15 ก.ค.63 - นายสำราญ รอดเพชร เผยแพร่บทความเรื่อง "คณิตศาสตร์การเมืองและการปรับครม.ของรัฐบาล 276 เสียง เดิมพันอนาคต..นายกฯลุงตู่..!?" ผ่านหนังสือพิมพ์ไทยโพสต์ฉบับวันที่ 15 ก.ค.2563 โดยมีเนื้อหาดังนี้
วันก่อนโน้นที่ส.ส.ชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ พรรคพลังประชารัฐ(พปชร.)ออกมารุกไล่ดร.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ ให้พ้นจากตำแหน่งก็ดูจะเกินไปจริงๆ นอกจากทัวร์ลงแล้ว นายกฯลุงตู่ก็ออกมาปรามว่า “เบาๆหน่อย ยังจะต้องร่วมงานกันต่อไป..”
ล่าสุด (10 ก.ค.63)ส.ส.ชัยวุฒิก็ถูกวิพากษ์ วิจารณ์ยับอีกครั้งเมื่อเขาบอกว่า โควตาเก้าอี้รัฐมนตรีของกลุ่ม 4 กุมารคือ อุตมะ สาวนายน,สนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์และสุวิทย์ เมษินทรีย์ เป็นของพรรค ไม่ใช่โควตาของนายก เพราะตอนส่งชื่อไปเป็นรัฐมนตรีส่งไปในนามพรรค...
การพูดดังกล่าวถูกมองแบบรวบรัดว่าสวนทางกับที่นายกฯพูด หรืออาจหาญทวงคืนโควตารัฐมนตรีของนายกฯ ทั้งๆที่ในข้อเท็จจริงแล้วนายชัยวุฒิคงไม่กล้าบังอาจไปท้าตีท้าต่อยในความหมายทวงคืนโควตารัฐมนตรีจากนายกฯหรอก แต่น่าจะต้องการบอกว่าทุกเก้าอี้รวมทั้งเก้าอี้รัฐมนตรีของอุตมะ,สนธิรัตน์,สุวิทย์ (รวมทั้งดร.สมคิด)เป็นโควตาของพรรค..
จริงๆแล้ว พล.อ.ประยุทธ จันทร์โอชา นายกฯ ก็พูดค่อนข้างชัดเจนเมื่อ 9 ก.ค.วันที่กลุ่ม 4 กุมารลาออกว่า...อย่าลืมว่าสัดส่วนรัฐมนตรีก็ต้องฟังจากพรรคเป็นหลัก การจะนำคนนอกเข้ามาก็เป็นโควตาของเขา ซึ่งตนก็ขอเขามาและเขาก็ให้ตนมาเข้ามาตรงนี้ รวมทั้งมีรัฐมนตรีหลายคนที่มากับตนด้วย
ตามนี้..แปลความได้ชัดเจนว่านายกฯนั้นเข้าใจและรู้ดีว่าสัดส่วนหรือโควต้านั้นคืออะไร เป็นอย่างไร เป็นของใคร...คำว่า “เขา”ก็คือพรรคพปชร.นั่นเอง ซึ่งรัฐบาลชุดปัจจุบันพรรคพปชร.มอบโควตารัฐมนตรีให้พล.อ.ประยุทธจัดวางตำแหน่งต่างๆ จำนวนหนึ่ง ที่ชอบเรียกกันว่าโควตานายกฯ,โควตาคนนอกหรือ โควตากลาง..นั่นเอง
ย้อนมองรัฐบาล”ลุงตู่” ที่กำลังจะมีการปรับใหญ่ในเร็วๆนี้ เฉพาะในส่วนของพปชร.มีทั้งสิ้น 18คน(รวมทั้งนายกฯ) จะพบว่าที่เป็นโควต้ากลางที่นายกฯนำมาจัดวางให้คนนอกมี 7 คน คือ
1)พล.อ.ประยุทธ จันทร์โอชา 2)พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ 3)ดร.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ 4)ดร.วิษณุ เครืองาม 5)พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา 6) นายดอน ปรมัติวินัย และ 7)พล.อ.ชัยชาญ ช้างมงคล
อีก 11 รัฐมนตรี ซี่งมี3รัฐมนตรีกลุ่ม 4 กุมารรวมอยู่ด้วยเป็นโควตาภายในของพรรค ซึ่งแน่นอนว่าในการจัดวางใครลงตำแหน่งไหน นายกฯย่อมมีส่วนชี้เป็นชี้ตายด้วย ดังนั้นใครมาแตะนายกฯลุงตู่ตรงนี้ถ้าบารมีไม่มากพอก็ทัวร์ลงเมื่อนั้น ดังกรณีนายชัยวุฒิ..
