โดย ธีราวัตน์ รังแก้ว
ชาวกะเหรี่ยงบ้านภูเหม็น อ.ห้วยคต จ.อุทัยธานี
หลายคนคงสงสัยว่า ทำไมที่ชุมชนกะเหรี่ยงแห่งนี้ถึงตั้งชื่อว่า “บ้านภูเหม็น” ซึ่งถ้าแปลเป็นภาษาไทย มันฟังดูแปลกๆ และทำให้นึกถึงสถานที่หรือสิ่งต่างๆ ที่มีกลิ่นเหม็นอีกด้วย แต่ความจริงแล้วมันเป็นแบบนี้ครับ ผมจะอธิบายให้ฟัง
คำว่า “ภูเหม็น” เป็นคำที่เพี้ยนมาจากภาษาดั้งเดิมของชาวกะเหรี่ยงครับ คือ “พุเม่น” หรือ “พุเหม้น” (ออกเสียงสูงตามสำเนียงของชาวกะเหรี่ยง) ความหมายคือ ดอกไม้ชนิดหนึ่ง คนไทยเรียกกันว่า “ดอกเข้าพรรษา” หรือ “ดอกหงส์เหิน” นั่นเองครับ ดอกเข้าพรรษามีหลายชนิด บ้างสีขาว ขาวอมชมพู สีชมพู และสีเหลือง ในหนึ่งปีจะออกดอกเพียง 1 ครั้งเท่านั้นในช่วงเทศกาลเข้าพรรษา ซึ่งแต่เดิมที่บ้านภูเหม็นจะมีดอกเข้าพรรษาค่อนข้างเยอะ และถือว่าเป็นพืชศักดิ์สิทธิ์ของทางชุมชนด้วย จึงใช้ชื่อของดอกไม้นี้มาตั้งเป็นชื่อหมู่บ้าน
ดอกเข้าพรรษา (ขอบคุณภาพจาก https://farmerspace.co/
ชุมชนกะเหรี่ยงบ้านภูเหม็น ตั้งอยู่ที่ตำบลทองหลาง อำเภอห้วยคต จังหวัดอุทัยธานี แอบสงสัยกันใช่ไหมครับ ว่าที่จังหวัดอุทัยธานีมีชุมชนชาวกะเหรี่ยงด้วยหรือ ? ถ้าคุณเป็นคนเมืองแบบผมก็คงแอบสงสัยเหมือนผมและนึกว่ากะเหรี่ยงต้องอยู่ตามเขาตามดอยที่สูง ๆ ห่างไกลผู้คนอะไรทำนองนี้ แต่ที่ จ.อุทัยธานี มีกะเหรี่ยงจริง ๆ ครับ ผมไปเห็นและไปสัมผัสกับตาตัวเองมาแล้ว
กะเหรี่ยงบ้านภูเหม็น เป็นชุมชนกะเหรี่ยงที่เรียกตัวเองว่า “กะเหรี่ยงโปว์” หรือ “โผล่ว” นับถือศาสนาพุทธ เหมือนคนไทยอย่างเราๆ นี่แหละครับ ชาวชุมชนกะเหรี่ยงบ้านภูเหม็นใช้ชีวิตที่ผูกพันกับธรรมชาติ ป่าเขาและสายน้ำ วิถีชีวิตจึงมีความสัมพันธ์กับธรรมชาติ มีอัตลักษณ์และความเชื่อของตนเอง พวกเขาบอกว่าอาศัยอยู่ที่นี่ต่อเนื่องมาจากบรรพบุรุษกว่า 400 ปี มีผู้ใหญ่บ้านมาแล้วกว่า 11 รุ่น และมี “เจ้าวัตร” เป็นผู้นำทางจิตวิญาณ
คนเมืองอย่างผมฟังผ่านๆ แล้วก็ตีความไปเองว่าว่า คำว่า “เจ้าวัตร” คงจะเหมือนกับ “เจ้าวัด” หรือเจ้าอาวาสอะไรทำนองนี้ แต่จริงๆ แล้วไม่ใช่เลยครับ เพราะแค่คำสะกดก็แตกต่างแล้วครับ ความหมายของคำว่า “เจ้าวัตร” ของชาวกะเหรี่ยงคือผู้นำทางจิตวิญญาณ ต้องนับถือศีล 5 อย่างเคร่งครัด เป็นผู้ที่คอยทำทำพิธีศักดิสิทธิ์ต่างๆ ของหมู่บ้าน เช่น การบูชาต้นไม้ ขอขมาแม่คงคา พิธีเกี่ยวกับข้าวหรือแม่โพสพ
เจ้าวัตรบ้านภูเหม็น
ชาวกะเหรี่ยงใช้ชีวิตในชนบท มีชุมชนขนาดเล็ก และทำมาหากินเพื่อการยังชีพ อาชีพส่วนใหญ่จึงเป็นการเกษตรทั้งปลูกพืช ปลูกข้าวไร่ และเลี้ยงสัตว์ และชาวกะเหรี่ยงได้ชื่อว่ารู้จักการใช้พื้นที่ทำกินแบบ "ไร่หมุนเวียน" นั่น
คือ ทำครั้งหนึ่งแล้วพักผืนดินไว้ 3-5 ปี จึงกลับไปทำใหม่ วนเวียนไปโดยตลอด เพื่อป้องกันดินเสื่อมคุณภาพ ไม่ใช่การทำไร่เลื่อนลอยอันเป็นการตัดไม้ทำลายป่าอย่างที่หลายๆ คนเคยเข้าใจกัน
ตอนนี้ผู้อ่านน่าจะพอเห็นภาพชุมชนกะเหรี่ยงที่บ้านภูเหม็นกันแล้วนะครับ ทีนี้ผมอยากเล่าให้ฟังถึงเรื่อง วิถี “คนอยู่กับป่า” ซึ่งหลังจากที่ผมได้พูดคุยและสอบถามกับชาวกะเหรี่ยง คือ “พี่จันทร์เพ็ญ คลองแห้ง” ซึ่งเป็นลูกสาวของผู้ช่วยเจ้าวัตรของหมู่บ้าน พี่จันทร์เพ็ญพาผมเดินสำรวจป่าที่อยู่ใจกลางหมู่บ้าน ซึ่งที่บ้านภูเหม็นจะสร้างบ้านเรือนล้อมรอบป่าครับ ใช้ป่าเป็นศูนย์กลางของหมู่บ้าน และทำการเกษตรเพื่อใช้บริโภคในครอบครัว ด้วยการทำไร่หมุนเวียนเล็ก ๆ ภายในป่าของหมู่บ้าน
บ้านของชาวกะเหรี่ยง
พี่จันทร์เพ็ญ เล่าว่า ส่วนมากเราจะปลูกผักและพืชเอาไว้กินและขาย บางส่วนจะเป็นพืชพรรณตามธรรมชาติที่ขึ้นเอง ไม่ต้องปลูก เช่น เห็ดต่างๆ หน่อไม้ ส่วนที่ขายจะมีพ่อค้าจากในเมืองมารับไป แต่ราคาที่ขายได้ก็จะน้อยหน่อย เพราะเขาเอารถมารับถึงที่ พืชผักที่มีราคาดีก็จะมีพวกหน่อไม้ เห็ดโคน แต่เห็ดโคนจะเก็บได้ปีละ 1 ครั้ง และจะออกดอกเฉพาะหน้าฝน ราคาเห็ดโคนประมาณกิโลกรัมละ 100 – 300 บาท แล้วแต่ฤดูกาลว่าปีใดหาได้มากได้น้อย
พี่จันทร์เพ็ญยังคงพาผมเดินเข้าไปเรื่อย ๆ จนมาเจอกับต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ประจำหมู่บ้าน แกบอกไม่รู้ว่าจะเรียกชื่อต้นไม้นี้เป็นภาษาไทยว่าอะไร แต่ชาวกะเหรี่ยงเรียกว่าต้น “เพิ่ล” ซึ่งตอนที่ผมเห็น ผมทึ่งกับขนาดของต้นไม้ต้นนี้มาก เพราะผมคิดว่ามันเป็นต้นไม้ที่ใหญ่ที่สุดเท่าที่ผมเคยเห็นมา สังเกตคร่าวๆ จากฐานโคนราก ผมว่าอาจจะต้องใช้คนมาโอบ 30-40 คน เพราะมันใหญ่มากจริง ๆ อายุของต้นไม้ต้นนี้คงเป็นร้อย ๆ ปี ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความอุดมสมบูรณ์ของป่าแห่งนี้ได้เป็นอย่างดี
“เพิ่ล” ต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์อยู่กลางป่าใจกลางหมู่บ้าน
อีกสิ่งหนึ่งที่เป็นเสน่ห์ของหมู่บ้านนี้ก็คือ กลุ่มเด็กและเยาวชนครับ พวกเขามีหน้าที่หลักในการรักษาวัฒนธรรมดั้งเดิมของหมู่บ้านเอาไว้เพื่อสืบทอด เช่น เรื่องภาษากะเหรี่ยง การทอผ้าลวดลายเฉพาะของชุมชนบ้านภูเหม็น เด็กทุกคนที่นี่ส่วนใหญ่พูดได้ 2 ภาษา ทั้งภาษาไทยและภาษากะเหรี่ยง เกิดจากการใช้ชีวิตทั้ง 2 วัฒนธรรมร่วมกัน เพราะเด็กกะเหรี่ยงที่นี่ต้องนั่งรถออกไปเรียนนอกหมู่บ้าน จึงรับวัฒนธรรมแบบคนไทยภาคกลางและภาษามาด้วย
กลุ่มเยาวชนสตรีที่นี่จะต้องฝึกการทอผ้าทุกคนตั้งแต่ยังเด็กเพื่อเป็นการสืบสานวัฒนธรรม และยังเป็นอีกหนึ่งอาชีพหลักของชุมชนด้วย เยาวชนที่นี่มีความน่ารัก อัธยาศัยดี จริงใจ ยิ้มแย้มเป็นกันเอง นั่งคุยกันได้เป็นชั่วโมงเลยหละครับ แถมบางคนสอนภาษากะเหรี่ยงให้ด้วย ส่วนหนึ่งอาจจะเป็นเพราะวัฒนธรรมของชาวกะเหรี่ยงสอนให้ทุกคนเป็นคนจริงใจ
กลุ่มเยาวชนกะเหรี่ยงบ้านภูเหม็น
จากที่ผมเล่าให้ฟังก็คงคิดว่าชาวกะเหรี่ยงมีความสุขดี แต่ความจริงคือพวกเรากำลังต่อสู้เพื่อสิทธิบนที่ดินของตนเอง อย่างที่ผมเล่าไปในช่วงข้างต้นว่า ชาวกะเหรี่ยงอยู่บนที่ดินผืนนี้ต่อเนื่องกันมานานเป็นเวลากว่า 400 ปี จนมาเมื่อปี พ.ศ. 2528 ยุคป่าสงวนฯ ทับที่อยู่อาศัยและที่ทำกินของชุมชน โดยกรมป่าไม้ได้ประกาศให้ผืนดินที่พวกเขาอยู่อาศัยและทำกินมาตั้งแต่ครั้งบรรพบุรุษเป็นเขต “ป่าสงวนแห่งชาติป่าห้วยทับเสลาและป่าห้วยคอกควาย” เมื่อเดือนสิงหาคม 2528 แต่คราวนั้นชีวิตของชาวกะเหรี่ยงยังไม่ได้รับผลกระทบมากนัก ยังสามารถทำไร่หมุนเวียนได้ ต่อจากนั้นเหตุการณ์ก็เริ่มหนักขึ้นเรื่อย ๆ
ในปี 2535 เป็นยุคสวนป่าทับที่ดินทำกินและพื้นที่ไร่หมุนเวียนดั้งเดิมของชุมชน โดยมีการประกาศพื้นที่ทำกินบางส่วนของชาวกะเหรี่ยงบ้านภูเหม็นเป็นสวนป่า ทำให้สวนป่าทับซ้อนที่ทำกินของชุมชน เปิดช่องให้รัฐอ้างสิทธิในการใช้ประโยชน์ในป่าอย่างถูกต้องตามกฎหมาย ห้ามบุกรุก เริ่มห้ามชุมชนทำไร่หมุนเวียน
จึงทำให้วิถีชีวิตของชาวกะเหรี่ยงเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง ไร่หมุนเวียนเริ่มหายไป เปลี่ยนเป็นการปลูกพืชเชิงเดี่ยว วิถีชุมชนถูกบุกรุกด้วยความทันสมัย ความขัดแย้งระหว่างรัฐกับชุมชนเริ่มมีมากขึ้น ชุมชนเริ่มถูกคุกคาม โดนห้ามหาของในป่า ห้ามหาน้ำผึ้ง แต่มันยังไม่จบแค่นั้น
ในเดือนกรกฎาคม 2557 กรมอุทยานแห่งชาติได้ประกาศเขต “วนอุทยานห้วยคต” ทับที่ดินทำกินและที่อยู่อาศัยของชาวกะเหรี่ยงบ้านภูเหม็น โดยมีประกาศให้ชาวกะเหรี่ยงบ้านภูเหม็นต้องย้ายออกจากพื้นที่ที่อาศัยอยู่เดิมไปอยู่ในที่ดิน ส.ป.ก. ที่ตำบลระบำ อำเภอลานสัก จังหวัดอุทัยธานี เดิมเป็นพื้นที่สัมปทานปลูกไม้ซึ่งทางราชการจัดให้ผู้ที่ไร้ที่ดินทำกินเข้าไปอยู่ภายในวันที่ 9 เมษายน 2560
ส่วนผมได้ไปดูพื้นที่มาแล้ว มันเป็นไปแทบจะไม่ได้เลยที่ชาวกะเหรี่ยงจะย้ายเข้าไปอยู่ในพื้นที่ที่รัฐจัดสรรไว้ให้ สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ทำให้วิถีชีวิตและวัฒนธรรมดั้งเดิมของชาวกะเหรี่ยงค่อยๆ เลือนหายไป
ลุงอังคาร คลองแห้ง ชี้ให้ดูประกาศพื้นที่สวนป่าทับที่ดินทำกินของชาวกะเหรี่ยงเนื้อที่ 400 ไร่
ลุงอังคาร คลองแห้ง ผู้นำชุมชนชาวกะเหรี่ยงบ้านภูเหม็น เล่าให้ฟังว่า ก่อนจะมีกฎหมายพวกเราอยู่ร่วมกัน โดยการตั้งกฎของชุมชน โดยแต่ละหมู่จะมีผู้ใหญ่บ้าน 1 คน แบ่งที่ดินทำกินกันตามกฎธรรมชาติ ทำมาหากินร่วมกัน ทำไร่หมุนเวียน สมัยเราหนุ่มสาว เวลาเราไปทำไร่ เราจะเดินร้องเพลงเข้าไปในป่า เพื่อไปเก็บพืชผล มีความสุขในการใช้ชีวิต ทำนาใกล้ ๆ กัน ตะโกนคุยกัน ร้องเพลงไป ทำนาไป แต่ปัจจุบันนี้ไม่มีภาพแบบนั้นแล้ว เพราะเราไม่มีกำลังใจที่จะทำแบบนั้น กลัวว่าวันดีคืนดีจะโดนจับหรือโดนไล่เมื่อไหร่ วิถีชีวิตแบบเดิมที่มีความสุขหายไปแล้ว
แต่ในความโชคร้ายก็ยังมีโชคดีปนอยู่บ้าง เพราะในช่วงหลายปีที่ผ่านมา พี่น้องชาวกะเหรี่ยงในหลายจังหวัดได้ร่วมกับภาคีเครือข่าย นักวิชาการ สถาบันการศึกษา เช่น เครือข่ายกะเหรี่ยงเพื่อวัฒนธรรมและสิ่งแวดล้อม ภาคตะวันตก สหพันธ์เกษตรกรภาคเหนือ (สกน.) ในนามขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรม มูลนิธิพัฒนาภาคเหนือ (มพน.) คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏนครสวรรค์ ศูนย์ศึกษาชาติพันธุ์และการพัฒนา มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) ฯลฯ ขับเคลื่อน “การประกาศพื้นที่เขตวัฒนธรรมพิเศษตามมติคณะรัฐมนตรี 3 สิงหาคม 2553”
ทั้งนี้เนื่องจากกลุ่มชาติพันธุ์กะเหรี่ยงและอื่นๆ เช่น ชาวม้ง อาข่า ชาวเล ฯลฯ ถือเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ที่มีความเปราะบาง และได้รับผลกระทบจากปัญหาต่างๆ เช่น เรื่องสิทธิในที่ดินทำกิน การจัดการทรัพยากร สิทธิการถือสัญชาติ ฯลฯ คณะรัฐมนตรีในสมัยนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ จึงมีมติ ครม.วันที่ 3 สิงหาคม 2553 เห็นชอบตามที่กระทรวงวัฒนธรรมเสนอเรื่อง ‘แนวนโยบายในการฟื้นฟูวิถีชีวิตชาวกะเหรี่ยงและชาวเล’ โดยให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงวัฒนธรรม ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม การพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ศึกษาธิการ ฯลฯ นำไปจัดทำแผนฟื้นฟูระยะสั้นและระยะยาว
เจ้าวัตรบ้านภูเหม็น (ที่ 3 จากซ้าย)
แต่เนื่องจากในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา มีการเปลี่ยนรัฐบาลหลายครั้ง มติ ครม. 3 สิงหาคม 2553 จึงไม่ถูกนำมาปฏิบัติอย่างจริงจัง จนถึงวันนี้เป็นเวลา 10 ปีแล้ว แต่กลุ่มชาติพันธุ์ โดยเฉพาะชาวกะเหรี่ยงยังได้รับผลกระทบจากปัญหาต่างๆ เช่น ปัญหาเรื่องการประกาศเขตป่าสงวนฯ หรือวนอุทยานทับซ้อนกับที่ดินทำกินของชาวกะเหรี่ยง ทำให้ชาวกะเหรี่ยงถูกขับไล่หรือถูกจับกุมดำเนินคดี ไม่มีความมั่นคงในที่ดินทำกินและที่อยู่อาศัย ภาคีเครือข่ายจึงร่วมกับพี่น้องชาวกะเหรี่ยงขับเคลื่อนให้มติ ครม. ดังกล่าวมีผลในทางปฏิบัติ สามารถคุ้มครองกลุ่มชาติพันธุ์กะเหรี่ยงได้อย่างแท้จริง รวมทั้งผลักดันให้มติ ค.ร.ม.ยกระดับเป็นกฎหมายที่มีผลในการปฏิบัติต่อไป
เป้าหมายก็เพื่อให้สาธารณชนเข้าใจวิถีชีวิต และการมีอยู่ของชาติพันธุ์ “กะเหรี่ยง” เพื่อนำไปสู่การแก้ไขปัญหา สร้างความมั่นคงในพื้นที่อยู่อาศัย พื้นที่ทำกิน และพื้นที่ทางจิตวิญญาณ นอกจากนั้นยังดำรงซึ่งอัตลักษณ์ วิถีวัฒนธรรมดั้งเดิมของกะเหรี่ยง และฟื้นฟูสิ่งที่เริ่มเลือนหายไปให้กลับมาคงไว้ดังเดิม โดยการประกาศจัดตั้งหรือสถาปนพื้นที่ “เขตพื้นที่คุ้มครองวัฒนธรรมพิเศษ” ตามมติคณะรัฐมนตรี 3 สิงหาคม 2553 เรื่องแนวนโยบายในการฟื้นฟูวิถีชีวิตชาวกะเหรี่ยง เพื่อให้ดำเนินชีวิตตามวิถีชีวิตวัฒนธรรมดั้งเดิมต่อไปได้
โดยขณะนี้มีการประกาศเขตพื้นที่คุ้มครองวัฒนธรรมพิเศษแล้วในชุมชนกะเหรี่ยง 12 พื้นที่ทั่วประเทศ เช่น บ้านห้วยลาดหินใน ตำบลป่าโป่ง อำเภอเวียงป่าเป้า จังหวัดเชียงราย, บ้านหนองมณฑา (มอวาคี) ตำบลแม่วิน อำเภอแม่วาง จังหวัดเชียงใหม่, ชุมชนบ้านกลาง อำเภอแม่เมาะ จังหวัดลำปาง, บ้านแม่หมี อำเภอเมืองปาน จังหวัดลำปาง, บ้านดอยช้างป่าแป๋ ตำบลป่าพลู อำเภอบ้านโฮ่ง จังหวัดลำพูน ฯลฯ
ส่วนชุมชนชาวกะเหรี่ยงบ้านภูเหม็นก็ถือว่ามีความโชคดี เพราะว่าหลังจากที่ประสบปัญหาการประกาศป่าต่างๆ ทับที่อยู่อาศัยและทับที่ดินทำกินแล้ว พวกเขาได้ร้องเรียนปัญหาไปยังหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง จนได้ประชุมเพื่อปรึกษาหาทางออกกับวนอุทยานห้วยคตในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา และเป็นเรื่องที่น่ายินดีว่า อุทยานห้วยคตจะกันพื้นที่ออกจากพื้นที่ที่อยู่อาศัยและทำกินของชาวบ้าน และให้ชาวบ้านบริหารจัดการ ดูแลรักษาป่า รวมทั้งเพื่อให้เป็นเขตคุ้มครองทางวัฒนธรรมชาวกะเหรี่ยงตามมติ ครม. รวมเนื้อที่ทั้งหมดประมาณ 9,000 ไร่เศษ โดยชุมชนจะร่วมกับเจ้าหน้าที่วนอุทยานฯ เดินสำรวจแนวเขตที่ดินร่วมกัน เพื่อให้คนอยู่ร่วมกับป่าได้ ไม่ต้องย้ายออกไปอยู่ที่อื่น และตามแผนงานชาวกะเหรี่ยงบ้านภูเหม็นมีแผนงานประกาศเขตคุ้มครองทางวัฒนธรรมฯ ที่บ้านภูเหม็นภายในเดือนพฤศจิกายนนี้
การจัดงาน ‘แลกเปลี่ยนบทเรียนเพื่อฟื้นฟูวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ชาวกะเหรี่ยงบ้านภูเหม็น’ เพื่อเตรียมประกาศเขตคุ้มครองทางวัฒนธรรมฯ เมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา
ส่วนตัวผมที่เป็นคนในเมือง อยู่ในกรุงเทพมหานครมาตั้งแต่เด็ก พอได้มาสัมผัสกับวิถีชีวิตชาวกะเหรี่ยงบ้านภูเหม็น ผมกลับชอบความเรียบง่ายที่พวกเขาใช้ชีวิตอยู่ด้วยกัน มันมีความเรียบง่ายและมีเสน่ห์อย่างบอกไม่ถูก การใช้ชีวิตอยู่กับธรรมชาติ ผมก็เป็นอีกเสียงหนึ่งที่ยืนยันได้เลยว่า กะเหรี่ยงไม่ได้ทำลายป่าอย่างที่ใครๆ เข้าใจผิด ชุมชนกะเหรี่ยงบ้านภูเหม็นรักษาป่าและให้ความเคารพป่าที่พวกเขาดูแลมาก อย่างที่ผมเล่าว่า ผมได้เจอต้นไม้ที่ใหญ่ที่สุดในชีวิตก็ที่บ้านภูเหม็นนี่แหละครับ
สุดท้ายนี้ผมขอเอาใจช่วยให้ชาวกะเหรี่ยงบ้านภูเหม็นก้าวพ้นวิฤตินี้ไปให้ได้ และได้มีที่อยู่ที่ทำกินที่ถูกกฎหมาย กลับมาใช้ชีวิต วิถี “คน กับ ป่า” เหมือนดังเดิม และหวังว่าผู้อ่านที่ไม่เคยรู้จักหรือสัมผัสกับชุมชนกะเหรี่ยงเหมือนกับผมมาก่อน จะได้เข้าใจวิถีชีวิต และรับรู้ถึงการมีอยู่ของพวกเขา เพื่อเป็นข้อมูลอธิบายให้คนทั่วไปเข้าใจชุมชนชาวกะเหรี่ยงกันมากขึ้น..!!
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |