ภาพจาก pantip.com
นักโภชนาการ ชี้ปลาร้าเป็นแหล่งโปรตีนชั้นดีเทียบเท่าเนื้อสัตว์ต่างๆ แต่ต้องปรุงสุกและระวังอย่ากินซ้ำซากเพราะจะทำให้ไตทำงานหนัก และหากจะส่งออกต้องแปรรูปและได้มาตรฐาน
นายสง่า ดามาพงษ์ นักโภชนาการ และที่ปรึกษากรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวถึงกรณีเว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่ประกาศกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เรื่องกำหนดมาตรฐานสินค้าปลาร้าทั้งในเรื่องรสชาติ กลิ่น สี และความสะอาด ว่า ปลาร้าสะท้อนถึงภูมิปัญญาของท้องถิ่น ที่รู้จักนำเอาปลาที่ในบางฤดูกาลมีจำนวนมากมาถนอมอาหาร โดยเฉพาะในท้องถิ่นภาคตะวันออกเฉียงใต้ของประเทศไทย ที่บางช่วงแล้งมาก ชาวบ้านก็จะได้ปลาร้าเหล่านี้มาทำกินเป็นอาหาร ส่วนทางด้านโภชนาการนั้น ถือว่าปลาร้ามีคุณค่าทางโภชนาการสูง เพราะมีแหล่งโปรตีนชั้นดีเทียบเท่ากับเนื้อสัตว์อื่นๆ จากการศึกษาพบว่า ปลาร้า 100 กรัม จะมีโปรตีนอยู่ถึง 15-20 กรัม นอกจากนี้ ยังมีสารอาหารอื่นๆ เช่น ฟอสฟอรัส แคมเซียม วิตามินบี1 (B1) วิตามินบี2 (B2) และวิตามินเค (K)
นายสง่า กล่าวอีกว่า แต่สิ่งที่พึงปฎิบัติ คือ ต้องกินปลาร้าที่ปรุงสุกถึงจะได้โปรตีนมาก และลดความเสี่ยงเป็นมะเร็งท่อน้ำดี เพราะในปลาร้าดิบจะมีสารไนโตรซามีน ที่ก่อเซลล์มะเร็งในบางอวัยวะของร่างกาย นอกจากนี้ยังมีโซเดียมสูงพร้อมทั้งอย่ากินซ้ำซาก หรือกินบ่อยๆ กินมากจะมีผลต่อไต ทำให้ไตทำงานหนัก ดังนั้น ที่แนะนำคือ ควรนำปลาร้ามาทำเป็นอาหารประเภทน้ำพริกกินกับผักชนิดต่างๆนอกจากนี้ หากจะทำเป็นสินค้าส่งออกเพื่อสร้างรายได้ สิ่งที่ผู้ผลิตจะต้องคำนึงถึงมากคือ ความสะอาดและความปลอดภัย ต้องระมัดระวังทั้งพยาธิ และเชื้อโรคต่างๆ ซึ่งดีที่สุดคือ ควรนำปลาร้าไปแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์อาหารต่างๆ เช่น ปลาร้าบอง ปลาร้าสับ ฯลฯ และทำบรรจุภัณฑ์ที่ได้มาตรฐาน.