"ทรัมป์" เลียนอย่าง "จอร์จ ดับเบิลยู. บุช" ประกาศภารกิจสำเร็จแล้ว ภายหลังสหรัฐร่วมมือกับอังกฤษและฝรั่งเศสรุมถล่มซีเรีย แต่รัฐบาลอัลอัสซาดไม่สะทกสะท้อน ยึดดินแดนคืนจากกบฏ ผู้ตรวจสอบจากโอพีซีดับเบิลยูถึงซีเรียแล้ว “สมช.” เผย “บิ๊กตู่-บิ๊กป้อม” สั่งจับตาใกล้ชิด
รายงานของสำนักข่าวเอเอฟพีเมื่อวันอาทิตย์ที่ 15 เมษายน 2561 กล่าวว่า คณะผู้เชี่ยวชาญด้านเคมีจากองค์การห้ามอาวุธเคมี (โอพีซีดับเบิลยู) จากกรุงเฮก เดินทางถึงกรุงดามัสกัสของซีเรียเพียงไม่กี่ชั่วโมงให้หลังปฏิบัติการถล่มทางอากาศของสหรัฐ, อังกฤษและฝรั่งเศส ซึ่งเป้าหมายการโจมตีของมิสไซล์กว่า 130 ลูกเมื่อเช้ามืดวันเสาร์ที่ผ่านมา เป็นแหล่งที่ตั้งเกี่ยวกับอาวุธเคมีของซีเรียในกรุงดามัสกัสและที่เมืองฮอมส์ ไม่ว่าจะเป็นศูนย์วิจัยและฐานทัพ
การโจมตีครั้งนี้ทำให้รัสเซียเดือดดาล และเรียกประชุมฉุกเฉินคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ เพื่อขอให้ประณาม แต่กลับทำไม่สำเร็จ ทำให้เมื่อวันอาทิตย์ ประธานาธิบดีบาชาร์ อัลอัสซาด ของซีเรีย กล่าวประณาม "การรณรงค์หลอกลวงและโกหกในคณะมนตรีความมั่นคง" และว่า ซีเรียและรัสเซียกำลังทำศึกที่ไม่ใช่แค่การต่อสู้กับพวกผู้ก่อการร้าย แต่ยังรวมถึงต้องปกป้องกฎหมายระหว่างประเทศที่ตั้งอยู่บนฐานของความเคารพสิทธิอธิปไตยของประเทศต่างๆ และเจตจำนงของประชาชน
ภายหลังปฏิบัติการซึ่งเพนตากอนระบุว่า เป็นการโจมตีครั้งเดียวจบ ประธานาธิบดีทรัมป์ของสหรัฐได้ประกาศยกย่องการโจมตีว่า "ปฏิบัติการได้อย่างสมบูรณ์แบบ" และทวีตด้วยว่า "ภารกิจสำเร็จ" โดยวลีนี้เป็นวลีเดียวกับที่ประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู. บุช เคยใช้กับสงครามอิรักเมื่อปี 2556 ซึ่งตามหลอกหลอนเขาตลอดช่วงเวลาที่ดำรงตำแหน่ง
เอเอฟพีกล่าวว่า ตามข้อมูลที่เจ้าหน้าที่สหรัฐเปิดเผย ปฏิบัติการครั้งนี้สหรัฐใช้เรือพิฆาต 3 ลำ, ฝรั่งเศสใช้เรือฟริเกต 1 ลำ และเรือดำน้ำของสหรัฐ 1 ลำ ที่ทะเลแดง, อ่าวและเมดิเตอร์เรเนียน ส่วนอากาศยานนั้น อังกฤษใช้เครื่องบินทอร์นาโดและไต้ฝุ่นหลายลำ, สหรัฐใช้เครื่องบินทิ้งระเบิด บี-1 และฝรั่งเศสใช้เครื่องบินราฟาล
เพนตากอนยืนยันว่า ยังไม่มีแผนปฏิบัติการเพิ่มเติมอีก แต่นิกกี เฮลีย์ ทูตสหรัฐประจำยูเอ็น ขู่ว่าสหรัฐพร้อมลั่นไกทุกเมื่อหากซีเรียใช้อาวุธเคมีโจมตีอีกครั้ง
เป้าหมายหลัก 3 แห่งที่สหรัฐและพันธมิตรโจมตีนั้นเป็นสถานที่ว่างเปล่า โดยซีเรียอพยพผู้คนออกก่อนแล้ว และดูเหมือนว่าซีเรียจะไม่ยี่หระกับความเสียหายครั้งนี้ สื่อฝ่ายนิยมรัฐบาลเช่นหนังสือพิมพ์อัลวาตันพากันรายงานถึงความเสียหายที่จำกัด แต่ขณะเดียวกันพวกเขากลับประโคมชัยชนะที่รัฐบาลมีเหนือพวกกบฏในเขตกูตาตะวันออกซึ่งมีดูมาเป็นเมืองหลัก หลังจากปฏิบัติการยาวนาน 2 เดือนสามารถยึดพื้นที่แห่งสุดท้ายของพวกกบฏได้แล้วเมื่อวันเสาร์
สหรัฐและพันธมิตรอีก 2 ชาติ กล่าวหากองกำลังฝ่ายอัสซาดว่าใช้ก๊าซพิษซารินและคลอรีนโจมตีเมืองดูมาเมื่อวันที่ 7 เมษายน คร่าชีวิตผู้คนหลายสิบคน ภายหลังการโจมตีทางอากาศเมื่อวันเสาร์ สามชาติพันธมิตรได้ยื่นร่างข้อมติเข้าคณะมนตรีเพื่อเรียกร้องให้ซีเรียเปิดให้มีการตรวจสอบและยอมให้การบรรเทาทุกข์เข้าพื้นที่โดยไม่มีอุปสรรค, หยุดยิงและเข้าสู่การเจรจาสันติภาพ
รัฐบาลซีเรียและรัสเซียยืนกรานปฏิเสธเรื่องการใช้อาวุธเคมีครั้งล่าสุดนี้ เชื้อเชิญให้ผู้เชี่ยวชาญจากโอพีซีดับเบิลยูเข้าไปพิสูจน์ โดยคณะนี้มีแผนลงพื้นที่ในเมืองดูมาวันอาทิตย์ อย่างไรก็ดี การทำงานของโอพีซีดับเบิลยูน่าจะยากลำบาก เมื่อทุกฝ่ายต่างยืนกรานผลการสอบของตนไว้ก่อนแล้ว รวมถึงมหาอำนาจตะวันตกที่อ้างว่ามีหลักฐานพิสูจน์จนนำไปสู่การเปิดปฏิบัติการโจมตีทางอากาศโดยไม่ผ่านความเห็นชอบของยูเอ็น
สำหรับความเคลื่อนไหวของไทยนั้น กรมการกงสุล กระทรวงการต่างประเทศ ได้ออกประกาศเตือน คนไทยในอิสราเอล โดยเฉพาะในเขตโกลานและบริเวณใกล้เคียง ให้ติดตามข่าวสารเหตุการณ์ซีเรียอย่างใกล้ชิด ทั้งนี้ หากได้ยินเสียไซเรนเตือนภัยขอให้ระวัง และปฏิบัติตามคำแนะนำของเจ้าหน้าที่ท้องถิ่น ทั้งนี้ หากต้องการความช่วยเหลือ สามารถติดต่อได้ที่เฟซบุ๊กของสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงเทลอาวีฟ หรือกรมการกงสุล
ด้าน พล.อ.วัลลภ รักเสนาะ เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) กล่าวในเรื่องนี้ว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ได้สั่งการให้ฝ่ายความมั่นคงเฝ้าติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด และประเมินเป็นระยะๆ แต่ไม่ได้สั่งการอะไรพิเศษ เช่นเดียวกับ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ และ รมว.กลาโหม ที่ไม่ได้กำชับอะไร ซึ่งการโจมตีของสหรัฐมุ่งโจมตีสถานีผลิตศูนย์วิจัยอาวุธเคมี น่าจะไม่มีการขยายวงกว้างมากขึ้น
“ผลกระทบในภาพรวมแน่นอนย่อมเกิดทั้งในภูมิภาคและทั่วโลก เศรษฐกิจก็ต้องกระทบบ้าง เพราะประเทศซีเรียก็ถือว่าเป็นประเทศผลิตน้ำมันรายใหญ่ ตลาดหุ้นคงตกใจบ้าง” พล.อ.วัลลภระบุ
นายธนกฤต วรธนัชชากุล อัยการจังหวัดประจำสำนักงานอัยการสูงสุด ซึ่งเคยได้รับทุนรัฐบาลไทย (ทุน ก.พ.) ไปศึกษากฎหมายที่ประเทศฝรั่งเศส กล่าวถึงกรณีฝรั่งเศสเข้าร่วมโจมตีซีเรียว่า ตามรัฐธรรมนูญของฝรั่งเศส มาตรา 35 วรรคสอง บัญญัติให้รัฐบาลต้องแจ้งให้รัฐสภาทราบถึงการตัดสินใจใช้กำลังทหารในต่างประเทศ อย่างช้าที่สุดภายใน 3 วันนับแต่เริ่มต้นการปฏิบัติการ ซึ่งประธานาธิบดีเอ็มมานูแอล มาครง ตัดสินใจใช้กำลังทางทหารโจมตีซีเรีย โดยยังไม่ได้แจ้งให้รัฐสภาฝรั่งเศสทราบ แต่ประธานาธิบดีมาครงยังมีเวลาในการปฏิบัติให้เป็นไปตามรัฐธรรมนูญ โดยหากนับจากวันที่ 14 เม.ย. เวลา 3 นาฬิกา ซึ่งเป็นเวลาที่ฝรั่งเศสเริ่มโจมตีซีเรียแล้ว ประธานาธิบดีมาครงจะมีเวลาถึงวันที่ 17 เม.ย. ก่อนเวลา 3 นาฬิกาที่จะแจ้งให้รัฐสภาฝรั่งเศส
“สำนักข่าว Franceinfo ของฝรั่งเศสรายงานข่าวว่า ขณะนี้ก็มีนักการเมืองหลายกลุ่ม เช่น วาเลรี ราโบลท์ หัวหน้ากลุ่มซ้ายใหม่ในสภาผู้แทนราษฎร, ฌอง-ลุค เมลองชง, วาเลรี โบเย เรียกร้องให้ประธานาธิบดีมาครงปฏิบัติให้เป็นไปตามรัฐธรรมนูญโดยให้รีบแจ้งให้รัฐสภาทราบโดยเร็ว” นายธนกฤตกล่าว
ผศ.ดร.อนุสรณ์ ธรรมใจ รองอธิการบดีฝ่ายวิจัยและบริการวิชาการ และคณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต ประเมินว่า การโจมตีซีเรียอาจส่งผลให้ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกปรับตัวสูงขึ้นแตะระดับ 80-100 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลได้ และอาจเป็นจุดสิ้นสุดของยุคราคาน้ำมันถูก รวมทั้งราคาทองคำปรับที่จะปรับตัวสูงขึ้น และค่าเงินดอลลาร์ที่จะแข็งขึ้น 10-15%
“มีความเสี่ยงที่สงครามซีเรียจะลุกลามยืดเยื้อนำไปสู่การเผชิญหน้าของรัสเซียและชาติตะวันตก หรือเกิดภาวะสงครามเย็นรอบใหม่ได้ ราคาพลังงานที่ปรับตัวสูงขึ้นจะส่งผลให้แรงกดดันเงินเฟ้อเพิ่มสูงขึ้น และทำให้อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจของโลกและของไทยชะลอตัวลงในช่วงไตรมาสสอง ตลาดการเงินทั่วโลกน่าจะมีความผันผวนมากในช่วงสองสัปดาห์ข้างหน้า” ดร.อนุสรณ์กล่าว และว่า หากสถานการณ์ในซีเรียไม่ขยายวงหรือบานปลาย จะกระทบต่อราคาน้ำมันไม่มาก เพราะซีเรียผลิตน้ำมันดิบคิดเป็น 0.4% ของการผลิตทั่วโลก.
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |