"พ่อใหญ่จิ๋ว" หอบสังขารทิ้งบอมบ์ รัฐบาลชุดนี้อาจจะอยู่ 10 ปีก็ได้ เผยสถานการณ์การเมืองวันนี้เหมือนเดิมเมื่อ 88 ปีที่แล้ว ยังไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ปรับ ครม.ทีก็ทะเลาะกัน ทหารก็เข้ามา ตอนแรกทหารได้เครดิตดี พออยู่ๆ ไปเครดิตก็ตกลงไปก็เกิดเรื่อง นักการเมืองเอาพี่น้องประชาชนมาเดินขบวน "มาร์ค" จี้ "บิ๊กตู่" ต้องมีความชัดเจนในการปรับ ครม.
เมื่อเวลา 11.00 น. วันที่ 11 กรกฎาคม ที่โรงแรมมิราเคิลแกรนด์ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ อดีตนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีการปรับคณะรัฐมนตรีอาจกระทบการแก้ไขวิกฤติเศรษฐกิจว่า การปรับ ครม.เพราะมาจากการเมือง ซึ่งเรื่องการปรับ ครม.เป็นอย่างนี้มานานแล้ว ในขณะนี้ประเทศไทยคนมีหนี้สินจำนวนมาก คนรวยก็มาก และเป็นประเทศเดียวที่มีเป็นร้อยพรรคการเมือง นักการเมืองก็ทะเลาะกันและกล่าวหาทหาร เป็นปัญหามีพรรคการเมืองมาก แต่ประเทศอื่นมีเพียงสองพรรค
ผู้สื่้อข่าวถามว่า จะให้กำลังใจรัฐบาลอย่างไรจากปัญหาต่างๆ อดีตนายกฯ ตอบว่า ให้มานานแล้ว ให้มาตั้งแต่มีประชาธิปไตย เท่าอายุตนเองกว่า 88 ปี แต่ว่าสำคัญที่รัฐบาลให้กำลังใจตนบ้างไหม
เมื่อถามว่ารัฐบาลจะทำอย่างไรต่อจากนี้ พล.อ.ชวลิตกล่าวว่ารัฐบาลทุกรัฐบาล และวันนี้พูดแต่เรื่องการเมือง ใครจะเป็นหัวหน้าพรรค ห่วงเรื่องเลือกตั้ง ห่วงเรื่องรัฐธรรมนูญแก้อย่างไร ส่วนตัวไม่มีความจำเป็นต้องห่วงเรื่องแบบนั้น การปกครองทุกรูปแบบ ไม่ว่าเป็นแบบใด ก็ไม่มีใครพูดเรื่องแบบนี้เหมือนที่เรากำลังพูด สิ่งเดียวที่เขาพูดคือจะทำอะไรเพื่อประชาชนได้บ้าง นี่คือสิ่งสำคัญที่สุด
ถามว่าการปรับ ครม.ไม่สำคัญในการบริหารประเทศใช่หรือไม่ อดีตนายกฯ ตอบว่า ไม่ใช่ปรับเวลานี้ ทุกอย่างมีการปรับเปลี่ยนแปลงมาตลอด ปรับทีก็ทะเลาะกัน ทหารก็เข้ามา ตอนแรกทหารได้เครดิตดี พออยู่ๆ ไปเครดิตก็ตกลงไปก็เกิดเรื่อง นักการเมืองเอาพี่น้องประชาชนมาเดินขบวน ก็มีเรื่องอีก เป็นแบบนี้เรื่อยมา ถ้าจะถามว่าสถานการณ์การเมืองเป็นอย่างไร ตอบเลยว่าเหมือนเดิมเมื่อ 88 ปีที่แล้ว ยังไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง
ซักว่ามองการบริหารงานรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา อย่างไร พล.อ.ชวลิตกล่าวว่า ทุกรัฐบาลมีนายกรัฐมนตรีที่ดีทุกคนมีความตั้งใจดี ไม่เช่นนั้นเขาคงไม่ให้เป็นนายกฯ เพราะฉะนั้น นายกฯ ต้องรู้จักปรับตัว และรู้ว่าประชาชนต้องการอะไร ทุกวันนี้ก็รู้ว่าประชาชนต้องการอะไร แต่สำคัญจะเอาเงินมาจากไหน ทุกวันนี้มีหนี้สิน 8 ล้านล้านบาท จีดีพีติดลบ 8% ถึง 10% จะเป็นปัญหาทั้งสิ้น การจะแก้ไขอย่างไรต้องช่วยกันคิด