ย้อนมองการจัดสรรโควตาคณิตศาสตร์การเมืองแบบหลวมๆของรัฐบาลลุงตู่ ขณะนั้นรัฐบาลมีคะแนนเสียงปริ่มน้ำอยู่ที่ 254 เสียง(รวม11พรรคเล็กด้วย) เมื่อเอา 36 เก้าอี้ไปหาร 254 เสียง สัดส่วนจะอยู่ที่ 7.05 เสียง ต่อ 1 รัฐมนตรี
พลังประชารัฐ 116 เสียง (รวมพลังหนุนจากพรรคเล็กอีก11เป็น127เสียง) ได้ไป 18 รัฐมนตรี
ประชาธิปัตย์ 53 เสียง ได้ 7รัฐมนตรี(8ตำแหน่ง)
ภูมิใจไทย 51 เสียง ได้ 7 รัฐมนตรี( 8ตำแหน่ง)
-ฯลฯ-
จะพิเศษหน่อยก็ตรงที่ พรรคชาติพัฒนา มี 3 เสียง ได้ 1 รัฐมนตรี(เทวัญ ลิปตพัลลภ) เป็นไปตามข้อตกลงตอนเลือกตั้งและบารมีของคนชื่อ”สุวัจน์”
อย่างไรก็ตามหลังการยุบพรรคอนาคตใหม่เมื่อ 21 ก.พ.2563 รัฐบาลได้ข้ามพ้นจากเสียงปริ่มน้ำเป็นเสียงท่วมท้น กล่าวคือส.ส.ทั้งสภาเหลือเพียง 487 รัฐบาลมี 276 เสียง ฝ่ายค้านเหลือ 211 เสียง ตัวเลขแต่ละพรรคเปลี่ยนไป ตัวหารคำนวณสัดส่วนรัฐมนตรีจะอยู่ที่ประมาณ7.66เสียงต่อ 1 รัฐมนตรี เมื่อลองหารเล่นๆ ตามจำนวนส.ส.ของพรรคร่วมรัฐบาลก็จะออกมาตามตาราง
ตามสูตรคณิตศาสตร์การเมืองของรัฐบาล 276 เสียง หากนำมาใช้กันแบบเคร่งครัด พรรคพลังประชารัฐต้องหายไป 2 ที่นั่ง,ภูมิใจไทยต้องได้เพิ่มอีก 1 พรรค,พรรคชาติพัฒนาก็อาจต้องสลัด 1 เก้าอี้รมต.ของตัวเอง,พรรคพลังท้องถิ่นไทย,พรรคเศรษฐกิจใหม่และพรรคเล็ก 11 พรรค 11 เสียงก็ควรจะได้พรรคละ1 รัฐมนตรี....
แต่คณิตศาสตร์ในชีวิตของจริงการเมือง สุดท้ายก็จะยืดหยุ่นด้วยความลงตัวทางผลประโยชน์อย่างอื่นด้วย ทั้งผลประโยชน์ชาติและผลประโยชน์ตัวเอง.. รอบนี้คาดว่าพรรคภูมิใจไทยก็คงจะเล่นบทผู้เสียสละไม่ขอเพิ่ม, พรรครวมพลังประชาชาติไทยจะยังอยู่,พรรคพลังท้องถิ่นไทย จะได้ 1 รัฐมนตรี ขณะที่พรรคเศรษฐกิจใหม่อาจจะมีตำแหน่งแห่งที่ในรูปแบบอื่นตอบแทน เช่นเดียวพับพรรคเล็ก 11 พรรคที่อาจจะพอใจในรสชาติของกล้วยและลงตัวที่ยืนที่อยู่ในปัจจุบันแล้ว...
ดังนั้นปมใหญ่จริงๆ ในการปรับครม.หนนี้ก็ย้อนกลับไปที่พรรคพลังประชารัฐที่เก้าอี้หดไปราว 2 ที่นั่ง เช่นถ้าเหลือ 16 เก้าอี้ นายกฯเอาไปใช้ 7 เก้าอี้(รวมทั้งนายกฯ) เหลืออีก9 จะแบ่งสรรกันอย่างไรให้ลงตัวในกลุ่มต่างๆ และต้องดูดีกว่าเดิม...
แต่น่าเชื่อว่าเขย่าสูตรไปมา พลังประชารัฐอาจเหลือแค่ 17 หายไปแค่เก้าอี้เดียว
สำคัญที่สุดไม่ว่าโควตากลางหรือโควตาพรรค...ปรับแล้วหน้าตาทีมเศรษฐกิจเป็นอย่างไร ประชาชนร้องยี้หรือไม่ ตอบโจทย์หรือไม่..ซึ่งจะว่ากันที่จริงที่ผ่านมาทีม 4 กุมารก็ไม่ได้เก่งกาจจนประชาชนหวงแหนเพราะฝีมือฉกาจฉกรรจ์อะไรมาก หนำซ้ำประชาชนไม่น้อยรู้สึกไม่ปลื้มกับผลงานทางเศรษฐกิจด้วยซ้ำ เพียงแต่ต้องยอมรับว่าภาพลักษณ์ของทีมกลุ่มสามมิตรและอีกสองสามกลุ่มที่เคลื่อนไหวเปิดศึกแย่งชามข้าวในพรรคค่อนข้างย่ำแย่ มันก็เลยทำให้กลุ่ม 4 กุมารที่มีภาพลักษณ์ส่วนตัวดีพลอยโชคดีไป..และยังอยู่ได้(ชั่วคราว)แม้จะลาขาดจากสมาชิกพรรคไปแล้ว..
นั่นเพราะ “ลุงตู่” ฟังเสียงประชาชน และฉวยใช้เวลานี้ยืดเวลาในการปรับครม.ออกไปให้นานที่สุด ถ้าเป็นไปได้ก็ต้องให้สภาฯผ่านกฎหมายงบประมาณ วาระที่3 ปลายส.ค.หรือต้นก.ย.2563 ไปก่อน..
แต่ถ้ายืดไม่ไหวจะปรับใหญ่กันต้นๆเดือนส.ค.2563 ก็ยังได้ เพราะยามนี้รัฐบาลไม่กลัวเรื่องคะแนนเสียงสนับสนุนอีกแล้ว !!
และแน่นอนถึงนาทีนี้ถึงแม้จะมีข้อจำกัดโน่นนี่นั่น แต่เชื่อว่า “ลุงตู่” ที่มีประสบการณ์บนเก้าอี้นายกฯมา 6 ปีเต็มๆ ต้องรู้แล้วว่าปรับครม.รอบนี้ควรจะปรับอย่างไร ทีมเศรษฐกิจควรจะมีส่วนผสมอย่างไรให้แข็งแกร่งแข็งแรง เมื่อรวมทั้งหมดแล้วครม.ชุดใหม่ต้องทำให้ประชาชนเกิดความเชื่อมั่นศรัทธา..เพราะที่สุดแล้วการเมือง การบริหารประเทศเป็นสิ่งที่ค้ำยันรัฐบาลได้ดีที่สุดก็คือ ความเชื่อมั่นและศรัทธาของประชาชน..
...แม้ต้องคำนึงถึงคณิตศาสตร์การเมืองอยู่ แต่ต้องข้ามพ้นไปให้ได้มากที่สุด ภายใต้หลักการนายกฯต้องเป็นคนรับฟัง แต่ต้องเป็นตัวของตัวเองด้วย
...ทุกเก้าอี้รัฐมนตรีมีความสำคัญหมด วางคนให้ถูกที่ถูกทาง..
ถ้าปรับครม.ถูกตาถูกใจประชาชนแล้วเดินหน้าบริหารประเทศเกิดสะดุดต้องยุบสภา หลังเลือกตั้งรอบหน้าก็ยังมีโอกาสกลับมาได้ แต่ถ้าปรับแล้วร้องยี้กันทั้งบ้านทั้งเมืองเบื้องหน้าอนาคตของท่านนายกฯลุงตู่ก็คงหนักหนาสาหัสเป็นธรรมดา.
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |