เตือนดังๆอีกครั้งจาก 'จตุพร' จวกยับรุ่นพี่ใช้ไม่ได้ ยุ-หนุนม็อบนักศึกษาเดินสู่กับดัก


เพิ่มเพื่อน    

20 ก.ค.63 - นายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธานแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) เฟซบุ๊กไลฟ์ PEACETALK ช่วงหนึ่งถึงการชุมนุมของกลุ่มนิสิตนักศึกษา ว่าเยาวชนปลดแอกยึดกุมข้อเรียกร้อง 3 ข้อให้มั่นคงถึงที่สุด เพราะเป็นความชอบธรรม สิ่งสำคัญต้องไม่ก้าวล่วงต้องสถาบันพระมหากษัตริย์ ซึ่งเป็นความละเอียดอ่อนและสุ่มเสี่ยงต่อการนำพาไปสู่ความสูญเสีย เช่นดังประวัติศาสตร์การชุมนุมที่ผ่านมา 

นายจตุพร กล่าวว่า ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา เคารพในความคิดเห็นที่แตกต่าง มีรุ่นพี่คนหนึ่งเคยพูดว่า การต่อสู้ทางการเมืองต้อง ไม่เดินเลยอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ซึ่งมีความหมายถึงระบอบการปกครองของไทยยึดติดกับประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุข โดยเป็นอุดมการณ์หลัก 1 ใน 6 ข้อ ของ นปช. ดังนั้นเราต้องอยู่ภายใต้ระบอบการปกครองอันนี้ตามอุดมคติและอุดมการณ์ ข้อเรียกร้องของนักศึกษาเยาวชนปลดแอก 3 ข้อมีความชอบธรรมตามธรรมนูญ ทั้งการเรียกร้องให้ยุบสภา เลิกคุกคามประชาชน และร่างรัฐธรรมนูญใหม่ ซึ่งสังคมไทยยอมรับได้ ถ้ายืนหยัดอยู่ใน 3 ข้อนี้ขบวนการนิสิต ประชาชนจะได้รับการตอบรับและแรงต่อต้านจะลดลง ตนเคยผ่านการบริหารจัดการมา และรู้ถึงการแทรกซ้อนเสมอ สิ่งสำคัญคือ การดำรงความมุ่งหมายไว้ต้องชัดเจน คนที่เป็นนักต่อสู้ เมื่อกล้ายืนหยัดลุกขึ้นมาต่อสู้แล้ว เรื่องความตายเป็นเรื่องที่เล็กเสมอ และนี่เป็นโลกแห่งความเป็นจริง

“ในฐานะคนผ่านทางได้เห็นปรากฎการณ์และมีความหวั่นวิตกโรคแทรกซ้อนใดๆก็ตามจะทำลายการต่อสู้ของขบวนการอันชอบธรรมของนักศึกษา รวมทั้งต้องยอมรับความจริงว่า ถ้าเราต้องการประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุขนั้น จะต้องขีดเส้นใต้ว่า ไม่ยุ่งเกี่ยวหรือก้าวล่วงต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ เพราะถ้าเลยอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยไป ความชอบธรรมในระยะต่อไปนั้นจะมีสูญเสียตามมาเป็นลำดับ เชื่อพลังของคนรุ่นใหม่ เพราะตัวเองก็ผ่านประสบการณ์อันนี้ มักพูดเสมอว่า วันเวลาที่ภาคภูมิใจที่สุดในชีวิต คือ การต่อสู้ในวัยนักศึกษา เพราะได้ตอบแทนบุญคุณประชาชนที่จ่ายภาษีมาสร้างมหาวิทยาลัยให้เราเล่าเรียน"นายจตุพรกล่าว

นายจตุพรกล่าวว่า ประสบการณ์ในชีวิตได้มาจากรั้วมหาวิทยาลัย ดังนั้นบทเรียนการชุมนุมแฟลชม็อบมีนักศึกษาออกมามากกว่าการชุมนุมทุกครั้งที่เกิดขึ้นในประเทศ อีกทั้งในการชุมนุมเมื่อ 14 ตุลา 2516 แล้วเลยมาถึง 6 ตุลา 2519 เมื่อถูกเอาคืน ไม่มีอะไรที่แยกขบวนการอาชีวะออกจากขบวนการนิสิตนักศึกษาได้ดีที่สุดคือเรื่องสถาบันพระมหากษัตริย์ ดังนั้นประวัติศาสตร์ประกาศไว้ชัดแล้วว่า เดินแบบไหนและจบอย่างไร 

