‘อาชีวะช่วยชาติ’ฮือปกป้องสถาบัน


เพิ่มเพื่อน    

  มาตามนัด "กลุ่มอาชีวะช่วยชาติฯ" กว่า 500 คน แสดงจุดยืนปกป้องสถาบันฯ "บิ๊กตู่-ป้อม" ห่วงการชุมนุม สั่ง จนท.ดูแลความปลอดภัย "ตร." เตือนต้องเคารพกฎหมาย เล็งจับแกนนำมีคดีค้างเก่าออกมาปลุกปั่น "ปิยบุตร-พท." จี้นายกฯ จริงใจแก้ปัญหาต้องแก้ รธน.-ยุบสภา "จตุพร" หวั่นม็อบชนม็อบซ้ำรอยประวัติศาสตร์

    เมื่อวันที่ 30 ก.ค. เวลา 14.00 น. บริเวณอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ถนนราชดำเนิน ฝั่งตรงข้ามโรงเรียนสตรีวิทยา กลุ่มอาชีวะช่วยชาติ รวมพลังปกป้องสถาบัน ชาติ ศาสน์ กษัตริย์ จำนวนกว่า 500 คน มารวมกลุ่มชุมนุมเพื่อแสดงจุดยืนขอให้ทุกฝ่ายหยุดก้าวล่วงสถาบันฯ โดยมีการเปิดเพลงปลุกใจสลับกับการปราศรัยจากแกนนำ ซึ่งการชุมนุมเป็นไปอย่างสงบ ท่ามกลางการรักษาความปลอดภัยของเจ้าหน้าที่ตำรวจทั้งในและนอกเครื่องแบบ
    ทั้งนี้ ผู้มาร่วมชุมนุมดังกล่าวมีทั้งกลุ่มที่เดินทางมาจาก กทม.และต่างจังหวัด โดยส่วนใหญ่สวมใส่เสื้อสีเหลือง อายุประมาณ 35-65 ปี และมีการทำป้ายกระดาษที่เขียนข้อความแสดงจุดยืนที่เกี่ยวข้องกับความรักที่มีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ไว้อย่างชัดเจน
    นายทศพล มนูญญรัตน์ ตัวแทนกลุ่มอาชีวะช่วยชาติฯ ได้อ่านแถลงการณ์ “เพื่อประชาธิปไตยด้วยใจจงรักภักดี” ระบุว่า จากกรณีที่กลุ่มเยาวชนปลดแอกและสหภาพนักเรียน นิสิต นักศึกษาแห่งประเทศไทย หรือ สนท. จัดกิจกรรมทางการเมืองขึ้น ตั้งแต่วันที่ 18 ก.ค.2563 ซึ่งต่อมาได้มีการจัดกิจกรรมในลักษณะเช่นเดียวกันนี้หลายพื้นที่ทั่วประเทศ แม้จะยื่นข้อเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรีลาออกและยุบสภา แก้ไขรัฐธรรมนูญให้เป็นประชาธิปไตย แต่ปรากฏหลักฐานและข้อเท็จจริงว่ามีการแสดงออกเพื่อต้องการท้าทาย ต่อต้านหรือล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์ ทั้งโดยทางตรงและทางอ้อม อีกทั้งยังมีการนำข้อมูลอันเป็นเท็จ หรือเฟกนิวส์ เพื่อปลุกระดมให้เกิดความเข้าใจผิดต่อสถาบันพระมหากษัตริย์
    "เรามิได้ต่อต้านการชุมนุมทางการเมืองโดยเจตนาเพื่อรักษาประชาธิปไตย แต่ต้องตระหนักถึงการกระทำที่ไม่ก้าวล่วงไปในขอบเขตที่อาจนำพาสังคมไทยเสี่ยงต่อการเผชิญหน้ากันด้วยความรุนแรง ทั้งนี้ ทางกลุ่มอาชีวะช่วยชาติฯ จะเคลื่อนไหวโดยจะดำเนินกิจกรรมให้ข้อมูลและข้อเท็จจริงที่ถูกต้องเกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์ และเจตนาที่แท้จริงของผู้ที่อยู่เบื้องหลัง การใช้เยาวชนเป็นเครื่องมือในการต่อต้านล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์" ตัวแทนกลุ่มอาชีวะช่วยชาติฯ กล่าว
    ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลังการอ่านแถลงการณ์ กลุ่มอาชีวะช่วยชาติฯ ได้ชู 3 นิ้ว ที่หมายถึง “ชาติ ศาสน์ กษัตริย์” ก่อนเปล่งเสียง “ทรงพระเจริญ” และร่วมกันร้องเพลงสรรเสริญพระบารมี ก่อนแยกย้ายจากพื้นที่
    ขณะที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม กล่าวว่า วันนี้มีความเป็นห่วงและกังวลการชุมนุมต่างๆ ได้มอบหมายให้ฝ่ายเจ้าหน้าที่ตำรวจไปพิจารณาดูในการใช้กฎหมายให้เหมาะสม คงไม่ต้องสั่งอะไรมากในเรื่องดังกล่าว
    ส่วน พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ได้สั่งการเจ้าหน้าที่ไปแล้วให้ดูแลความปลอดภัยของทั้งสองฝ่าย แต่ว่าเขาชุมนุมไม่ตรงกัน ไม่มีอะไร  
    พล.ท.คงชีพ ตันตระวาณิชย์ โฆษกกระทรวงกลาโหม กล่าวว่า พล.อ.ประวิตรได้กำชับให้ฝ่ายความมั่นคง โดยเฉพาะตำรวจ เข้าไปช่วยดูแลความปลอดภัยของทุกกลุ่มผู้ชุมนุมอย่างทั่วถึงในทุกพื้นที่ โดยขอให้เพิ่มมาตรการคัดกรอง มิให้มีการแทรกแซงหรือการใช้ความรุนแรงใดๆ ต่อกัน และให้ระมัดระวังการเผชิญหน้าและยั่วยุกันของทุกกลุ่มชุมนุมที่อาจมีความเห็นและจุดยืนต่างกัน ซึ่งอาจเป็นเงื่อนไขของการใช้ความรุนแรงต่อกัน โดยขอให้ใช้บทเรียนในอดีตที่ผ่านมาในการปฏิบัติหน้าที่เพื่อดูแลความสงบเรียบร้อยปลอดภัยของสังคมในภาพรวม
ตร.เตือนม็อบเคารพกม.
    "พล.อ.ประวิตรขอให้มีการชี้แจงทำความเข้าใจกับกลุ่มผู้ชุมนุม ทั้งก่อนและระหว่างการชุมนุม ถึงการปฏิบัติและความรับผิดชอบของการใช้เสรีภาพแสดงความคิดเห็นตามกรอบกฎหมายที่กำหนด ขอให้เจ้าหน้าที่ทุกฝ่ายปฏิบัติหน้าที่ด้วยความอดทน ใช้ความสุภาพและระมัดระวังอย่างที่สุด มิให้เกิดการกระทบกระทั่งกันในระหว่างปฏิบัติหน้าที่ ซึ่งยืนยันรัฐบาลเปิดกว้างรับฟังความคิดเห็นและการแสดงออกถึงความหวังดีของทุกกลุ่มชุมนุมด้วยความเข้าใจ และพร้อมจะเดินหน้าแก้ปัญหาของสังคมและประเทศชาติไปด้วยกัน" โฆษกกระทรวงกลาโหมกล่าว
    ด้าน พล.ต.ท.ปิยะ อุทาโย ผู้ช่วย ผบ.ตร. ในฐานะโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า นายกรัฐมนตรีกำชับเรื่องสถานการณ์การชุมนุมเพื่อแสดงออกทางการเมืองในช่วงนี้ให้ตำรวจดำเนินคดีเด็ดขาดกับกลุ่มแกนนำผู้ชุมนุมที่มีหมายจับค้างเก่า มีคดีติดตัว หรือได้รับการประกันตัวออกมาแล้วกลับมายุยงปลุกปั่นให้การชุมนุมไม่เป็นไปตามกฎหมาย กลับมากระทำผิดซ้ำด้วยการจัดการชุมนุมตามสถานที่ต่างๆ ที่อาจก่อให้เกิดความไม่สงบ
    "กลุ่มน้องๆ เยาวชนที่มีการออกมาเคลื่อนไหว ขอให้ยึดปฏิบัติตาม พ.ร.บ.ชุมนุมสาธารณะ โดยการแจ้งการชุมนุมก่อนล่วงหน้า ซึ่งตำรวจไม่ขัดข้องหากเป็นการแสดงออกตามหลักประชาธิปไตย ไม่ขัดต่อกฎหมาย" พล.ต.ท.ปิยะกล่าว
    ถามถึงข่าวตำรวจตระเวนชายแดนจัดเตรียมสถานที่ไว้เพื่อรองรับผู้ชุมนุมกลุ่มเยาวชนปลดแอก โฆษก ตร.กล่าวว่า ไม่เป็นความจริง หน่วยงานความมั่นคงได้มีการตรวจสอบไปยังตำรวจตระเวนชายแดนแล้วพบว่า เป็นการสั่งการภายในของกองบัญชาการตำรวจตระเวนชายแดน เพื่อตรวจสอบและจัดการสถานที่ตามปกติ ไม่ได้มีนัยใดๆ และไม่เกี่ยวข้องกับการดำเนินคดีกับกลุ่มผู้ชุมนุม
    วันเดียวกัน นายปิยบุตร แสงกนกกุล อดีต ส.ส.บัญชีรายชื่อ อดีตพรรคอนาคตใหม่ ในฐานะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญพิจารณาศึกษาปัญหา หลักเกณฑ์และวิธีการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2560 สภาผู้แทนราษฎร กล่าวถึงการเคลื่อนไหวชุมนุมของนิสิตนักศึกษาว่า เมื่อสถานการณ์นอกสภาเป็นแบบนี้ คณะ กมธ.ควรตอบรับข้อเรียกร้องของนิสิตนักศึกษาเข้าสู่การพิจารณาของคณะ กมธ. และยังเป็นการแสดงความรับผิดชอบต่อข้อเรียกร้องของนิสิตนักศึกษา หากไม่มีการพิจารณาจะส่งผลแง่ลบต่อคณะ กมธ.เอง นอกจากนี้เข้าใจว่าหากมีการเสนอญัตติแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญในช่วงเวลานี้ มีความเป็นไปได้ที่จะดำเนินการแก้ไขรัฐธรรมนูญได้เสร็จสิ้นทันก่อนปิดสมัยประชุมนี้ ซึ่งจะปิดช่วงเดือน ก.ย. โดยเฉพาะข้อเรียกร้องให้ยกเลิก ส.ว. และทำรัฐธรรมนูญใหม่ ตนคิดว่าทำพร้อมกันได้
    "ผมได้เขียนร่างรัฐธรรมนูญฉบับแก้ไขเพิ่มเติมไว้แล้วตั้งแต่ช่วงแรกที่เข้ามาเป็น ส.ส. วันนี้ไม่ได้เป็น ส.ส.แล้ว แต่หาก ส.ส.ท่านใดสนใจก็เอาไปขับเคลื่อนได้เลย หากเราต้องการดับไฟในวันนี้จะต้องแสดงท่าทีตอบรับข้อเรียกร้องของนิสิตนักศึกษา ไม่ใช่มาบอกว่าใครอยู่เบื้องหลัง แต่ต้องแก้รัฐธรรมนูญให้เห็นว่าสภามีความพยายามขับเคลื่อน เพราะหากให้ประชาชนเข้าชื่อเสนอแก้ไขกระบวนการจะล่าช้ากว่า" นายปิยบุตรกล่าว     
    นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด โฆษกพรรคเพื่อไทย (พท.) กล่าวว่า ถ้า พล.อ.ประยุทธ์มีความจริงใจจะถอดสลักความขัดแย้งจากสถานการณ์การชุมนุมเรียกร้องประชาธิปไตยของกลุ่มนักเรียน นิสิต นักศึกษา ประชาชน ที่แผ่ขยายวงกว้างออกไปในแทบทุกจังหวัด พล.อ.ประยุทธ์ต้องหยุดซื้อเวลา ลอยตัวเหนือปัญหา แสดงภาวะผู้นำ การแก้ไขรัฐธรรมนูญภายใต้แนวคิดการตั้ง ส.ส.ร.เป็นแนวทางที่ดี แต่อาจช้าและใช้เวลามาก
ห่วงซ้ำรอยประวัติศาสตร์
    "สิ่งที่นักเรียน นิสิต นักศึกษา ประชาชน ต้องการให้มีการแก้ไขเร่งด่วนมี 2 เรื่อง คือ 1.เปลี่ยนกลับไปใช้ระบบเลือกตั้งแบบบัตร 2 ใบ คือ ส.ส.เขต และ ส.ส.บัญชีรายชื่อ ให้ตรงตามเจตนารมณ์ในการเลือก ส.ส.ของประชาชน 2.ยกเลิกบทเฉพาะกาล ตัดสิทธิ์ ส.ว.ไม่ให้โหวตเลือกนายกรัฐมนตรี เมื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญ 2 เรื่องนี้แล้ว พล.อ.ประยุทธ์ควรแสดงความจริงใจ โดยการประกาศลาออกแล้วยุบสภาเลือกตั้งใหม่ เชื่อว่าจะสามารถถอดสลักความขัดแย้งได้" โฆษกพรรค พท.กล่าว
    ขณะที่นายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธานแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) กล่าวถึงการชุมนุมของนักศึกษาที่หลายฝ่ายออกมาแสดงความกังวลจะนำไปสู่กระบวนการนำม็อบชนม็อบว่า ทุกฝ่ายมีความกังวล ตนพยายามพูดจนกระทั่งหลายคนไปขยายความให้เกิดความเข้าใจผิด และวิพากษ์วิจารณ์ในทางที่เสียหาย ในฐานะที่เป็นคนยืนอยู่แถวหน้าในเหตุการณ์พฤษภาคม 2535 เป็นจุดเปลี่ยนของการต่อสู้ในเหตุการณ์นั้น ภายหลังจากการถูกสลายการชุมนุมที่ราชดำเนิน ตนและบรรดาเพื่อนๆ ก็นำทัพต่อที่รามคำแหง แต่ก่อนที่จะมานำในเหตุการณ์พฤษภาคมในสมรภูมิสุดท้าย ศึกษาประวัติศาสตร์ 14 ตุลาคม 2516 และ 6 ตุลาคม 2519 ซึ่งแต่ละเหตุการณ์ต้องยอมรับว่ามีจุดแข็งและจุดอ่อน
    นายจตุพรกล่าวว่า ในเหตุการณ์พฤษภาคม 2535 พบว่ามีจุดแข็งและจุดอ่อน และเมษายน พฤษภาคม 2553 พบว่ามีจุดแข็งและจุดอ่อน ซึ่งหลายเหตุการณ์ได้อธิบายบทเรียนไว้มากมาย ดังนั้นทันทีที่ผมออกมาทักท้วงว่าให้ขีดเส้นใต้ 3 ข้อเรียกร้องไว้ให้มั่น เพราะรู้ว่าปรากฏการณ์แบบอาชีวะช่วยชาติจะปรากฏ ซึ่งไม่ได้คิดเพียงแค่ฉากหน้าเป็นใคร แต่เเลเห็นกระบวนการว่าจะนำไปสู่อะไร ในเหตุการณ์ปี 2518 และ 2519 ก่อนเกิดเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 ก่อนนั้นนักศึกษากับอาชีวะร่วมกันในเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 แล้วก็แยกออกมาเป็นกลุ่มกระทิงแดง แยกประชาชนเป็นนวพล และออกเป็นกลุ่มหลากหลายต่างๆ ดังนั้นทั้งหมดได้วิเคราะห์ในฐานะที่ผ่านการนำมาก่อนเห็นว่าระบบการจัดการยังไม่สามารถป้องกันการสร้างสถานการณ์ได้ ซึ่งปกติก็ป้องกันยากอยู่แล้ว แต่ระบบการจัดการ ณ ปัจจุบันที่มองเห็นนั้น แทบเกิดโรคแทรกได้ตลอดเวลา  
    “แม้ไม่อยากจะคิด แต่ก็อนุมานได้ว่าหากทำอย่างในอดีตก็จะมีการปะทะกันเป็นระยะๆ และขณะนี้ก็มีการประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินอยู่แล้ว หรือแม้จะประกาศใช้กฎอัยการศึก แต่คำตอบทางการเมืองได้อธิบายไปแล้วว่าปลายทางคืออะไร และผมเชื่อว่าคนที่อยู่ในสนามการเมืองก็รู้ว่าจุดจบในสนามนี้จะเป็นอย่างไร ทันทีที่เกิดเป็นปรากฏการณ์อาชีวะช่วยชาติ ซึ่งวันนี้ทางกลุ่มนักศึกษาที่นัดชุมนุมกันที่วงเวียนใหญ่ ได้ย้ายสถานที่จัดชุมนุมไปที่มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ ซึ่งเป็นการคิดที่ถูกต้อง แต่อย่างไรก็ตาม ที่มีการประกาศยกระดับการชุมนุม การป้องกันเป็นเรื่องที่ยากมาก จากที่ได้ติดตามการถ่ายทอดสดผ่านเว็บไซต์ต่างๆแล้วย้อนดูอดีต ดังนั้นที่พูดวันนี้ไม่ใช่พูดเพื่อให้กลัว แต่พูดเพื่อไม่ให้ทำลายจุดเเข็งของตัวเอง รวมถึงไม่ต้องการให้ใครต้องมาบาดเจ็บล้มตาย ขณะเดียวกันรัฐเองก็ต้องพยายามหาทางป้องกันและระมัดระวังถึงขั้นสูงสุด" นายจตุพรกล่าว  
    นายเมธา มาสขาว เลขาธิการคณะกรรมการรณรงค์เพื่อประชาธิปไตย (ครป.) กล่าวว่า ข้อควรระวังกลุ่มนักเรียนอาชีวะบางส่วนอย่าตกเป็นเครื่องมือของฝ่ายขวาจัดในการสร้างสถานการณ์ความรุนแรงเพื่อแบ่งแยกแล้วปกครอง เพื่อคงสถานะอำนาจรัฐที่มิชอบไว้ โดยศึกษาบทเรียนจากเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 ให้มากที่สุด เพื่อไม่ให้ประเทศไทยกลับไปสู่ยุคแห่งบาดแผลของแผ่นดินในครั้งนั้นอีก
    "ประเด็นสำคัญรัฐบาลอย่าใช้ทฤษฎีสมคบคิดนี้ในการคุกคามประชาชน การที่นายกรัฐมนตรีออกมาปรามบุคคลที่เกี่ยวข้องเป็นเรื่องที่จำเป็น เพราะรัฐบาลอาจจะกลายเป็นผู้สร้างความรุนแรงเสียเองได้ เราไม่ต้องการสงครามกลางเมืองกลับมาใหม่ รัฐบาลจะอุ้มชูทั้งกลุ่มกระทิงแดงในยุคเก่าและทายาทกระทิงแดงในยุคใหม่นี้ไว้ไม่ได้ เพราะสังคมไทยต้องการการปฏิรูปที่เห็นการเปลี่ยนแปลงทั้งระบบ" เลขาฯ ครป.กล่าว.

 


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"