ตัวเลขชุดใหม่นี้หรือเปล่าที่ทำให้ โดนัลด์ ทรัมป์ พลิกลิ้น หันมาประกาศว่าการใส่หน้ากากเป็นการแสดงออกถึง “ความรักชาติ”?
และออกมาฟาดฟันกับจีนอย่างร้อนแรง
ถึงขั้นสั่งปิดสถานกงสุลใหญ่ของจีนที่เมืองฮิวสตัน, รัฐเท็กซัส ใน 72 ชั่วโมง...ตามมาด้วยปักกิ่ง การตอบโต้ของจีนให้ปิดสถานกงสุลใหญ่สหรัฐฯ ในเมืองเฉิงตู
ยิ่งโพลของสำนักต่างๆ รายงานว่า โจ โบเดน แห่งพรรคเดโมแครตนำห่างเท่าไหร่สัปดาห์ต่อสัปดาห์ ยิ่งทำให้ทรัมป์ต้องออกมาอาละวาดด้วยคำแถลงที่ดุเดือดมากขึ้นทุกวัน
ทั้งในประเทศและในเวทีสากล
The Economist ของอังกฤษเสนอบทวิเคราะห์เมื่อปลายสัปดาห์ที่ผ่านมาว่า หากเลือกตั้งสหรัฐฯ วันนี้ โจ ไบเดน จะชนะทรัมป์ค่อนข้างชัดเจน
352 ต่อ 186
เป็นการประเมินจำนวนตัวแทนแต่ละรัฐที่ตัดสินว่าใครได้เกิน 270 ก็ชนะไป หรือที่เรียกว่า Electoral College
ในระบบของสหรัฐฯ คะแนนรวมของผู้หย่อนบัตร หรือ Popular votes ไม่ใช่ตัวตัดสินผลการเลือกตั้งแต่อย่างใด
ทีมนักวิเคราะห์ของนิตยสารรายสัปดาห์อังกฤษฉบับนี้บอกว่า แนวทางการวิเคราะห์มาจากการสังเคราะห์ข้อมูลวันต่อวันจากหลากหลายแหล่งและสถาบันทั้งระดับรัฐและระดับชาติ เพื่อประเมินให้ใกล้ความจริงในวันเลือกตั้งที่ 3 พฤศจิกายนนี้ที่สุด
การที่ทรัมป์เอารูปตัวเองใส่หน้ากากในทวิตเตอร์และเปลี่ยนท่าทีอย่างไม่ขัดเขิน ไม่กลัวเสียฟอร์มหรือข้อวิพากษ์จากผู้จับตาเขาทุกย่างก้าวนั้นแสดงว่าเขากำลังปรับตัวครั้งใหญ่ในช่วงโค้งสุดท้าย!
เพราะเริ่มรู้แล้วว่ากระแสไม่เอาเขาแรงขึ้นทุกวัน
จากเดิมที่ดูถูกเหยียดหยามคนใส่หน้ากากมาเป็นการอ้างว่า “ผมใส่หน้ากากเพราะหลายคนบอกว่านี่คือการแสดงความรักชาติ และไม่มีใครรักชาติเท่าผม!”
คำว่า “รักชาติ” นั้น ฝรั่งใช้คำว่า patriotism
แต่คำว่า “ชาตินิยม” คือ nationalism
ทรัมป์ใช้คำแรกในประเทศและใช้คำที่สองในการซัดกับจีน
เพราะประวัติศาสตร์การเมืองระหว่างประเทศยืนยันว่าสำหรับนักการเมืองนั้นหากเผชิญปัญหาภายในประเทศที่กระทบต่อฐานเสียงตัวเอง วิธีแก้ความเสื่อมความนิยมในชาติคือการสร้างสถานการณ์ในต่างแดนเพื่อกระตุ้นความรู้สึกของคนในชาติ
ถึงขั้นที่เปิดศึกสงครามนอกบ้านเพื่อให้คนในประเทศหันมารวมตัวกันยืนอยู่ข้างหลังผู้นำในขณะนั้น
ทรัมป์คงจะใช้ลูกไม้เก่าๆ นี้มาเสริมสถานภาพตัวเองในยามที่ไบเดนกำลังนำในโพลทั้งหลาย
จุดยืนของไบเดนเองต่อจีนไม่ได้แข็งกร้าวเหมือนทรัมป์ แต่ก็ไม่ได้แปลว่าเขาจะยอมแสดงความอ่อนแอด้วยการหาเสียงทำนองเอาใจปักกิ่ง
เดโมแครตมีจุดยืนกดดันจีนเรื่องสิทธิมนุษยชนและเสรีภาพ
รีพับลิกันภายใต้ทรัมป์หาเรื่องจีนด้านนโยบายการค้าและการลงทุน
สำหรับทรัมป์แล้ว นอกจากเรื่องการค้าแล้ว ก็ยังหาเรื่องจีนด้านอื่นๆ ที่กลายเป็นประเด็นการเมืองด้วย
เช่น กรณีฮ่องกง
กรณีโควิด-19
กรณีหัวเว่ย
กรณีทรัพย์สินทางปัญญา
และกรณีซินเจียง
ถึงขั้นประกาศว่าจะคว่ำบาตรจีนอย่างดุเดือดด้วยการห้ามสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์จีนเข้าประเทศสหรัฐฯ
พรรคคอมมิวนิสต์จีนมีสมาชิก 92 ล้านคน
เป็นไปได้อย่างไรว่าอเมริกาจะห้ามสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์จีนทุกคนเข้าประเทศตัวเอง
เป็นแนวทางที่ไม่เคยมีประเทศไหนทำมาก่อน...เพราะการห้ามสมาชิกพรรคการเมืองของอีกประเทศหนึ่งเข้าประเทศตัวเองเป็นเรื่องที่ไม่มีตัวอย่างและแบบแผนมาก่อนแต่อย่างไร
แต่ทรัมป์ทำอะไรก็ได้ที่เรียกความสนใจในยามนี้
ที่เคยชื่นชม สี จิ้นผิง ก็เปลี่ยนไปเป็นการเผชิญหน้า
ที่เคยบอกว่าจะใช้ข้อตกลงเฟส 1 เพื่อลดความตึงเครียดของสงครามการค้า วันนี้ทรัมป์ก็บอกว่า “ผมไม่ค่อยสนใจเรื่องนี้แล้ว”
แต่หันมาซัดจีนเรื่องโควิด-19 โดยการโยนบาปไปจีนว่าเป็นผู้แพร่กระจายไวรัสตัวนี้จนทำให้สหรัฐฯ มีคนป่วยมากที่สุดในโลก
อีกทั้งยังทำให้เศรษฐกิจอเมริกาย่ำแย่
สำหรับทรัมป์ การจะชนะเลือกตั้งอยู่ที่
ตัวเลขตลาดหุ้นต้องสวย
ตัวเลขคนตกงานต้องงาม
ตัวเลขดุลการค้ากับต่างชาติต้องกระเตื้อง
แต่ตัวเลขทั้งสามชุดนี้ย่ำแย่ไปหมด
ทรัมป์เห็นคะแนนนิยมต่ำเตี้ยลงเรื่อยๆ....จะโทษใครได้ ถ้าไม่ใช่ โจ ไบเดน (ในบ้าน) และสี จิ้นผิง (นอกบ้าน)!.
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |