สถานการณ์การเมืองไทยเข้ามาสู่จังหวะต้องจับตาอย่างใกล้ชิด เหตุการณ์เมื่อวันที่ 18 กรกฎาคม อันเป็นจุดเริ่มต้น ‘กลุ่มเยาวชนปลดแอก’ นัดหมาย นิสิต นักศึกษา ให้ออกมาแสดงพลังบริเวณอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย กรุงเทพฯ และได้มีข้อเรียกร้องสำคัญส่งไปถึง รัฐบาลประยุทธ์ จันทร์โอชา 3 ประการ
1.ขอให้รัฐบาลประกาศยุบสภาฯ เพื่อคืนอำนาจให้ประชาชน เปิดทางให้คนที่มีความรู้ ความสามารถเข้ามาแก้ไขปัญหาทางการเมืองและเศรษฐกิจ 2.ขอให้หยุดคุกคามประชาชน ทั้งทางกายภาพ ทางจิตวิทยา ตลอดจนการยัดข้อหาเพื่อดำเนินคดี รวมไปถึงให้รัฐสภายกเลิกกฎหมายที่ละเมิดเสรีภาพในการแสดงออกและเสรีภาพในการชุมนุมตามระบอบประชาธิปไตย3.ขอให้ร่างรัฐธรรมนูญใหม่ โดยคำนึงถึงหลักการสิทธิมนุษยชนเป็นหลัก ปราศจากการแทรกแซงของคนที่ประชาชนไม่ได้เลือก
จากจุดเริ่มต้นดังกล่าว กลุ่มนิสิต นักศึกษา นัดออกมารวมตัว เนื่องจากความไม่พอใจทหาร-การยึดอำนาจ-รัฐบาล-การบริหารงาน ไม่ได้มาแบบวันเดียวจบ ได้ลุกลามไปยัง หัวเมืองใหญ่และอีกหลายจังหวัด ที่มีสถาบันการศึกษาชั้นนำ อาทิ จ.เชียงใหม่ อุบลราชธานี ขอนแก่น มหาสารคาม สงขลา ชลบุรี แพร่ อุดรธานี เป็นต้น และยังไม่หยุด ยังคงมีการนัดหมายในพื้นที่อื่นๆ อีก ใช้รูปแบบการนัดหมาย ช่องทางออนไลน์ ทั้งทางเฟซบุ๊ ทวิตเตอร์ ไลน์ พร้อมกับการติดแฮชแท็ก เวลาชั่วข้ามคืน เพียงพอทำให้มีคนพร้อมใจออกมาเป็นจำนวนมาก และยังได้นัดหมายกันอย่างต่อเนื่อง วันที่ 26 ก.ค. เวลา 17.00 น. #จันรีไม่ทนคนจัญไร สนามกีฬาสามเหลี่ยม จันทบุรี วันที่ 29 ก.ค. #นครสวรรค์จะไม่ทน เวลา 17.00 น. บริเวณประตู 13 อุทยานสวรรค์ จ.นครสวรรรค์ #สุพรรณบุรีจะไม่ทน เวลา 17.00 น. ศาลากลาง จ.สุพรรณบุรี วันที่ 1 ส.ค. เวลา 16.00 น. #ราชบุรีไม่ได้มีดีแค่ปาก สถานที่อยู่ระหว่างติดต่อ วันที่ 2 ส.ค. เวลา 17.00 น. #ร้อยเอ็ดเราไม่เอาเผด็จการ หน้าบึงผลาญชัย
ข้อเรียกร้อง นิสิต นักศึกษา 3 หัวข้อสำคัญ ได้รับเสียงตอบรับ ที่ไม่ใช่เพียงแค่กลุ่มนักศึกษาเท่านั้น แม้แต่ภาคการเมือง แนวร่วมมวลชนที่เรียกตัวเองว่าฝ่ายประชาธิปไตย ต่างออกมาขานรับกันเป็นทิวแถว ทว่า คนที่เข้ามาร่วมในขบวนการอาจจะมีความคึกคะนอง ตั้งใจหรือไม่ตั้งใจ อย่างไรก็ตาม การหยิบยกประเด็นสถาบันพระมหากษัตริย์มาผูกโยงกับเรื่องการเมือง จากคนละเรื่อง แต่มีความตั้งใจทำให้เป็นเรื่องเดียวกัน การเขียนข้อความลงป้าย เพนต์สี เขียนข้อความลงบนตัว ทั้งภาษาไทย ภาษาอังกฤษ ตลอดจนการกระทบกระเทียบ ล้วนเป็นจุดล่อแหลมต่อเหตุการณ์อย่างสำคัญยิ่งต่อขบวนการเคลื่อนไหว
สำนักวิจัยซูเปอร์โพล (SUPER POLL) เสนอผลสำรวจเรื่อง ม็อบเยาวชน กรณีศึกษาตัวอย่างประชาชนทุกสาขาอาชีพทั่วประเทศ ระหว่างวันที่ 20-23 ก.ค. เมื่อถามไปถึงข้อแนะนำต่อม็อบเยาวชน กับสถาบันหลักของชาติ พบว่า ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 98.1 ระบุ อย่าพาดพิง อย่าก้าวล่วง สถาบันหลักของชาติ ในขณะที่เพียงร้อยละ 1.9 ระบุแล้วแต่ม็อบเยาวชนใช้ดุลพินิจ ร้อยละ 53.9 เห็นด้วยกับม็อบเยาวชน ถ้าโจมตีรัฐบาล เช่น การแย่งตำแหน่งรัฐมนตรีขณะชาวบ้านกำลังเดือดร้อน ทุกข์ยาก การกดดันต่อรองให้มีการลาออกจากตำแหน่ง ความล้มเหลวในการแก้เศรษฐกิจ และการต่ออายุ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน เป็นต้น
ขณะเดียวกัน เจ้าหน้าที่ทหาร ตำรวจ หน่วยงานคุมกำลัง นักการเมืองฝ่ายสนับสนุนรัฐบาล ต้องใช้ความอดทนอดกลั้นต่อขบวนการนักศึกษา อย่าเติมเชื้อความขัดแย้ง ไม่ว่าจะเป็นการใช้คำพูด การโพสต์ข้อความ แสดงความคิดเห็น ในทำนองเยาะเย้ย ถากถาง ดูหมิ่น ดูแคลน
พล.อ.สมศักดิ์ รุ่งสิตา เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ เปิดเผยภายหลังศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) บอกว่า ‘เราใช้มาตรา 9 ของ พ.ร.ก.ฉุกเฉินอย่างค่อนข้างที่จะเบาที่สุดแล้ว ถึงวันนี้เราไม่ได้มีการห้ามการออกนอกเคหสถานหรือเคอร์ฟิว และวันนี้สิ่งที่เราจะไม่ห้ามต่อไปคือ เราจะไม่ใช้มาตรา 9 ของ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน มาห้ามการชุมนุม เพื่อแสดงให้เห็นว่าการต่อ พ.ร.ก.ฉุกเฉินในเดือน ส.ค.ทั้งเดือนนี้มีเจตนาเพื่อใช้ในการควบคุมโรคโดยบริสุทธิ์ใจแต่เพียงอย่างเดียว การห้ามการชุมนุมจะไม่ปรากฏอยู่ใน พ.ร.ก.ฉุกเฉินที่จะต่อออกไปอีก 1 เดือน แต่การชุมนุมทางการเมืองท่านต้องปฏิบัติตามกฎหมายอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง ซึ่งเป็นกฎหมายปกติ’
ท่าทีทหาร กองทัพบก เป็นหนึ่งในหน่วยงานที่ถูกโจมตีมากที่สุด บิ๊กแดง-พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) ให้ความเห็นอย่างน่าสนใจหลายช่วง หลายตอน
-ทุกคนก็เป็นราษฎร ภายใต้พระบรมโพธิสมภาร ไม่ว่าจะนับถือศาสนาใด หรือเป็นเชื้อชาติใดก็ตาม ก็มีสิทธิเสรีภาพ
-สิ่งที่คนเห็นทั้งในโซเชียล มีการใช้วาจาผรุสวาท ใช้คำพูดไม่เหมาะสม ไม่บังควร
-การกระทำใดที่จะไปกระทบกระเทือนการแสดงสิทธิเสรีภาพ คิดว่าคนที่ทำแบบนั้น ควรคำนึงถึงขอบเขตการใช้สิทธิเสรีภาพของแต่ละท่าน ต้องไม่จาบจ้วง หรือใช้วาจาที่ไม่สุภาพ ต่อบุคคลที่เป็นผู้หลักผู้ใหญ่
-ได้ศึกษาเรื่องนี้มาตั้งแต่ปี 2561 คือทฤษฎีสมคบคิด ปัจจุบันมีการดำเนินการอย่างเป็นระบบเป็นกระบวนการ
-รัฐบาลและ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ไม่เคยมีคำสั่ง เพียงแต่ให้จัดเจ้าหน้าที่ดูแลผู้ชุมนุมให้เกิดความเรียบร้อย
พ.ต.อ.กฤษณะ พัฒนเจริญ รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เผยว่า ขอฝากถึงคุณพ่อคุณแม่ ผู้ปกครองหรือครอบครัวของบุตรหลานหรือเยาวชนผู้ที่จะเข้าร่วมการชุมนุมด้วยว่า อยากให้เตือนบุตรหลานและเยาวชน ต้องเคารพกฎหมาย ในการทำอะไรต่างๆ ถ้าหากว่าเกิดข้อผิดพลาดขึ้นมาแล้วทำผิดกฎหมาย เจ้าหน้าที่รัฐก็ต้องดำเนินการ ซึ่งอาจส่งผลต่ออนาคตไม่มากก็น้อย และอาจมีประวัติการต้องโทษติดตัวไปตลอด ไม่สามารถลบออกไปได้
ท่าทีของรัฐบาล ตำรวจ ทหาร ที่ดูแลความสงบเรียบร้อย ยังอยู่ในโหมด ‘ตั้งรับในที่ตั้ง’ แต่ก็เฝ้าระวัง จับตาอย่างใกล้ชิด เวลานี้ยังด่วนสรุปไม่ได้ การเคลื่อนไหวออกมาชุมนุมของน้องนิสิต มีไอ้โม่งคอยชักใยหรือไม่ แต่ไม่ว่าอย่างไร ม็อบก็ต้องชุมนุมอยู่ในกรอบ ไม่ใช้ความรุนแรง ทั้งคำพูด การกระทำ เพราะทุกอย่างล้วนอยู่ในสายตา ถูกบันทึกภาพ เสียง อันอาจจะนำไปเป็นประเด็นทางกฎหมายได้ หากเลยกรอบ ขอบเขตที่ส่อไปในทางเกินกว่าเหตุ ละเมิดกฎหมาย ก็อาจจะถูกกฎหมายย้อนมาเล่นงานได้ โดยเฉพาะ พ.ร.บ.การชุมนุมสาธารณะ ที่มีผลบังคับใช้แล้ว
จากการออกมาเคลื่อนไหว ชุมนุมของกลุ่มนิสิต นักศึกษาครั้งนี้ จะเห็นปฏิกิริยาภาคการเมืองแบ่งออกเป็น 2 ส่วน ในส่วนของพรรคพลังประชารัฐ ที่ประกาศจุดยืน สนับสนุนรัฐบาล ย่อมไม่เห็นด้วยต่อการออกมาชุมนุม เรียกร้อง แต่ที่น่าสนใจ ในส่วนของพรรคฝ่ายค้าน ก็มีการแสดงออกที่แตกต่างในรายละเอียด พรรคเพื่อไทยสนับสนุนในข้อเรียกร้อง แม้จะยังมีความเห็นแย้งกันบ้าง ที่บางคนไม่เห็นด้วยต่อการยุบสภาฯ ถ้าจะยุบ ควรที่จะแก้ไขรัฐธรรมนูญให้แล้วเสร็จ แล้วค่อยยุบสภาฯ เพื่อป้องกันไม่ให้ได้นายกรัฐมนตรีหน้าเดิม แต่อีกบางส่วนก็เชียร์ให้ยุบสภาฯ พร้อมจะเลือกตั้งอีกรอบ ขณะที่ในส่วนของพรรคก้าวไกลออกตัวสนับสนุนเป็นพิเศษ มี ส.ส. สมาชิกพรรคไปร่วมสังเกตการณ์การชุมนุม และในการประชุมสภาผู้แทนราษฎรได้พิจารณาญัตติด่วนขอให้รับฟังความคิดเห็นของนิสิต นักศึกษา โดยสนับสนุนการออกมาชุมนุมแสดงความคิดเห็นของนักศึกษาอย่างเต็มที่
นายปิยบุตร แสงกนกกุล แกนนำคณะก้าวหน้า โพสต์ข้อความผ่านเฟจเฟซบุ๊ก ‘การปฏิวัติจะบังเกิดได้ในห้วงเวลาประวัติศาสตร์ที่ประชาชนจำนวนมหาศาลเกิดความรู้สึกนึกคิดร่วมกันในสองมิติ ได้แก่ มิติแห่งความโกรธแค้น และมิติแห่งความหวังประชาชนคับแค้นใจกับสิ่งที่ดำรงอยู่ พร้อมกับมีความหวังร่วมกันในการไปก่อตั้งสิ่งใหม่ทั้งสองความรู้สึกนึกคิดนี้ผสานหลอมรวมกันในความคิดจิตใจของประชาชน จนผลักดันให้ร่วมกันออกไปกระทำการ สิ่งนั้นคือ ปฏิวัติ หากไม่โกรธแค้น ก็จะไม่ทำลายสิ่งที่เป็นอยู่ หากไม่มีความหวัง ก็จะไม่สรรค์สร้างสิ่งใหม่เข้าแทนที่ หากไม่โกรธแค้น ก็จะเฝ้าแต่อดทนรอเวลา ฝันลมๆ แล้งๆ ว่า สิ่งใหม่จะมาตามกาลเวลา หากไม่มีความหวัง ก็จะมุ่งแต่ทำลายล้างโดยไม่เตรียมการสร้างสิ่งใหม่ การปฏิวัติจึงจำเป็นต้องอาศัยปัจจัยจากความโกรธแค้นและความหวัง มันจึงเป็นเหรียญเดียวกันที่มีสองหน้า หน้าหนึ่ง การทำลายล้างสิ่งที่เป็นอยู่ให้พังภินท์ อีกหน้าหนึ่ง การก่อตั้งสิ่งใหม่ที่ดีกว่าเดิมเข้าแทนที่’
จตุพร พรหมพันธุ์ ประธาน นปช. ออกมาเตือนการชุมนุมเอาไว้ด้วยว่า ‘นักศึกษาเดินตาม 3 ข้อเรียกร้องให้มั่นคง ไม่ว่า ยุบสภาฯ เลิกคุกคามประชาชน และร่างรัฐธรรมนูญ ที่เตือนเพราะไม่อยากให้เกิดเรื่อง อยู่ในเหตุการณ์ 2535 กับ 2553 คนตายร่วม 200 ทำไมไม่รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ทั้งหมดคือความปรารถนา และเชื่อว่าทั้ง 2 ฝ่ายกำลังรบกัน ทำลายกัน แต่กลับดันเข้ามาอยู่ตรงกลางจึงถูกรุม เมื่อเตือนแล้วไม่ฟังก็เชิญหาความสำราญกับความตายกันเอาเอง วันนี้เราต้องช่วยกันเมื่อประเทศกำลังเดินไปสู่วิกฤติเศรษฐกิจ ในทางการเมือง เราไม่ควรจะมีคนมาตายกันอีก ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายขวาหรือซ้าย’
การเมืองไทยกำลังเดินเข้าสู่ช่วงหัวเลี้ยวหัวต่ออย่างมีนัยสำคัญ หลายครั้งเหตุการณ์ชุมนุม จากที่ดูเหมือนไม่มีอะไร อาศัยเพียงน้ำผึ้งหยดเดียว ก็ทำให้เหตุการณ์ลุกลามบานปลายจนเกิดความสูญเสีย จากความไม่พอใจ ความคับแค้นในจิตใจ กำลังก้าวเดินไปพร้อมกับการปลุกปั่น
ม็อบ-รัฐบาล-ทหาร แต่ละฝ่ายกำหนดจังหวะก้าวย่างไปในทิศทางใด และจะจบแบบใด เป็นเรื่องที่ต้องตามติดชนิดห้ามกะพริบตา...เลยทีเดียว.
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |