การลาออกจากกรรมการและกรรมการกำกับดูแลกิจการ บริษัท พีทีทีโกลบอลเคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ PPTGC ของ “สุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์” ทำให้ข่าวมีชื่อติดโผ รมว.พลังงาน ใน ครม.ประยุทธ์ 2/2 มีน้ำหนักสูงมาก

      เช่นเดียวกับ ปรีดี ดาวฉาย ประธานสมาคมธนาคารไทย ที่ลาออกจากตำแหน่งกรรมการและกรรมการผู้จัดการ บมจ.ธนาคารกสิกรไทย หลังมีชื่อติดโผ รมว.คลัง ใน ครม.ประยุทธ์ 2/2

      ชื่อของ สุพัฒนพงษ์ สร้างความเซอร์ไพรส์พอสมควรสำหรับภายนอก เพราะก่อนหน้านี้แคนดิเดตในตำแหน่ง รมว.พลังงาน มีชื่อของ ไพรินทร์ ชูโชติถาวร อดีต รมช.คมนาคม ในยุคคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) มาโดยตลอด

      ทว่า ชื่อของ สุพัฒนพงษ์ กลับไม่สร้างความแปลกใจให้กับคนภายในพรรคพลังประชารัฐสักเท่าไหร่ นั่นเพราะทุกคนรู้ว่าอดีตกรรมการพีทีทีโกลบอลฯ มาได้อย่างไร

      และการที่ สุพัฒนพงษ์ เข้าวินในตำแหน่ง รมว.พลังงานได้ ยังเป็นการสะท้อนให้เห็นว่าศึกแย่งเก้าอี้กระทรวงพลังงานภายในพรรค ใครเป็นฝ่ายชนะ

      หากลากคอนเนกชันของผู้บริหารด้านพลังงานรายนี้กับพรรคพลังประชารัฐ จะยิ่งทำให้เห็นหน้าเห็นหลังมากขึ้นว่า สุพัฒนพงษ์ ชนะในโค้งสุดท้ายได้อย่างไร

      ย้อนปูมหลัง สุพัฒนพงษ์ จบการศึกษาวิศวกรรมศาสตรบัณฑิต (วิศวกรรมเคมี) จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งเป็นสถาบันและคณะเดียวกับ “เสี่ยคนดัง” ที่เป็นนักธุรกิจด้านพลังงาน และยังเป็น 1 ในนายทุนของพรรคพลังประชารัฐ

        “เสี่ยคนดัง” ในแวดวงพลังงานรายนี้ เป็นที่เคารพรักของสมาชิกพรรคพลังประชารัฐบางคน โดยเฉพาะกลุ่ม กทม. ที่นำโดย ณัฏฐพล ทีปสุวรรณ รมว.ศึกษาธิการ

      หลายคนในพรรคเรียก สุพัฒนพงษ์ อย่างคุ้นเคยว่า “พี่พงษ์” อันเป็นการสะท้อนว่าเขาไม่ใช่คนไกล และไม่ได้เหนือความคาดหมายหากจะเป็นชื่อนี้

      ขณะที่ก่อนหน้านี้ในช่วงการจัดตั้ง ครม.ประยุทธ์ 2/1 เคยเกิดศึกชิงเก้าอี้ รมว.พลังงาน ระหว่าง สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ กับ ณัฏฐพล ชนิดว่า สุดท้าย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม ต้องแก้ปัญหาด้วยการยกเก้าอี้ รมว.พลังงานไปให้แก่ สนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์

      มีการพูดกันภายในว่า หากนายสุริยะได้เป็น รมว.พลังงาน จะทำให้ “เสี่ยคนดัง” ไม่สามารถดำเนินเป้าหมายของตัวเองได้ เพราะเป็นคนละสาย คนละขั้ว

      หรือหากเป็นนายณัฏฐพลที่ได้เป็น รมว.พลังงาน ก็จะทำให้ “สุริยะ” ไม่สามารถบรรลุเป้าหมายของตัวเองได้เช่นเดียวกัน