"หลายคนพยายามสนับสนุนให้เดินไปสู่กับดักความตายนั้น ผมเชื่อว่าเป็นรุ่นพี่ที่ใช้ไม่ได้ วันนี้ฟังชัดๆว่าสิ่งที่ผมแนะนำ ไม่ได้เป็นอุปสรรคต่อการเคลื่อนไหวเลย ไม่ว่านักศึกษามหาวิทยาลัย หรือนักเรียนโรงเรียนใด ผมเคารพยกย่องในการขับเคลื่อนของคนรุ่นใหม่ ผมอยู่ในฐานะคนผ่านทางจึงเรียกร้องให้เกิดความอดทน หลีกเลี่ยงการเผชิญหน้าความรุนแรง รวมทั้งลดความสูญเสียได้ชัดเจนและขบวนการนิสิตนักศึกษาจะมีความชอบธรรมนั้นต้องไม่ยุ่งเกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์ รวมกระทั่งคนที่มาขับเคลื่อนด้วยวิธีการผสมประสาน หรือวิธีการใดก็ตาม คุณจะทำลายและนำพาให้นักศึกษาไปจบในสิ่งที่เขาไม่ควรจะจบ วันนี้ไม่ใช่เรื่องความกลัว แต่เป็นเรื่องความจริงคือ ต้องไม่เดินเลยอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย"

นายจตุพร กล่าวว่านำเรื่องนี้มาพูด เพราะรู้ไม่มีใครกลัวความตายในการต่อสู้ แต่สิ่งสำคัญคือเราต้องการอะไรในการต่อสู้ ถ้าเราต้องการประชาธิปไตยและเป็นประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุขนั้น ข้อเรียกร้อง 3 ข้อมีความชอบธรรมสูงสุด แม้เรียกร้องให้ยุบสภากับร่างรัฐธรรมนูญจะเกี่ยวกัน เพราะยุบสภาก็ใช้รัฐธรรมนูญเดิม แล้วจะทำอย่างไรให้ได้รัฐธรรมนูญใหม่ ได้เลือกตั้งใหม่ภายใต้กติการัฐธรรมนูญใหม่จึงจะบรรลุความต้องการทุกฝ่าย การคุกคามไม่ควรเกิดขึ้นกับใครก็ตามที่เกิดมาเป็นคนไทย คิดว่า 3 ข้อเรียกร้องมีความชอบธรรม ขอให้ผู้มีอำนาจรับฟังอย่างเป็นผู้ใหญ่ ประเภทยั่วยุไปสุมกองไฟที่ลุกโชนอยู่ยิ่งทำให้สถานการณ์มันเลวร้าย เพราะ3 ข้อเป็นเรื่องของคนหนุ่มสาวกล้าคิด คนไทยก็ยอมรับกันได้ มีหลายคนที่ไม่พอใจที่ผมออกมาเตือน ผมไม่สนใจ เพราะไม่มีอะไรที่จะไปขัดแย้งกับขบวนการนิสิตนักศึกษา ผมเคยทำมาก่อน เพียงแต่ว่าถ้าเดินเลยอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยในความหมายทางปรัชญาไปนั้น มันจะจบชนิดที่เราไม่คาดคิดจะต้องมีปรากฎการณ์ความสูญเสียขึ้นมาอีก จึงต้องเรียกร้องให้ความอดทนของแต่ละฝ่าย”นายจตุพรกล่าว

ประธานนปช.กล่าวว่า สิ่งสำคัญที่สุดของวันนี้คือ ปรากฎการณ์ชุมนุมของนักศึกษานี้ ถ้าไม่เกิดโควิด-19 สถานการณ์ไปไกลกว่านี้เยอะ แต่ขณะนี้ถ้าไม่บริหารจัดการในผู้ชุมนุมแล้ว เส้นแบ่งบางๆ พร้อมจะขาดสะบั้น ได้ทุกเวลาเพราะไม่มีอะไรที่น่ากลัวไปกว่าความโกลาหล ดังนั้น จึงต้องมีความพร้อมในการจัดการ โดยเฉพาะเรื่องความปลอดภัย และรัฐต้อง ส่งคนเข้าไปร่วมบริหารจัดการเพื่อไม่ให้เป็นชนวนน้ำผึ้งหยดเดียว ซึ่งเป็นความละเอียดอ่อนอย่างมากการต่อสู้ต้องรักษาความชอบธรรมให้ยาวนานที่สุด ถ้าเสียความชอบธรรมไปจะนำพาให้เกิดความสูญเสียมากมายอย่างที่คาดไม่ถึง ตนห่วงใยจากใจจริงที่สุด


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"