6 ส.ค. 2563 นางสาวอรธิรา ภาคสุวรรณ รองกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายพัฒนาธุรกิจ ศูนย์การค้า ดิ เอ็มโพเรี่ยม และ ดิ เอ็มควอเทียร์ เปิดเผยว่า ขณะนี้บริษัทวางแผนปรับปรุงศูนย์การค้า ดิ เอ็มโพเรี่ยม นับเป็นการรีโนเวทครั้งใหญ่ในรอบ 5 ปี โดยจะมีการปรับพื้นที่ใหม่ ออกแบบที่ไม่เหมือนใคร กลายเป็นการเชื่อมแบบไร้รอยต่อ ไม่ใช่เพียงช้อปปิ้งคอมเพล็กซ์อีกต่อไป แต่ยังคงความเป็นลักชัวรี่ในคอนเซปต์ที่ต่างไปจากเดิม เบื้องต้นคาดการณ์ว่าจะต้องใช้เงินลงทุนมากกว่า 1,000 ล้านบาท แบ่งเป็น 4 เฟสและน่าจะเริ่มดำเนินงานกลางปี 2564 แล้วเสร็จในปี 2565  

“เราต้องการปรับศูนย์การค้า ดิ เอ็มโพเรี่ยม  ให้ตอบโจทย์กับไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคในยุคนิวนอร์มอลมากขึ้น รวมถึงผู้ประกอบการบางร้านค้ากำลังจะหมดสัญญาเร็วๆ นี้ จึงสามารถปรับพื้นที่ด้วยการนำร้านค้าใหม่ๆ เข้ามาได้” 

สำหรับกลุ่มลูกค้าที่เข้าใช้บริการศูนย์การค้า ดิ เอ็มโพเรี่ยม และ ดิ เอ็มควอเทียร์ แบ่งเป็นกลุ่มคนทำงาน 50% กลุ่มครอบครัว 30% และต่างชาติที่พำนักในประเทศไทยประมาณ 20% โดยกลุ่มคนเหล่านี้มีกำลังซื้อค่อนจข้างสูง โดยเฉพาะในกลุ่มครอบครัวที่มียอดการใช้จ่าย 1.6 หมื่นบาทต่อครอบครัว บริษัทจึงอยากพัฒนาพื้นที่เพื่อทำให้ผู้บริโภคกลุ่มดังกล่าว เป็นอีกทางหนึ่งที่ทำให้มีการจับจ่ายและใช้เวลาอยู่ในศูนย์การค้ามากขึ้น  

นางสาวอรธิรา กล่าวว่า บริษัทได้ใช้งบประมาณกว่า 200 ล้านบาท ในการทำโซนเอ็มจอย (Emjoy) บนพื้นที่กว่า บนพื้นที่กว่า  6,000 ตารางเมตร บริเวณ ชั้น 2 อาคาร C ศูนย์การค้า ดิ เอ็มควอเทียร์ ซึ่งถือเป็นครั้งแรกของ ดิ เอ็มควอเทียร์ที่มีพื้นที่สำหรับลูกค้ากลุ่มครอบครัวขนาดใหญ่ ที่รองรับความต้องการของลูกค้าได้อย่างครบถ้วน  คาดว่าหลังการเปิดบริการของเอ็มจอย จะส่งผลให้มีลูกค้าเข้ามาใช้บริการศูนย์การค้า ดิ เอ็มควอเทียร์เพิ่มกว่า 10-15 %  

อย่างไรก็ตาม ในช่วงครึ่งปีหลังนี้จะใช้งบตลาดรวมมากกว่า 100 ล้านบาท เพื่อใช้ในการส่งเสริมการขาย จัดอีเวนต์ รวมทั้ง 2 ศูนย์ฯ  ซึ่งประมาณ 30 ล้านบาท จะใช้ในการโปรโมทพื้นที่ใหม่เอ็มจอยโซนโดยเฉพาะ โดยตอนนี้บรรยากาศของศูนย์การค้าหลังจากปลดล็อก พบว่ามีลูกค้าเข้ามาใช้บริการมากขึ้นต่อเนื่องแล้วหรือยู่ที่ประมาณ 90%  ซึ่งผู้เข้าใช้บริการของทั้ง 2 ศูนย์การค้ารวมกันอยู่ที่ มากกว่า 1 แสนคนในวันธรรมดา และประมาณ 120,000 – 200,000 คนในวันเสาร์-อาทิตย์ รวมถึงร้านค้าลักซ์ชัวรี่บางแบรนด์มียอดขายที่ดีกวาในช่วงกออนโควิด-19 เนื่องจากลูกค้าคนไทยระดับบนไม่สามารถเดินทางไปต่างประเทศได้ จึงหันมาช้อปปิ้งแบรนด์เนมในไทยแทน