พท.เกาะหลังนศ. ซัดผู้มีอำนาจหูตึง เตือนไฟลามทุ่ง!


เพิ่มเพื่อน    

  เพื่อไทยเกาะหลังเด็กขย่มรัฐบาลบิ๊กตู่ เตือนไม่ฟังเสียงม็อบเยาวชนปลดแอกเตรียมรับมือไฟลามทุ่งไปเรื่อยๆ ยื่นคำขาดยุบสภาเลือกตั้งใหม่เร็วที่สุด คืนอำนาจให้ ปชช.ตั้ง ส.ส.ร.เหมือนปี 40  ขณะที่อดีตเลขาฯ สมช.ฟันเปรี้ยง ผู้มีอำนาจหูตึง ตาบอด ยอมหักไม่ยอมงอ เลี่ยงไม่ได้ซ้ำรอยสู่ความรุนแรง

    เมื่อวันจันทร์ ร.ต.อ.วัฒนรักษ์ อำนรรฆสรเดช กรรมการกิจการพิเศษพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า กลุ่มเยาวชน นิสิต นักศึกษาได้ออกมาแสดงพลัง ณ บริเวณอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ในวันที่ 18 กรกฎาคม  2563 และภายใน 24 ชั่วโมงต่อจากนั้น แฮชแท็ก #เยาวชนปลดแอก ก็ถูกดันขึ้นจนมีสถิติถูกพูดถึงมากกว่า 10 ล้านทวีต ถือว่าเป็นแฮชแท็กที่ถูกพูดถึงมากที่สุดเป็นประวัติการณ์ในทวิตเตอร์ไทย
    ร.ต.อ.วัฒนรักษ์ระบุว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ควรรับฟังข้อเรียกร้องของกลุ่มผู้ชุมนุมและปฏิบัติตามอย่างจริงใจ เพราะการแสดงออกของประชาชนถือเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานที่ประชาชนพึงมีตามระบอบประชาธิปไตย เพื่อเป็นแนวทางแก้ไขปัญหาต่างๆ ที่ค้างคามาตลอด 6 ปีที่ผ่านมา จึงมีข้อเสนอดังนี้ ขอให้หยุดคุกคามประชาชน หน้าที่ของรัฐบาลคือการดูแลชีวิตและความเป็นอยู่ของประชาชนให้ดีขึ้น ควรร่างรัฐธรรมนูญฉบับประชาชน คืนอำนาจให้ประชาชนอีกครั้ง และให้ประชาชนมีส่วนร่วมมากที่สุด โดยใช้สมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ  (ส.ส.ร.) ดังเช่นที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วในการร่างรัฐธรรมนูญฉบับประชาชนปี 2540
     "ให้มีการยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉินทันที ซึ่งเป็นเวลากว่า 2 เดือนแล้วที่ประเทศไทยปลอดผู้ติดเชื้อโควิด-19 รายใหม่จากในประเทศ ประเทศไทยจึงไม่มีเหตุผลที่จะต่ออายุ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน เพราะเป็นอุปสรรคต่อการทำธุรกิจของประชาชน ประเทศขาดความน่าเชื่อถือจากนักลงทุน จนทำให้ประชาชนอดคิดไม่ได้ว่าการที่รัฐบาลจะต่ออายุ พ.ร.ก.ฉุกเฉินนั้น เป็นเพราะเพื่อปิดปากประชาชนหรือไม่ ซึ่งคำถามที่เกิดขึ้นตามมาจากการปรับ ครม.ครั้งนี้ คือคนไทยได้ประโยชน์อะไร เพราะโผ ครม.ใหม่ที่ออกมามีแต่รายชื่อเด็กของ พล.อ.ประยุทธ์, พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี แบ่งกันคนละครึ่ง"
    ร.ต.อ.วัฒนรักษ์กล่าวต่อว่า เศรษฐกิจไทยที่ดิ่งลงเหวมาเรื่อยๆ ตลอด 6 ปี เป็นวิกฤติที่ทุกคนเจอและต้องการผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านมาแก้ไข ให้มีการยุบสภาเพื่อเลือกตั้งใหม่ให้เร็วที่สุด เพราะตลอดระยะเวลา 6 ปีที่ผ่านมาที่ พล.อ.ประยุทธ์และ ครม.ได้บริหารประเทศ ซึ่งเป็นที่ประจักษ์แล้วว่าไม่สามารถแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจได้จริง แม้จะมีทั้งเวลา อำนาจ และมาตรา 44 อยู่ในมือ ปัญหาต่างๆ ก็ยังคงอยู่ เช่นความเหลื่อมล้ำทางสังคมที่เพิ่มมากขึ้น
      "ทั้งนี้ การตัดสินใจแก้ไขวิกฤติในครั้งนี้จะเป็นตัวชี้วัดว่า พล.อ.ประยุทธ์จะถูกบันทึกชื่อในฐานะวีรบุรุษ หรือบุรุษแห่งอำนาจนิยม หากรัฐบาลปิดหูปิดตาไม่รับฟังความต้องการของม็อบเยาวชนปลดแอก ก็ต้องรับมือกับไฟที่จะลามทุ่งต่อไปเรื่อยๆ แน่นอน เพราะหากรัฐบาลของ พล.อ.ประยุทธ์คิดจะอยู่ต่อ อนาคตของประเทศไทยคงเหลือแค่ 3 คำ คือ เศร้า มืดมน และสิ้นหวังเท่านั้น" ร.ต.อ.วัฒนรักษ์ระบุ
    วันเดียวกัน พล.ท.ภราดร พัฒนถาบุตร อดีตเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ และเป็นหนึ่งในกรรมการกิจการพิเศษพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า การเคลื่อนไหวของนักเรียน นิสิต นักศึกษา ประชาชน  จะสร้างความรับรู้จนขยายวงเพิ่มขึ้นไปทั่วประเทศ ซึ่งปัจจุบันมีการชุมนุมไปแล้วกว่า 40 จังหวัด จะขยายวงไปครบทุกจังหวัดทั่วประเทศ โดยผู้เข้าร่วมจะไม่ถูกจำกัดเฉพาะกลุ่มนักศึกษาเป็นหลักเท่านั้น  ขณะที่เนื้อหาสาระในการชุมนุมจะเข้มข้นมากยิ่งขึ้น โดยกระบวนการดังกล่าวจะเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วเมื่อมหาวิทยาลัยและโรงเรียนต่างๆ เปิดการเรียนการสอนเต็มรูปแบบ
    "เชื่อว่าเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงรับรู้และมองเห็นปัญหาในทิศทางเดียวกัน โดยเฉพาะการชุมนุมจะมีความหลากหลายมากขึ้น ไม่มีแกนนำ และจะเชื่อมโยงรับลูกถึงกันด้วยอุดมการณ์ร่วมกัน ซึ่งจะมีความต่อเนื่องและกระจายออกไปในพื้นที่ต่างๆ แม้ฝ่ายความมั่นคงสื่อสารไปถึงผู้มีอำนาจในประเด็นเหล่านี้ แต่ผู้มีอำนาจที่ไม่ได้มาตามครรลองประชาธิปไตยมักเป็นพวกที่หูตึงตาบอด จึงเชื่อว่ากลุ่มการเคลื่อนไหวถูกยุยงมา ซึ่งเป็นคุณลักษณะของผู้นำที่มาจากการยึดอำนาจ" พล.ท.ภราดรระบุ
    อดีตเลขาฯ สมช.กล่าวด้วยว่า ส่วนจะนำไปสู่การปราบปรามประชาชนหรือไม่นั้น เชื่อว่าฝ่ายผู้มีอำนาจมีการเรียนรู้ประวัติศาสตร์ในอดีต เพียงแต่เห็นว่าปัจจุบันความพยายามที่จะผ่อนสถานการณ์สายเกินไปแล้ว เพราะประชาชนไม่เกิดความเชื่อถือศรัทธาอันมาจากการบริหารตลอดระยะเวลา 6 ปีที่ผ่านมา ทั้งหมดหากผู้มีอำนาจบริหารจัดการและยอมถอยเป็นก็จะไม่เกิดปัญหา แต่หากฝ่ายผู้มีอำนาจไม่ยินยอมที่จะถอย ยังยืนกรานที่จะยอมหักไม่ยอมงอ สุดท้ายประวัติศาสตร์ที่เรียนรู้มาก็คงหลีกเลี่ยงความรุนแรงยาก
    พล.ท.ภราดรกล่าวว่า พลังการเคลื่อนไหวของนักเรียน นิสิต นักศึกษา ประชาชนจะกลายเป็นฉันทามติร่วม ที่นำไปสู่การแก้ไขและการดำเนินการตามข้อเรียกร้องทั้ง 3 เรื่อง เพราะการเคลื่อนไหว ของนักเรียน นักศึกษาเชื่อมโยงไปถึงคนทุกกลุ่ม ซึ่งข้อเสนอจะตกผลึกและกลายเป็นความชอบธรรมของคนส่วนใหญ่ โดยเชื่อว่ากระบวนการต่างๆ จะเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วและไม่ต้องเป็นไปตามหลักการทั้งหมด ปัจจุบันมาถึงจุดที่โชคร้ายของนายกรัฐมนตรี เพราะพลเอกประยุทธ์ได้กลายเป็นตัวปัญหาหลัก  คนจึงขาดความเชื่อมั่นและต้องการผู้นำใหม่ เพื่อเข้ามาดำเนินการแทนพลเอกประยุทธ์ เพื่อทำให้ข้อเรียกร้องทั้ง 3 ประการสัมฤทธิผลและมีประสิทธิภาพตรงใจประชาชน
    "ดังนั้น นายกรัฐมนตรีจะต้องถอยเพื่อให้บุคคลใหม่เข้ามาดำเนินการในสิ่งที่ประชาชนต้องการ จึงจะเกิดความเชื่อมั่นว่าข้อเรียกร้องทั้ง 3 ข้อจะเกิดขึ้นได้จริง เช่นการหยุดการคุกคาม ตราบใดที่ผู้มีอำนาจมีรากฐานมาจากเผด็จการ มาจากการยึดอำนาจ จึงเป็นเรื่องยากที่จะหยุดการคุกคามประชาชน เพราะเจ้าหน้าที่จะลอกเลียนแบบตัวผู้นำ หรือการแก้ไขรัฐธรรมนูญจะเห็นว่าเกิดขึ้นได้ยาก เพราะรัฐธรรมนูญถูกออกแบบเพื่อพวกพ้องตนเอง จึงมีวุฒิสมาชิก 250 คน ดังนั้นจะไปคาดหวังเพื่อให้เกิดการแก้ไขรัฐธรรมนูญจากตัวนายกรัฐมนตรีจึงเป็นเรื่องยาก" อดีตเลขาฯ สมช.ระบุ
      น.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ เลขาธิการพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงท่าทีของนายวันชัย สอนศิริ ส.ว.ที่ออกมายอมรับว่าต้องทบทวนการแก้รัฐธรรมนูญว่า ขนาด ส.ว.ซึ่งรัฐบาลเลือกมาเองยังมีความเข้าใจว่ากติกาของประเทศที่ใช้อยู่ในปัจจุบันคืออุปสรรค ทุกฝ่ายทั้งรัฐบาลและฝ่ายค้านเข้าใจตรงกันว่าต้องปรับปรุงแก้ไข ให้เป็นกติกาที่สอดคล้องกับการขับเคลื่อนประเทศไปข้างหน้า ดังนั้นเมื่อทุกฝ่ายเห็นสอดคล้องต้องกันเช่นนี้ รัฐบาลก็คงอยู่เฉยไม่ได้ ต้องนำสิ่งเหล่านี้ไปคิดสังเคราะห์และนำมาสู่การปฏิบัติเพื่อให้เกิดประโยชน์แก่ประเทศโดยเร็ว เพราะวันนี้เห็นกันอยู่ว่ารัฐธรรมนูญมีปัญหา ดังนั้นถึงเวลาแล้วที่ต้องแก้รัฐธรรมนูญ.

 


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"