เมื่อถามว่า ภาระหนี้มากมายจะแก้ปัญหากันอย่างไร พล.อ.ชวลิตกล่าวว่า ปัญหาที่เกิดขึ้นมาจากการแพร่ระบาดโรคโควิด-19 ซึ่งทุกคนก็ว่าอย่างนั้น ส่วนข้อเสนอแก้ปัญหาเศรษฐกิจเป็นเรื่องง่ายมาก เพราะประเทศไทยอุดมสมบูรณ์ไปด้วยทรัพยากรใต้ดินตั้งแต่สมัยพระเจ้าอู่ทอง มีแร่ธาตุมากมาย มีเหล็ก แมงกานีส ขุดไปทุกที่ตรงไหนก็เจอ ใช้ทรัพยากรที่เรามีอยู่ขุดขึ้นมาก็ร่ำรวยแล้ว
ก็ดีนะ แต่ตัวเตี้ยไปนิด
ถามว่ารัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์จะไปรอดหรือไม่ในการแก้ไขเศรษฐกิจ อดีตนายกฯ แนะว่า ขอให้ปรับตัว รู้ว่าจะหาเงินไหนมา เพื่อมาทำประโยชน์ให้ประชาชน ซึ่งขณะนี้กองทุนต่างชาติหลายแห่ง ต้องถามตัวเองว่าทำไมกองทุนเหล่านี้ให้ลาว เมียนมา เวียดนาม กัมพูชา แต่ไม่ให้ไทยเพราะเหตุใด
ซักว่าถึงตอนนี้ยังให้กำลังใจ พล.อ.ประยุทธ์อยู่หรือไม่ พล.อ.ชวลิตกล่าวว่า จำเป็นต้องให้ ไม่ให้แล้วจะให้ใคร และรัฐบาลชุดนี้อาจจะอยู่ 10 ปีก็ได้ หรือต้องไปนายโสรัจจะ นวลอยู่ โหรดังทำนาย
เมื่อถามว่า พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ เป็นหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ เหมาะสมเป็นนายกฯ หรือไม่ พล.อ.ชวลิตกล่าวว่า ก็ดีนะ แต่ตัวเตี้ยไปนิด
ถามว่าจะให้กำลังใจ ข้อแนะนำ พล.อ.ประวิตร ในฐานะที่เคยเป็นหัวหน้าพรรคมาก่อนอย่างไร อดีตนายกฯ กล่าวว่า ก็ไม่มีอะไร พล.อ.ประวิตรมีประสบการณ์สูงอยู่แล้ว ซึ่งการเป็นหัวหน้าพรรคการเมือง ต้องเสียสละ และรู้ว่าจะบริหารประเทศอย่างไร รู้ปัญหาของชาติตรงไหน อะไรบ้าง การบริหารประเทศทำกันอย่างไร
เมื่อถามเรื่องการต่อรองของนักการเมืองที่เข้ามาตั้งก๊วนก๊ก เพื่อเข้ามาหาผลประโยชน์ พล.อ.ชวลิตย้อนถามว่า ต้องถามว่าทำไมถึงเป็นเช่นนั้น และจะแก้กันอย่างไร เพราะประเทศไทยมีหลักสำคัญ ชาติ ศาสน์ กษัตริย์ มีเสาหลัก 5 เสา คือ การเมืองการปกครอง เศรษฐกิจ สังคม ความมั่นคง การต่างประเทศ ซึ่ง 5 เสาต้องปกป้องให้ชาติ ศาสน์ กษัตริย์ อยู่ได้ แต่ถ้าเสาการเมืองไม่รอด เสาอื่นก็อยู่ไม่ได้ เสาอื่นทำไม่ได้ ไม่มีทางทำสำเร็จ
"ตอนนี้การเมืองการปกครองทำไม่ถูกต้อง และมีปัญหาการเมือง มีพรรคจำนวนมาก นักการเมืองทะเลาะเบาะแว้งกัน ต่างจากประเทศที่มีความเป็นประชาธิปไตย แม้ประเทศใหญ่มีแค่สองพรรค ที่สำคัญไม่พูดเรื่องตำแหน่งทางการเมือง ประเทศไทยเคยมีแล้ว สองพรรคใหญ่ ยกตัวอย่างมีครั้งปี 40-41"
ถามย้ำว่า พล.อ.ประวิตรมีโอกาสได้เป็นนายกรัฐมนตรีหรือไม่ พล.อ.ชวลิตตอบว่า อยู่ที่ พล.อ.ประวิตร ส่วนตัวเห็นว่า พล.อ.ประยุทธ์ยังทำหน้าที่ไปได้ดี พล.อ.ประยุทธ์จะวางมือทำไม ยังไม่เหนื่อย ก็ต้องทำงานเดินทางไปที่นั่นที่นี่ อีกทั้ง พล.อ.ประวิตรเป็นรุ่นพี่ที่ พล.อ.ประยุทธ์ให้ความเกรงใจ แต่อย่าเอาความเกรงใจมาอยู่เหนือความเจริญของประเทศชาติ ส่วนรวม ไม่ถูกต้อง
ซักว่าจะปิดประตู พล.อ.ประวิตรนั่งนายกฯ หรือไม่ พล.อ.ชวลิตบอกว่า ไม่ตอบคำถามนี้ ไม่ใช่คำตอบที่แก้ปัญหา แต่จะแก้ปัญหาอย่างไรให้เกิดการปกครองเพื่อประชาชน โดยประชาชน หรือการปกครองระบอบประชาธิปไตย เรื่องนายกรัฐมนตรี ใครก็เป็นได้ถ้ามีความรู้ความสามารถที่แท้จริง
เมื่อถามย้ำว่า สถานการณ์ในขณะนี้ไม่มีใครเหมาะสมเท่าพล.อ.ประยุทธ์แล้วใช่หรือไม่ อดีตนายกฯ กล่าวว่า ไม่รู้ เราจะไปพูดอย่างนั้นไม่ได้ เพราะคนดีก็มีอยู่ แต่ยังไม่แสดงฝีมือ
"บิ๊กตู่"ต้องมีความชัดเจน
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงหลักคิดในการปรับคณะรัฐมนตรีว่า ต้องเปิดให้บุคคลที่มีความรู้ความสามารถเข้ามาทำงาน โดยเฉพาะปัญหาที่เกิดขึ้นปัจจุบันยากกว่าที่ผ่านมา จึงต้องให้บุคคลที่มีความพร้อม มีความสามารถเข้ามาทำหน้าที่ ปัจจัยใดที่สร้างความไม่แน่นอนจะต้องรีบแก้ไขทันที ซึ่งนายกฯ ต้องแสดงความชัดเจนว่าจะมีการปรับเปลี่ยนคณะรัฐมนตรีหรือไม่ ทั้งนี้ การปรับเปลี่ยนคณะรัฐมนตรีเป็นไปตามสัดส่วนของพรรคการเมืองต่างๆ นั้น เป็นอำนาจของนายกฯ
ด้านนายสุภรณ์ อัตถาวงศ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีที่นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด โฆษกพรรคเพื่อไทย ออกมาระบุถึงการเดินทางไปพบสื่อของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม เป็นการกลบปัญหาจากการบริหารราชการที่ผิดพลาด ยื้อการสืบทอดอำนาจอีกรูปแบบหนึ่งหรือไม่ ว่าในสถานการณ์วิกฤติของประเทศเช่นนี้ มั่นใจว่านายกฯ ไม่ได้คิดถึงเรื่องการเมืองหรือเรื่องที่ไร้สาระแบบฝ่ายค้าน แต่นายกฯ มุ่งที่จะรับฟังปัญหาและสอบถามถึงความร่วมมือจากทุกภาคส่วน เพื่อให้รัฐบาลขับเคลื่อนประเทศเพื่อประโยชน์สูงสุดของประเทศชาติประชาชน
เฉกเช่นเดียวกันกับที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ก็เคยเดินสายพบสื่อมวลชนเพื่อรับฟังความคิดเห็นเกี่ยวกับแนวทางการตั้งสภาปฏิรูปประเทศเมื่อปี 2557 และก็มีผู้นำรัฐบาลหลายๆ คนก็เดินสายพบสื่อทุกรัฐบาล ไม่เห็นมีปัญหาอะไร กลับเป็นสิ่งที่ดีงาม จะได้สื่อสารและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นซึ่งกันและกัน ซึ่ง พล.อ.ประยุทธ์เป็นผู้นำที่มีความตั้งใจและความจริงใจ มุ่งมั่น ยิ่งในยามที่ทั่วโลกเจอภาวะวิกฤติเศรษฐกิจจากภัยร้ายไวรัสเช่นนี้ ยิ่งจำเป็นต้องขอระดมความคิดและความร่วมมือจากทุกฝ่าย เป็นสิ่งที่ดีมิใช่หรือ ทำไมสติปัญญาของนายอนุสรณ์จึงคิดได้แค่นี้
นายสุภรณ์กล่าวว่า การที่นายอนุสรณ์ระบุว่าการลาออกของ 4 กุมาร นายกฯ ไม่รู้ตัวมาก่อนและยังไม่ลา แต่กลับไปขออนุญาตนายสมคิดแทน สภาพ พล.อ.ประยุทธ์ในขณะนี้กำลังเป็นศูนย์กลางพื้นที่รับปัญหานั้น ตนขอชี้แจงว่าการที่กลุ่ม 4 คนลาออกจากการเป็นสมาชิกพรรคพลังประชารัฐ เป็นเรื่องภายในพรรค ซึ่งนายกฯ ไม่ได้เป็นกรรมการบริหารพรรค ไม่ได้เป็นสมาชิกพรรค และทั้งนี้ทั้ง 4 คนยังทำงานในรัฐบาลปกติ และยังเป็นรัฐมนตรีที่มีภารกิจที่จะต้องทำงานอยู่ ซึ่งไม่ได้ส่งผลอะไรกับการลาออกจากสมาชิกพรรค เพราะเป็นเรื่องภายในพรรค
นายธนกร วังบุญคงชนะ เลขานุการ รมว.การคลัง และอดีตโฆษกพรรคพลังประชารัฐ กล่าวถึงการแต่งตั้งทีมโฆษกพรรคพลังประชารัฐชุดใหม่ว่า ขอแสดงความยินดีกับทีมโฆษกพรรคชุดใหม่ซึ่งประกอบด้วย น.ส.พัชรินทร์ ซำศิริพงษ์ โฆษกพรรค, น.ส.ไพลิน เทียนสุวรรณ, นายสัณหพจน์ สุขศรีเมือง และ น.ส.พิมพ์พร พรพฤติพันธ์ รองโฆษกพรรค ซึ่งทุกคนเป็น ส.ส.รุ่นใหม่ มีความรู้ความสามารถ ตนรู้จักเป็นอย่างดี เชื่อว่าจะสามารถทำความเข้าใจ สื่อสารกับพี่น้องประชาชนได้เป็นอย่างดี เพราะทีมโฆษกพรรคเป็นด่านหน้าในการชี้แจงข้อมูลต่างๆ ให้กับพี่น้องประชาชนได้รับรู้ โดยเฉพาะนโยบายของพรรค นอกจากนั้นจะต้องคอยป้องกันส่วนได้ส่วนเสียของพรรค ซึ่งตรงนี้มีความสำคัญมาก โดยเฉพาะการชี้แจงประเด็นทางการเมือง
นายกฯ ยังไม่ส่งสัญญาณ
ที่โรงแรมแกรนด์วิวรีสอร์ท เกาะเสม็ด นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.พาณิชย์ ในฐานะหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ให้สัมภาษณ์ก่อนเข้าร่วมสัมมนารัฐมนตรีของพรรคว่า งานในวันนี้ได้เตรียมการมานานแล้ว แต่เนื่องจากติดสถานการณ์โควิด ส.ส.ต้องทำงานหนักและต้องลงพื้นที่ จึงไม่มีโอกาสได้พบกันอย่างพร้อมหน้า จึงถือโอกาสนี้เป็นการพูดคุยกันแบบสบายๆ และถือมาชาร์จแบตฯ ร่วมกันด้วย โดยในวันนี้จะมีการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นของสมาชิกในเรื่องทิศทางการนำพาพรรคไปข้างหน้า และจะทำอย่างไรให้ประชาธิปัตย์เข้าไปนั่งในหัวใจของประชาชนได้อีกครั้งหนึ่ง
นายจุรินทร์กล่าวว่า สำหรับการปรับคณะรัฐมนตรี ขึ้นอยู่กับพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม ซึ่งจนถึงขณะนี้นายกฯ ยังไม่ส่งสัญญาณมา
เมื่อถามถึงความขัดแย้งภายในพรรค นายจุรินทร์กล่าวว่า เป็นเพียงกระแสข่าว แต่ข้อเท็จจริงไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทุกอย่างยังทำงานร่วมกันได้
ถามถึงการประชุมใหญ่ที่จะเกิดขึ้นในวันที่ 19 ก.ค. พรรคจะมีการประเมินผลงานรัฐมนตรีของพรรคหรือไม่ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์กล่าวว่า การประชุมใหญ่จะเป็นไปตามระเบียบวาระการประชุมที่กำหนดไว้ แต่ส่วนการปฏิบัติหน้าที่ของรัฐมนตรี พรรคเราก็ได้มีการติดตาม รวมทั้ง ส.ส.และสมาชิกด้วย แม้แต่รัฐมนตรีเองก็ต้องประเมินผลงานตัวเองเหมือนกันว่าที่ผ่านมาสามารถปฏิบัติหน้าที่ได้สำเร็จลุล่วงอย่างไร เพราะต้องยอมรับว่าการทำหน้าที่ของรัฐมนตรีมีผลต่อภาพรวมของพรรค หากรัฐมนตรีทำงานดีมีผลงาน ก็ส่งผลไปถึงพรรคเป็นที่ยอมรับของประชาชน
อย่างไรก็ตาม สำหรับข้อถามที่ว่าพรรคจะมีการเปลี่ยนแปลงตัวบุคคลไปเป็นรัฐมนตรีนั้น ขอไม่ตอบ เพราะไม่อยู่ในฐานะที่ตอบได้ เพราะประชาธิปัตย์มีกฎเกณฑ์ที่ชัดเจน โดยจะต้องเป็นความเห็นจากที่ประชุม ส.ส.และคณะกรรมการบริหารพรรค (กก.บห.)ร่วมกัน
ถามว่า เชื่อมั่นหรือไม่ว่าพรรคประชาธิปัตย์จะยังคงได้จำนวนเก้าอี้รัฐมนตรีเท่าเดิม หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์บอกว่า ขอไม่ตอบ เพราะเรื่องนี้ขึ้นอยู่นายกรัฐมนตรี ถ้านายกฯ จะมีความคิดเห็นที่นอกเหนือไปจากที่เคยพูดคุยกันไว้ตอนร่วมรัฐบาล ท่านก็จะแจ้งให้ทราบ ถ้าแจ้งให้พรรคทราบแล้วพรรคจะได้มีการประชุมและแจ้งกลับไปยังนายกฯ ว่าประชาธิปัตย์มีความเห็นเป็นอย่างไร
เมื่อถามย้ำว่า หากพรรคประชาธิปัตย์โดนยึดเก้าอี้กระทรวงใดกระทรวงหนึ่ง ระหว่างกระทรวงพาณิชย์หรือกระทรวงเกษตรฯ จะไม่มีพรรคประชาธิปัตย์ร่วมรัฐบาลใช่หรือไม่ นายจุรินทร์กล่าวว่า ทุกอย่างต้องผ่านท่านนายกฯ พรรคพลังประชารัฐเป็นพรรคแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล แต่ก่อนก็มาเชิญพรรคประชาธิปัตย์ไปร่วมรัฐบาล โดยมีการเจรจาเงื่อนไขข้อตกลงที่ชัดเจนแล้ว ซึ่งเป็นที่ยอมรับและแถลงนโยบายต่อรัฐสภา ผูกพันกับคนทั้งประเทศแล้ว ฉะนั้นถ้าจะมีการเปลี่ยนแปลง ก็ต้องแจ้งให้ประชาธิปัตย์ทราบและเราก็จะกลับไปพิจารณา ทั้งนี้ จำนวน ส.ส.ของแต่ละพรรคร่วมรัฐบาลที่เปลี่ยนแปลงไปจะมีผลในการเพิ่มหรือลดเก้าอี้รัฐมนตรีของแต่ละพรรคหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับนายกฯ และแกนนำจัดตั้งรัฐบาล
นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รมว.เกษตรและสหกรณ์ ในฐานะเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ ให้สัมภาษณ์ภายหลังสัมมนารัฐมนตรีและ ส.ส.ของพรรคว่า วันนี้เป็นการให้ ส.ส.เปิดใจถึงวิธีการที่จะทำให้ประชาธิปัตย์เดินไปข้างหน้า และเป็นการยุติสิ่งต่างๆ ที่เคยปรากฏในหน้าสื่อ
เมื่อถามถึงกระแสที่ ส.ส.เรียกร้องอยากให้พรรคสำรวจความคิดเห็นคะแนนนิยมของพรรค เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์กล่าวว่า เราจะมีการตั้งคณะทำงานและให้ ส.ส.มีส่วนร่วมในครั้งนี้ด้วยโดยอีก 1-2 เดือนก็จะเห็นผล
ทั้งนี้ ในการสัมมนาระหว่าง ส.ส.และรัฐมนตรีของพรรค ที่นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ รองหัวหน้าพรรค และประธาน ส.ส. ทำหน้าที่เป็นประธานการประชุม โดยในช่วงแรกก่อนที่จะให้สมาชิกแสดงความคิดเห็นได้ถ่ายรูปร่วมกันทั้ง ส.ส.และรัฐมนตรีด้วย ซึ่งการสัมมนาครั้งนี้ ไม่อนุญาตให้สื่อมวลชนเข้าสังเกตการณ์ โดยกันให้ออกนอกพื้นที่ รวมทั้งเจ้าหน้าที่พรรคและผู้ไม่เกี่ยวข้องออกนอกพื้นที่ด้วย เนื่องจากต้องการให้สมาชิกพรรคแต่ละคนได้แสดงความคิดเห็นกันอย่างเต็มที่
นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย ส.ส.ตรัง กล่าวว่า บรรยากาศเป็นไปด้วยดี ถือว่าเป็นการพูดคุยกันอย่างตรงไปตรงมา โดยที่ประชุมได้มีการแสดงความคิดเห็นว่าเวลานี้เราต้องยอมรับความจริงว่าพรรคประชาธิปัตย์ไม่ได้อยู่ในสถานะที่มีความนิยมอย่างมากเหมือนในอดีต ทำให้เราต้องมีความพยายามที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเองมากขึ้น ซึ่งจะเกี่ยวพันไปถึงเรื่องอื่นๆ ทั้งการต้องทำตามนโยบายที่พรรคได้ประกาศต่อประชาชน และการบริหารจัดการภายในพรรค รวมถึงเรื่องอื่นๆ และสิ่งที่ดีมากในการพูดคุยวันนี้ คือทุกคนยอมรับว่าต้องมีการประเมินการทำงานของรัฐมนตรีของพรรคทุกคน ซึ่งนายเฉลิมชัยรับเรื่องและจะไปกำหนดหาวิธีการทำโพลประเมินผลงานดังกล่าว ซึ่งตนคิดว่าเรื่องนี้เป็นสิ่งที่ดีที่สุด เพราะเราถือว่า ส.ส.เป็นผู้เลือกคนไปเป็นรัฐมนตรี แต่ส.ส.ต้องรับผิดชอบต่อประชาชน.
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |