส่วนการลักทรัพย์ที่เคลื่อนที่ไม่ได้จะสำเร็จประโยชน์แก่ผู้ลักก็ต่อเมื่อ ทำให้เสียสิทธิ์ของผู้เป็นเจ้าของทรัพย์เดิม หรือทำให้เจ้าของทรัพย์เดิมทอดอาลัยสละสิทธิ์ เช่น ที่ดิน บ้าน โรงเรือน สิ่งปลูกสร้าง เป็นต้น

อีกทั้งท่านยังแจกแจงอาการลัก ที่เป็นเหตุให้ต้องอาบัติปาราชิกขาดจากความเป็นภิกษุเอาไว้ถึง 13 อย่าง เรียกว่า อวหาร คือ 1.ลัก ได้แก่อาการถือเอาทรัพย์ที่เคลื่อนจากฐานได้ ด้วยไถยจิต (จิตคิดจะลัก) อันเป็นอาการแห่งขโมย 2.ชิงหรือวิ่งราว ได้แก่อาการที่ชิงเอาทรัพย์ที่เขาถืออยู่ ด้วยอาการอย่างใดอย่างหนึ่ง 3.ลักต้อน ได้แก่อาการที่ขับต้อนหรือจูงปศุสัตว์ หรือสัตว์พาหนะไป 4.แย่ง ได้แก่อาการที่เข้าแย่งเอาของซึ่งคนถือทำตก 5.ลักสับ ได้แก่สับสลากชื่อตนกับชื่อผู้อื่นในกองของด้วยหมายจะเอาสลากที่มีราคา การถือเอาทรัพย์เป็นอสังหาริมทรัพย์ กำหนดว่าถึงที่สุดด้วยขาดกรรมสิทธิ์แห่งเจ้าของดังนี้ 6.ตู่ ได้แก่อาการกล่าวตู่ เพื่อจะเอาที่ดินเป็นของตัว แม้เจ้าของจะขอคืนก็ไม่ยอม 7.ฉ้อ ได้แก่อาการที่รับของฝากแล้วเอาเสีย 8.ยักยอก ได้แก่อาการที่ภิกษุผู้เป็นภัณฑาคาริก มีหน้าที่รักษาเรือนคลังนำเอาสิ่งของที่รักษานั้นไปจากเขตที่ตนมีกรรมสิทธิ์รักษาด้วยไถยจิต 9.ตระบัด ได้แก่อาการที่นำของต้องเสียภาษี จะผ่านด่านที่เก็บภาษีซ่อนของเหล่านั้นเสีย 10.ปล้น ได้แก่อาการชักชวนกันไปทำโจรกรรม ลงมือบ้าง มิได้ลงมือบ้าง ต้องอาบัติถึงที่สุดด้วยกันทั้งนั้น 11.หลอกลวง ได้แก่อาการที่ทำปลอม เช่น ทำธนบัตรปลอม เป็นต้น ต้องอาบัติด้วยทำสำเร็จ 12.กดขี่หรือกรรโชก ได้แก่อาการที่ใช้อำนาจข่มเหงเอาทรัพย์ของผู้อื่นดังราชบุตรเก็บค่าอากรเกินพิกัด อาบัติถึงที่สุดในขณะได้ของมา 13.ลักซ่อน ได้แก่อาการที่เห็นของเขาทำตก แล้วเอาของมีใบไม้เป็นต้น ปกปิดเสีย อาบัติถึงที่สุดขณะทำสำเร็จ

ในกรณีคดีทุจริตเงินทอนวัดก็ดี ทุจริตเงินอุดหนุนการศึกษาของพระภิกษุก็ดี หรือทุจริตเงินอุดหนุนพระธรรมทูตก็ดี เข้าข่ายอวหารข้อที่ 8 ว่าด้วยการยักยอก ทีนี้ท่านทั้งหลาย คงพอจะเข้าใจมูลเหตุของอาบัติปาราชิกในข้อหาลักทรัพย์กันพอสมควรแล้ว ต่อไปเราท่านทั้งหลาย ก็มาคอยลุ้น คอยเชียร์ท่าน ผอ.สำนักพุทธ ว่าจะสามารถลากไส้เน่าในองค์กรปกครองสงฆ์มากำจัดได้หรือไม่ เพราะยังมีเงินอุดหนุนพระธรรมทูต เงินอุดหนุนโครงการบ้านศีลห้า เงินอุดหนุนการจัดกิจกรรมพิเศษในวันสำคัญทางพระพุทธศาสนา และเงินอุดหนุนมหาลัยสงฆ์ ทั้งสองแห่งที่หายไปและถูกนำไปใช้ผิดประเภท ซึ่งก็รอ ผอ.สำนักพุทธ ปปป. ป.ป.ช. คสช. เข้าไปตรวจสอบว่าเงินมันรั่วไหลหายไปไหน.
 


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"