ปรับ ครม."ประยุทธ์2/2" ทีม ศก.จุดชี้เป็นชี้ตาย อยู่ยาวหรือนับถอยหลัง


เพิ่มเพื่อน    

 การปรับคณะรัฐมนตรี ประยุทธ์ 2/2 หลังจากนี้วงรอบการเมืองทำให้ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ต้องตัดสินใจปรับ ครม.เร็วขึ้น หลังรัฐมนตรี กลุ่มสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ อดีตรองนายกรัฐมนตรี ลาออก พร้อมกันรวม 4 คนคือ สมคิด-อุตตม สาวนายน อดีต รมว.คลัง-สนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ อดีต รมว.พลังงาน-สุวิทย์ เมษินทรีย์ อดีต รมว.อุดมศึกษาฯ ส่งผลให้มีตำแหน่งรัฐมนตรีว่างลง 4 ตำแหน่ง ที่ทั้งหมดล้วนเป็นรัฐมนตรีในโควตากลางของพลเอกประยุทธ์ รวมถึงของพรรคพลังประชารัฐ

ทำให้จากเดิมการปรับ ครม.ที่พลเอกประยุทธ์เคยวางปฏิทินไว้ว่าจะปรับ ครม.หลังร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ.2564 ผ่านความเห็นชอบจากทั้งสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา คือราวๆ ปลายเดือนกันยายนแล้วถึงค่อยปรับ แต่มาตอนนี้นายกรัฐมนตรีรอช้าไม่ได้แล้ว เพราะการที่กระทรวงสำคัญๆ ทางเศรษฐกิจอย่างคลัง-พลังงาน ไม่มีรัฐมนตรีว่าการฯ นั่งประจำการ ย่อมไม่ดีแน่ต่อการบริหารราชการแผ่นดินโดยรวม แม้ต่อให้จะมีปลัดกระทรวงหรือบางกระทรวงที่มี รมช.อย่างกระทรวงการคลัง จะมี สันติ พร้อมพัฒน์ รมช.คลัง คอยคุมงานไปได้ แต่ยังไงการมีรัฐมนตรีว่าการฯ ตัวจริง ย่อมดีกว่าการปล่อยให้เกิดสภาวะสุญญากาศ ซึ่งท่าทีของพลเอกประยุทธ์ล่าสุดบอกไว้แล้วว่า จะดำเนินการปรับ ครม.ให้เสร็จสิ้นภายในไม่เกินเดือนสิงหาคมนี้

ทั้งนี้ รัฐมนตรี 36 คน รวมนายกรัฐมนตรี มีการแบ่งโควตาทั้งโควตากลาง หรือโควตานายกรัฐมนรี ที่ตอนตั้งรัฐบาล พลเอกประยุทธ์กันไว้ เพื่อนำคนที่ตัวเองไว้ใจ และต้องการให้มาช่วยงาน ตลอดจนอดีตบิ๊ก คสช.มาอยู่ใน ครม. ประกอบด้วย 1.วิษณุ เครืองาม รองนายกฯ 2.พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ 3.พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย 4.ดอน ปรมัตถ์วินัย รมว.ต่างประเทศ 5.พล.อ.ชัยชาญ ช้างมงคล รมช.กลาโหม 6 สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ อดีตรองนายกฯ

ขณะที่โควตาพรรคการเมือง แยกเป็นหลักๆ ดังนี้ พรรคพลังประชารัฐ 18 คน, พรรคภูมิใจไทย 7 คน, พรรคประชาธิปัตย์ 7 คน, ชาติไทยพัฒนา 2 คน, พรรครวมพลังประชาชาติไทย 1 คน, พรรคชาติพัฒนา 1 คน

อันเป็นสูตร-ข้อตกลง ตั้งแต่ตอนตั้งรัฐบาลเมื่อ 1 ปีที่แล้ว แต่ปัจจุบัน สมการทางการเมือง เปลี่ยนแปลงไปมาก ความเป็นรัฐบาลเสียงปริ่มน้ำหมดไปแล้ว จำนวน ส.ส.ในสังกัดพรรคร่วมรัฐบาลสวิงเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จึงทำให้มีความพยายามจากบางกลุ่มในพลังประชารัฐ ตลอดจนพรรคร่วมรัฐบาล โดยเฉพาะพวกพรรคเล็ก ที่จ้องอยากเสียบส่งคนไปเป็นรัฐมนตรี โดยหวังให้พลเอกประยุทธ์-พลเอกประวิตร ในฐานะผู้จัดการรัฐบาล เขย่าโควตารัฐมนตรีกันใหม่ เข้าทำนอง อยากให้เป็นแบบ "สมบัติผลัดกันชม" "เป็นแล้วก็แบ่งให้คนอื่นได้เป็นบ้าง"

  อย่างไรก็ตาม พบว่าสัญญาณจาก บิ๊กตู่-บิ๊กป้อม ก็คือ ยังคงใช้โควตาสัดส่วนเดิมตอนตั้งรัฐบาล และพยายามจะไม่ให้มีการปรับเปลี่ยนกระทรวงระหว่างพรรคร่วมรัฐบาลด้วยกัน แต่หากพรรคร่วมรัฐบาลจะเปลี่ยนตัวรัฐมนตรีในโควตาพรรค ก็ให้ส่งชื่อมา ยิ่งเมื่อ พรรคร่วมรัฐบาลที่ควรได้โควตารัฐมนตรีเพิ่มขึ้นอย่าง ภูมิใจไทย หลังได้ ส.ส.อดีตอนาคตใหม่ที่ย้ายมาอยู่ภูมิใจไทยร่วม 10 คน ที่จริงๆ สามารถต่อรองขอเพิ่มโควตา รมต.ได้

แต่เมื่อทั้ง อนุทิน ชาญวีรกูล-เนวิน ชิดชอบ พอใจกับโควตาและกระทรวงที่ภูมิใจไทยมีอยู่ แรงกระเพื่อมที่จะทำให้มีการเขย่าโควตาใหม่ ที่บางพรรคร่วมรัฐบาลหรือแม้แต่ คนในพลังประชารัฐ ที่รอแต่งตัวเป็น เสนาบดี ครั้งแรกในชีวิต ลุ้นอยู่ว่าอยากไปนั่งกระทรวงที่ต้องการ ไม่ใช่กระทรวงในโควตาพลังประชารัฐอย่าง กระทรวงอุดมศึกษาฯ หรือ กระทรวงการต่างประเทศ หาก รมว.บัวแก้ว ดอน ปรมัตถ์วินัย ไม่ขอไปต่อ สุดท้าย ก็อาจส่อวืด หลังพลเอกประยุทธ์ยืนกรานปรับ ครม.รอบนี้ จะไม่มีการเขย่าโควตา-กระทรวงใหม่แต่อย่างใด

         และนั่นย่อมหมายถึง ครม.ประยุทธ์ก็จะยังมี โควตากลาง ที่เป็นโควตา ซึ่งพลเอกประยุทธ์กันเก้าอี้ไว้ให้กับคนที่ตัวเองไว้วางใจหรือจะให้ทำงานต่อเนื่องต่อไปใน ครม. ประยุทธ์ 2/2 ที่แน่นอนว่าชื่ออย่าง วิษณุ-พลเอกอนุพงษ์ ยังไงก็ต้องยังอยู่ ขณะที่ ดอน-รมว.ต่างประเทศ ก็อยู่ที่เจ้าตัวว่าไหวไหม หรือจะขอพักตามกระแสข่าว รวมถึง ”รมช.กลาโหม” ของ บิ๊กช้าง-พลเอกชัยชาญ ก็น่าจะได้อยู่ต่อเช่นกัน

ด้วยสภาพการณ์ข้างต้น จึงทำให้การปรับ ครม.รอบนี้ก็คงจะเขย่ากันในระดับหนึ่ง เว้นเสียแต่พรรคร่วมรัฐบาลอย่าง ประชาธิปัตย์ ร่วมวงปรับ ครม.ภายในพรรคกันเองด้วย สัก 3-4 คน หลังมีกระแสข่าวออกมาเป็นระลอกว่า ส.ส.-แกนนำพรรค ปชป.หลายคนที่ลุ้นเก้าอี้รัฐมนตรีอยู่ ก็ต้องการให้พรรค ปชป.เปลี่ยนตัวรัฐมนตรีรอบนี้เช่นกัน เพราะเกรงว่าหากไม่ปรับตอนนี้พร้อมกับพลังประชารัฐ ก็อาจต้องรอไปอีกนาน จึงอาจมีบางคนในพรรค ถือโอกาสนี้เคลื่อนไหวให้ ปชป.ปรับเปลี่ยนคนเป็น รมต.ของพรรคด้วย ซึ่งหากในพรรค ปชป.เกิดมีการเขย่ากันภายในขึ้นมา ก็อาจทำให้การปรับ ครม.ครั้งนี้ อาจไม่ต่ำกว่า 10 เก้าอี้ก็ได้ โดยในส่วนของพรรค ปชป.น่าจะมีความชัดเจนมากขึ้นหลังการประชุมใหญ่พรรคในวันอาทิตย์ที่ 19 ก.ค.นี้ ที่ รร.รามาการ์เดนส์

         สภาพการณ์การเมืองข้างต้นทั้งหมดเห็นเด่นชัดว่า จุดโฟกัสหลักของการปรับ ครม.รอบนี้ก็คือ โฉมหน้าของ ทีมเศรษฐกิจ ในรัฐบาลประยุทธ์ 2/2 ที่จะเป็นจุดชี้ขาด ศรัทธา-ความเชื่อมั่นของประชาชนที่มีต่อนายกฯ บิ๊กตู่

เพราะหากโฉมหน้าทีมเศรษฐกิจชุดใหม่ที่จะมาแทนทีมสมคิดเดิม ถ้ารายชื่อที่ประกาศออกมาไม่สามารถเรียกศรัทธาความเชื่อมั่นจากประชาชน-นักธุรกิจ-นักลงทุนได้ ก็เชื่อได้ว่า เรตติ้ง-กระแสนิยมพลเอกประยุทธ์มีปัญหาชัวร์

        ยิ่งเมื่อมองไปข้างหน้า เห็นวิกฤติเศรษฐกิจหลายเรื่องจากผลกระทบโควิดรออยู่มากมาย แต่ละเรื่องหนักๆ ทั้งสิ้น ประเทศชาติจึงต้องได้มือทำงานที่เป็นมืออาชีพ มีประสบการณ์ รู้ปัญหาจริง แก้ปัญหาได้ เข้ามาแล้วทำงานได้เลย ไม่ต้องเสียเวลาเรียนรู้ เพราะวิกฤติที่กำลังก่อตัวไม่มีเวลาให้รัฐมนตรีมาฝึกงาน แต่ต้องเข้ามาแล้วลุยงานได้ทันที

โดยหากทำงานไปสักระยะ แล้วสามารถร่วมแก้ปัญหาเศรษฐกิจของประเทศ ผ่อนจากหนักให้เป็นเบาได้บ้าง มีการออกนโยบายที่นำไปปฏิบัติแล้วได้ผลเปรี้ยง-เปรี้ยง น็อกทุกปัญหาได้

ถ้าทีมเศรษฐกิจชุดใหม่ทำได้แบบนี้ รับรองเสียงขานรับ กระแสชื่นชม จะดังเซ็งแซ่ไปทั่ว กลายเป็นขุนพลเศรษฐกิจความหวังใหม่ๆ ให้กับประเทศไทย

ที่นอกจากสร้างเครดิตให้ตัวทีมเศรษฐกิจทีมใหม่เองแล้ว ผลทางการเมืองตรงๆ เลยก็คือ รัฐบาลประยุทธ์ก็ได้แต้ม-มีสิทธิ์อยู่ยาว แต่กลับกัน หากทีมเศรษฐกิจชุดใหม่เข้ามาแล้ว เอาแค่ประกาศชื่อออกมา ไม่ใช่ดรีมทีม แต่เป็นทีมสมัครเล่น ชื่อเสียงไม่เป็นที่ขานรับ แถมเข้ามาแล้วทำงานห่วยแตก แย่กว่ายุคสมคิด ไม่สามารถนำพาประเทศให้รอดพ้นจากวิกฤติโควิดได้ ถ้าเป็นแบบนี้

รัฐบาลบิ๊กตู่ก็เตรียมนับถอยหลังได้เลย

เมื่อจับกระแส สแกนรายชื่อตามกระแสข่าว ทีมเศรษฐกิจชุดใหม่ที่จะมาแทนทีมสมคิด โดยเฉพาะ คนนอก ซึ่งจะเป็นพวกผู้บริหาร-อดีตซีอีโอ องค์กรขนาดใหญ่ทั้งของรัฐและเอกชน

พบว่าหลายวันที่ผ่านมา มีการขานชื่อผ่านสื่อออกมาหลายชื่อ แต่ระยะหลัง ชื่อคนนอกที่จะเข้ามาเป็น รมต. สโคปเริ่มแคบลง

จนตอนนี้ข่าวบางกระแสบอกว่า บางชื่อน่าจะนิ่งแล้ว เช่น ขุนคลังคนใหม่ ชื่อที่น่าลุ้น อาจเป็น ปรีดี ดาวฉาย ประธานสมาคมธนาคารไทย-กรรมการผู้จัดการใหญ่ธนาคารกสิกรไทย ส่วน รมว.พลังงาน เก้าอี้ที่กลุ่มก๊วนการเมืองพลังประชารัฐจ้องตาเป็นมัน ก็มีข่าวว่า สุดท้ายนายกฯ คงขอให้เป็นโควตาที่จะเอาคนนอกเข้ามา ที่ตอนนี้เต็งหนึ่งยังเป็น ไพรินทร์ ชูโชติถาวร อดีต รมช.คมนาคม และอดีตผู้บริหารระดับสูง กลุ่มปตท. ซึ่งปัจจุบันก็เป็น ทีมที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี อยู่แล้ว ส่วนที่หลายฝ่ายเชียร์ ประสาร ไตรรัตน์วรกุล อดีตผู้ว่าการ ธปท. ที่ปัจจุบันเป็นผู้บริหารระดับสูงในธุรกิจกลุ่มเครือเซ็นทรัล ให้เข้ามาเป็นหัวเรือใหญ่คุมเศรษฐกิจแทนสมคิด ชื่อนี้บิ๊กตู่บอกเองไม่มาแล้ว เพราะครอบครัวไม่ไฟเขียว

ท่ามกลางกระแสข่าวที่ออกมาหลายระลอก กลุ่มก๊วนการเมืองในพลังประชารัฐยังเคลื่อนไหวต่อรองให้ สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ ได้โยกจาก รมว.อุตสาหกรรมมาเป็น รมว.พลังงาน แล้วให้ อนุชา นาคาศัย เลขาธิการพรรค ไปเป็น รมว.อุตฯ แทน ส่วน สุชาติ ชมกลิ่น ส.ส.ชลบุรี อดีตประธาน ส.ส.พลังประชารัฐ ยังหวังคั่วเก้าอี้ รมว.แรงงาน ที่จะไปแลกกับพรรครวมพลังประชาชาติไทย แม้สุเทพ เทือกสุบรรณ จะตีกันหลายรอบแล้วก็ตาม หรือไม่อย่างน้อยก็ต้อง รมช.มหาดไทย หลังไม่มี ส.ส.หรือแกนนำพลังประชารัฐโดยตรง นั่งเป็น รมต.ที่มหาดไทยเลยมาร่วม 1 ปี

เชื่อได้ว่า ในช่วง 1 สัปดาห์ข้างหน้าต่อจากนี้ กลุ่มก๊วนใน พปชร.คงจับมือกันต่อรอง เรื่องปรับ ครม.หนักขึ้น เพื่อแสดง power ให้พลเอกประยุทธ์รับรู้

โฉมหน้า ครม. "ประยุทธ์ 2/2" โดยเฉพาะการยกเครื่องทีมเศรษฐกิจ จะได้รับเสียงขานรับจากประชาชนแค่ไหน คาดกันว่าไม่น่าจะเกิน 28 ก.ค. หรือช้าสุด ไม่เกินช่วง 10- 12 ส.ค. ทุกอย่างคงสงบนิ่ง

แต่จะเป็นการนิ่ง ที่ทำให้ทุกกลุ่มก๊วนในพลังประชารัฐพอใจด้วยหรือไม่ ไม่มีใครกล้ารับประกัน!!!!


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"