ว่าด้วย “ม็อบ”กับ “ความรัก”


เพิ่มเพื่อน    

 

           เห็นข่าวแวบๆ...ในเว็บไซต์ ไทยโพสต์ เมื่อช่วงวันพฤหัสฯ (30 ก.ค.) ที่ผ่านมา ซึ่งพาดหัวเอาไว้เพียงสั้นๆ ว่า บิ๊กตู่เบรกอาชีวะชนม็อบมุ้งมิ้ง แต่อาจถือเป็นตัวสะท้อนให้เห็นถึงวิสัยทัศน์ ปรีชาญาณ อันยาวไกลมิใช่น้อยของ บิ๊กตู่ หรือของท่านนายกฯ ป.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่ไม่ว่าจะ ดวงตก 2 ชั้น หรือกี่ชั้นก็แล้วแต่ แต่ก็ยังพอมี สติ ในการรับมือภาวะ พระเสาร์จร และ พฤหัสฯ จร อย่างค่อนข้าง เข้าท่า มิใช่น้อย...

                         ----------------------------------------------------

            คือพูดง่ายๆ...ไม่จำเป็นต้องหันไปอาศัยดวง นักเลง หรือ นักบู๊ เอาเลยแม้แต่น้อย อาศัย ธรรมะ คือคุณากร ส่วนชอบสาธร ดุจดวงประทีปชัชวาล ฯลฯ นั่นแหละ ถือเป็นสิ่งที่เข้าท่า และถูกเรื่อง ถูกราว อย่างเป็นที่สุด ด้วยเหตุเพราะ ธรรมะ นั่นเอง ย่อมเป็นเครื่องปกป้อง คุ้มครอง ผู้ประพฤติธรรม ตามพุทธสุภาษิตที่สรุปไว้ว่า ธัมโม หเว รักขติ ธัมมจาริง หรือ ธรรมะย่อมคุ้มครองผู้ประพฤติธรรม หรือที่ ป๋าเปลว สีเงิน ท่านทอนให้สั้นลงไปอีกว่า ทำดี=ธรรมรักษา อะไรประมาณนั้น โดยในรายละเอียดของเนื้อข่าว...ระบุเอาไว้ประมาณว่า เมื่อวันที่ 18 ก.ค.ที่ผ่านมา ท่านนายกฯ บิ๊กตู่ ท่านได้ลงทุนไปพูดคุยกับ ตัวแทนและกระทรวงต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง (กับม็อบอาชีวะ) ว่า “อย่ามาเคลื่อนไหวอะไรในเวลานี้เลย เพราะจะทำให้เกิดมี 2 ฝ่ายขึ้นมา มันจะลุกลามบานปลายไปในวันข้างหน้า แล้วทุกสิ่งทุกอย่างจะกลับไปสู่ที่เดิม ซึ่งเขาก็รับปากว่าจะไม่ออกมาเคลื่อนไหวใดๆ”...

                         ----------------------------------------------------

            เรียกว่า...อย่างน้อย ก็น่าจะผิดแผก แตกต่าง ไปจากรัฐบาลบางรัฐบาลแบบคนละเรื่อง คนละม้วน ประเภทที่เมื่อกราดสายตาไปเห็น ม็อบเหลือง กำลังมาแรง แซงโค้ง ยิ่งขึ้นเรื่อยๆ ด้วยความตกอก ตกใจ ความแตกตื่นจนแทบไม่หลงเหลือ สติ ก็เลยหันไปโดดขึ้นเวที ม็อบแดง ซะเฉยเลย!!! แถมป่าวประกาศว่ากำลังตระเตรียมปืนผา หน้าไม้ เอาไว้ถึง สิบล้านกระบอก ซะอีกต่างหาก ทั้งๆ ที่ตัวเองมีสถานะ ตำแหน่ง ความรับผิดชอบ ในฐานะ รัฐมนตรีมหาดไทย แท้ๆ ด้วยวิสัยทัศน์ ปรีชาญาณ ที่หนักไปทาง วิสั้น ล้วนๆ หวังที่จะอาศัย ม็อบชนม็อบ ให้แหลกลาญกันไปข้าง มันก็เลยไม่ต่างไปจากการยุยง ส่งเสริม ให้ปวงชนชาวไทยหันมาฆ่าฟันกันเอง อันเป็นสิ่งที่ใครก็ตาม ไม่ว่าฝ่ายไหนต่อฝ่ายไหนก็แล้วแต่ ที่ยังคงมีความรักชาติ บ้านเมือง ย่อม รับไม่ได้ ไปด้วยกันทั้งสิ้น...

                                 --------------------------------------------------

            และนั่นเอง...ที่น่าจะเป็นเหตุผลหลักๆ อันทำให้ผู้ที่ยังมีความรักชาติ บ้านเมือง โดยบริสุทธิ์ใจ รักพี่ รักน้อง รักผู้ที่เกิดและเติบโตร่วมกันในผืนแผ่นดินไทย จนไม่อยากเห็นชาวไทยต้องหันมาฆ่าฟันกันเอง เลยต้องอาศัยปืนผา หน้าไม้ แค่ไม่กี่กระบอก เล่นงาน มือปืนสิบล้านกระบอก จนต้องเผ่นหนีไปจากประเทศไทย สังคมไทย ชนิดหาทางกลับบ้านไม่เจอ จนตราบเท่าทุกวันนี้ การคิดจะอาศัย ม็อบชนม็อบ หรือการคิดว่า ประชาชนฝ่ายตัวเอง เป็นฝ่ายที่ถูกต้อง ฝ่ายที่มีมากกว่า เหนือกว่า เก่งกว่า ฉลาดกว่า หรือดีกว่า จนมองเห็น ประชาชนฝ่ายตรงข้าม เป็นศัตรู เป็นอะไรที่น่าเกลียด น่ากลัว น่าขยะแขยง ระดับต้องหาทางเล่นงานในทุกๆ วิถีทาง ชนิดอยู่ร่วมโลก ร่วมผืนแผ่นดินไทยไม่ได้อีกต่อไป จึง ไม่น่าจะเข้าท่า ไปด้วยกันทั้งสิ้น...

                 ------------------------------------------------------

            คือการแสดงออกถึง ความรัก ของแต่ละฝ่ายนั้น...ไม่ว่าจะตั้งอยู่บนพื้นฐาน บนเหตุผลใดๆ ก็ตาม แต่ถ้าหากเป็นรักจริง รักแท้ หรือรักโดยบริสุทธิ์ใจ ย่อมหนีไม่พ้นต้องแฝงฝังสิ่งที่เรียกว่า ธรรมะ เอาไว้ด้วย จะมากบ้าง-น้อยบ้างก็แล้วแต่ เพราะโดยเนื้อแท้ของสิ่งที่เรียกว่า ความรัก ย่อมไม่ต่างอะไรไปจาก ธรรมะ ล้วนๆ นั่นเอง ยิ่งถ้าเป็น ธรรมะ อันถือเป็นแก่นสาระ ศาสนาคริสต์ หรือตามแบบฉบับ พระเยซูคริสต์ ด้วยแล้ว ยิ่งต้องรักกันในระดับ “ถ้าผู้ใดตบแก้มขวาของท่าน...ก็จงหันแก้มซ้ายให้เขาด้วย” หรือ “ถ้าผู้ใดอยากจะฟ้องศาล เพื่อจะปรับเอาเสื้อของท่านไป ก็จงให้เสื้อคลุมแก่เขาเสียด้วย” เรียกว่า...แทบไม่ได้หลงเหลือกลิ่นอายแห่งการไล่ทุบ ไล่ถีบ ไล่กระทืบ หรือไล่ชนซึ่งกันและกัน เอาเลยแม้แต่น้อย...

               ----------------------------------------------------

            ด้วยเหตุนี้...ไม่ว่าจะเป็นประเภท รักเสรีภาพ-รักประชาธิปไตย ตามแบบฉบับพวกหัวก้าวหน้า พวกเสรีนิยมลิเบอร่าน หรือพวกหนูเล็กๆ เด็กๆ ทั้งหลาย หรือ จงรักภักดี ตามแบบฉบับพวกหัวอนุรักษ์ พวกไดโนเสาร์-เต่าล้านปี หรือพวกคนแก่-คนชราโดยส่วนใหญ่ก็ตาม สิ่งที่สามารถนำมาใช้เป็น มาตรฐาน ในการวัด ตัดสิน ว่าอะไรคือรักจริง รักแท้ รักโดยบริสุทธิ์ใจ ก็คงหนีไม่พ้นไปจากสิ่งที่เรียกว่า ธรรมะ นั่นแหละ ว่ามันยังพอหลงเหลือ เจือปน อยู่ในการแสดงออกของฝ่ายไหนต่อฝ่ายไหนกันมั่ง ฝ่ายใดที่ยังพอหลงเหลือความรัก ความปรารถนาดี ความเมตตากรุณาต่อผู้อื่น ฝ่ายใดที่เอาแต่ฉุนฉิว กริ้วโกรธ เกลียดเคียดแค้น อาฆาตพยาบาท ริษยาและชิงชัง ไม่คิดจะรักพี่ รักน้อง หรือกระทั่งรักพ่อ รักแม่ ของตัวเอง???

                       -----------------------------------------------------

            เพราะอย่างที่เคยว่าๆ เอาไว้แล้วนั่นแหละว่า...ภายใต้ กระบวนการความเปลี่ยนแปลง ของโลกภายในอนาคตเบื้องหน้า สิ่งที่อาจถือเป็น คำตอบ หรือ ข้อสรุป ให้เห็นเด่นชัดยิ่งขึ้นเรื่อยๆ ก็คือ...แนวโน้มการเปลี่ยนแปลงมันกำลังนำไปสู่สิ่งที่สอดคล้อง กลมกลืน กับ ธรรมะ หรือ คุณธรรม-ศีลธรรม อย่างมิอาจหลีกเลี่ยงและปฏิเสธได้ยิ่งเข้าไปทุกที ด้วยเหตุนี้...การหันมายึดมั่นใน ธรรมะ ให้มากๆ เข้าไว้ อย่าเผลอไปขาดสติ นอตหลุด นอตหลวม จนต้องกลายสภาพเป็น นักเลง หรือ นักบู๊ โดยมิได้มีความจำเป็นใดๆ เอาเลยแม้แต่น้อย จึงย่อมต้องถือเป็นสิ่งที่ เข้าท่า ไปด้วยประการทั้งพวง...

                             ---------------------------------------------------

            ปิดท้ายด้วยวาทะวันนี้จาก Cullen Hightower” (อีกครั้ง)... Love is what is left in a relationship after all the selfishness has been removed. - ความรัก...คือสิ่งที่หลงเหลืออยู่ในความสัมพันธ์ หลังจากที่ความเห็นแก่ตัวได้ถูกขจัดออกไปหมดแล้ว...”.

                 ----------------------------------------------------


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"