      ที่ผ่านมาจึงมีความเคลื่อนไหวในแง่ของการเล่นสงครามข่าวใส่กัน เพื่อสกัดอีกฝั่งให้เห็น

      ในช่วงกระแสข่าวปรับ ครม.ประยุทธ์ 2/2 กลุ่มของ สุริยะ เคลื่อนไหวอย่างหนักเรื่องเก้าอี้ รมว.พลังงาน แต่เหมือนว่าข่าวเรื่องนี้จะถูกประโคมมากเกินไปกว่าสิ่งที่นายสุริยะและกลุ่มสามมิตรต้องการ

มีการฉายภาพซ้ำๆ เกี่ยวกับภาพลักษณ์ตั้งแต่สมัยไทยรักไทย และคำให้สัมภาษณ์ที่ว่าจะไม่ขอรับตำแหน่งใดๆ ในรัฐบาลมาแชร์จนว่อนโซเชียลมีเดีย

      ซึ่งมีจับกลุ่มคุยกันของ ส.ส.ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นคือ “ไอโอ” ของใครบางคน ที่ยืมมือกระแสสังคมสกัดนายสุริยะ ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มเดียวกับในครั้งแรก

      ในขณะเดียวกันก็มีข่าวว่า พล.อ.ประยุทธ์ ทาบทาม ไพรินทร์ มานั่งเป็น รมว.พลังงาน แก้ปัญหาศึกแย่งชิงเก้าอี้ตัวนี้ เหมือนที่เคยยกให้นายสนธิรัตน์

      เพียงแต่ว่าชื่อของ ไพรินทร์ ถูกต่อต้านจากคนในพรรคพลังประชารัฐ เพราะถือเป็นคนนอก โดยมีการให้ ไพบูลย์ นิติตะวัน ส.ส.บัญชีรายชื่อ และรองหัวหน้าพรรค ออกมาให้สัมภาษณ์คัดค้าน

      มีการขุดคุ้ยประวัติ ไพรินทร์ โดยเฉพาะคดีที่อยู่ในสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เผยแพร่ผ่านสื่อ ตลอดจนการปล่อยข่าวดักหน้าดักหลัง เรื่องที่หากถูกอภิปรายไม่ไว้วางใจจะไม่มี ส.ส.ยกมือโหวตให้

      ซึ่งสอดคล้องกับท่าทีของ “บิ๊กตู่” ที่ออกมาขอร้องว่าอย่าพูดดักหน้าดักหลัง เพราะจะไม่มีใครกล้าเข้ามาทำงาน 

      นอกจากนี้ ไพรินทร์ ยังถูกมองว่ามีสายสัมพันธ์อันดีกับแกนนำในพรรคร่วมรัฐบาลบางคน หากยอมให้เป็น รมว.พลังงาน ผลประโยชน์อาจไม่ตกอยู่กับพรรคพลังประชารัฐ

      ปฏิบัติการสกัดดังกล่าวจึงนำสู่การ “ถอดใจ” และ “ถอนตัว” ของ ไพรินทร์ ในที่สุด

      และการที่ปรากฏชื่อ สุพัฒนพงษ์ ชนิดมาเร็วเคลมเร็ว ยังเป็นการตอกย้ำให้เห็นอีกว่าผู้มีอำนาจไม่ได้ต้องการให้ สุริยะ ดำรงตำแหน่ง รมว.พลังงานจริงๆ

        สุพัฒนพงษ์ ค่อนข้างจะมีภูมิคุ้มกันที่ดีกว่าเมื่อเทียบกับนายไพรินทร์ เพราะมีแกนนำในพรรคพลังประชารัฐบางคนที่ใกล้ชิดกับผู้มีอำนาจให้การสนับสนุน

        ดังนั้นศึกนี้คนที่พ่ายแพ้อีกครั้งคือ "สุริยะ" ขณะที่คนชนะคือ "ณัฏฐพล".