“ประวิตร” เตรียมนั่งหัวโต๊ะประชุมใหญ่พรรค เคาะ 10 รองหัวหน้าพรรค “กลุ่มเพื่อนเอกราช” ขยับวอน “บิ๊กตู่-ลุงป้อม” ใส่ใจให้ความเป็นธรรมคนทำงานใน พปชร.บ้าง ไม่ใช่โบนัสพวกเด็กดื้อหรือพวกปากดี เสนอดัน “ธรรมนัส” นั่งแท่น รมต.ว่าการ “กำนันเทือก” ย้ำ รปช.ยึดเก้าอี้แรงงาน พร้อมหนุนให้เป็นกระทรวงเศรษฐกิจสำคัญ “แรมโบ้” ข้องใจ “ธนาธร” จุ้นเลือกตั้งท้องถิ่นหมิ่นเหม่ผิดเว้นวรรคทางการเมือง
เมื่อวันอังคารที่ 7 กรกฎาคม นายไพบูลย์ นิติตะวัน ส.ส.บัญชีรายชื่อ และกรรมการบริหาร (กก.บห.) พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ให้สัมภาษณ์ถึงการประชุมใหญ่สามัญพรรคประจำปี ครั้งที่ 2/2563 ในวันที่ 10 ก.ค.ว่า พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าพรรค พปชร. จะมาเป็นประธานการประชุม โดยสาเหตุที่ต้องจัดประชุมใหญ่อีกครั้ง เนื่องจากการประชุมเมื่อวันที่ 27 มิ.ย. ยังไม่ได้ตั้งคณะกรรมการสรรหาผู้สมัครรับเลือกตั้ง จึงต้องเรียกประชุมใหญ่อีกครั้ง โดยคณะกรรมการสรรหาผู้สมัครรับเลือกตั้งจะมีจำนวน 11 คน มาจาก กก.บห.พรรค 4 คน และตัวแทนสมาชิกพรรค 7 คน
นายไพบูลย์ยังกล่าวอีกว่า ที่ประชุมจะพิจารณาแก้ไขข้อบังคับพรรคเรื่องให้อำนาจหัวหน้าพรรคแต่งตั้งรองหัวหน้าพรรคจากมติเดิมเมื่อวันที่ 27 มิ.ย. ที่แก้ไขให้แต่งตั้งจากไม่เกิน 4 คน เป็นไม่เกิน 9 คน มาเป็นไม่เกิน 10 คน
ทั้งนี้ รายชื่อรองหัวหน้าพรรคที่วางไว้แล้ว 10 คน ประกอบด้วย 1.นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ 2.นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ 3.นายณัฏฐพล ทีปสุวรรณ 4.นายไพบูลย์ นิติตะวัน 5.นายวิรัช รัตนเศรษฐ 6.นายสุชาติ ชมกลิ่น 7.ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า 8.นายสมศักดิ์ เทพสุทิน 9.นายสันติ พร้อมพัฒน์ ควบผู้อำนวยการพรรค และ 10.นายนิพันธ์ ศิริธร ส.ส.ตรัง ซึ่งมีการเพิ่มนายนิพันธ์ขึ้นมา เพื่อให้ได้รองหัวหน้าพรรคครอบคลุมยุทธศาสตร์และภารกิจพรรคในทุกภาคทั่วประเทศ โดยเดิมจะเสนอชื่อนายสัมพันธ์ มะยูโซ๊ะ ส.ส.เขต 2 นราธิวาส แต่นายสัมพันธ์ปฏิเสธรับตำแหน่ง โดยรายชื่อทั้งหมดต้องรอ พล.อ.ประวิตรแต่งตั้งเป็นทางการ
เมื่อถามว่า เมื่อได้คณะกรรมการสรรหาผู้สมัครรับเลือกตั้งแล้วจะคัดเลือกผู้สมัครลงเลือกตั้งซ่อม ส.ส.เขต 5 จังหวัดสมุทรปราการ ในวันที่ 10 ก.ค.เลยหรือไม่ โดยนายไพบูลย์กล่าวว่า เป็นไปได้
มีรายงานข่าวแจ้งว่า พปชร.ยังจะส่งนายกรุงศรีวิไล สุทินเผือก อดีต ส.ส.ที่ถูกให้ใบเหลืองลงอีกครั้ง
นายไพบูลย์ยังกล่าวถึงกรณีนายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ อดีตสมาชิกพรรคไทยรักษาชาติ (ทษช.) จะยื่นเรื่องต่อคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ให้ตรวจสอบกรณีมีภาพ กก.บห.พรรค พปชร.ไปเชิญ พล.อ.ประวิตรมาเป็นหัวหน้าพรรค โดยใช้สถานที่มูลนิธิป่ารอยต่อ 5 จังหวัด ว่าเข้าข่ายผิดพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง มาตรา 92 ว่านายเรืองไกรจะไปฟ้องวันที่ 9 ก.ค.ไม่ใช่เหรอ รอเขายื่นก่อนแล้วกัน แต่มั่นใจไว้ไม่ผิด และนายเรืองไกรก็ต้องยอมรับกติกาด้วย หากยื่นเรื่องไปแล้วเป็นเท็จ ยื่นเรื่องโดยมิชอบ ก็ต้องพร้อมหากถูกฟ้องกลับตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง มาตรา 101 ซึ่งมีโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 1 แสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
ขณะเดียวกัน ที่ศูนย์ประสานงานพรรค พปชร.ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน ถ.ศรีจันทร์ จ.ขอนแก่น นายเอกราช ช่างเหลา ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรค พปชร. กล่าวถึงการปรับคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่าเป็นอำนาจของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และ รมว.กลาโหมเพียงคนเดียว แต่ในฐานะที่เป็นสมาชิกพรรค พปชร. และเป็น ส.ส.บ้านนอกที่รับรู้ถึงความต้องการและเสียงสะท้อนในระดับพื้นที่พบว่ามีหลายอย่างที่ควรจะปรับ ครม. แต่อำนาจสูงสุดคือการตัดสินใจของท่านนายกฯ แต่ก็ขอสื่อไปถึงนายกฯ ที่มีสายตาอยู่รอบด้านคงมองเห็นถึงปัญหาที่กำลังเกิดขึ้น ว่าจุดใดที่ควรจะปรับเพื่อให้ดีขึ้น จุดใดควรกวดขันเพื่อให้แน่นขึ้น ในการที่ดูแลประชาชนให้สมกับการเป็นพรรคแกนหลักของรัฐบาล
“เอกราช”ขอความเป็นธรรม
"พรรคร่วมรัฐบาลนั้นการตัดสินใจเป็นอำนาจของผู้ใหญ่ในพรรค ซึ่งมีเหตุผลประกอบในด้านต่างๆ แต่หลายคนก็สะท้อนความน้อยใจ สะท้อนความเป็นพรรคการเมืองขนาดใหญ่ของเราว่าพรรคเล็ก 3-5 ที่นั่งได้ตำแหน่งรัฐมนตรี ขณะที่มีอีกหลายกลุ่ม และกลุ่มที่ทำงานให้พรรค มี ส.ส.ที่เป็นแรงขับเคลื่อนการทำงานให้กับพรรคและนโยบายของรัฐบาล ไม่มีแม้กระทั่งตำแหน่งในกรรมาธิการ ซึ่งในการปรับ ครม.รอบนี้ ควรให้ความเป็นธรรมกับคนของพรรคเราเองด้วย เพราะเราคือพรรคหลักของรัฐบาล จึงอยากให้มองคนของตัวเองด้วย อย่าพากันนึกว่า ส.ส.พื้นที่เป็นของตาย ท่านสั่งอะไรมาเราก็ทำกันหมด”
นายเอกราชกล่าวอีกว่า วันนี้ถึงเวลาที่เราต้องเรียนไปถึงผู้มีอำนาจสูงสุดในการบริหารจัดการรัฐบาล ว่าการปรับ ครม.ที่จะเกิดขึ้นนี้นั้น ต้องมองถึงความจำเป็นและเหมาะสม ตัวบุคคลที่เหมาะสมในตำแหน่งทางเศรษฐกิจ ด้านสังคมและการคลัง ส่วนทีมเศรษฐกิจมีการปล่อยข่าวออกมาในวันเลือกตั้ง กก.บห.คงสื่อถึงความเป็นทีมเศรษฐกิจในระดับพรรคมากกว่า ซึ่งพรรคอาจอาศัยทีมเศรษฐกิจที่มีนางนฤมล ภิญโญสินวัฒน์ โฆษกสำนักนายกฯ อยู่ด้วย แต่ไม่ใช่คนเดียว เพราะมีอีกหลายคนที่จะเข้ามาทำงาน"
นายเอกราชกล่าวต่อว่า ทีมเศรษฐกิจของรัฐบาลจะประกอบด้วยทีมของพรรค พปชร. รวมทั้งพรรคร่วมรัฐบาล และการระดมบุคคลที่เชี่ยวชาญในด้านเศรษฐกิจ ซึ่งบางส่วนประสานงานตรงไปที่นายกฯ เพราะคนเก่งในประเทศไทยนั้นมีมาก แต่ยังไม่มีโอกาสเข้ามาแสดงฝีมือ เราควรให้โอกาสผู้ที่มีความรู้ความสามารถ ดังนั้นการจะปรับออกหรือปรับเข้าอย่างไร การตัดสินใจของนายกฯ ถือเป็นที่สุด ซึ่งหากทีมเดิมดีอยู่แล้วก็ไม่ต้องปรับ แต่ถ้าหากทีมเดิมนั้นไม่สามารถทำงานต่อไปได้ หรือทำแล้วไม่ประสบความสำเร็จ ก็ต้องมองหาทีมใหม่
"ผมไม่ขอเสนอว่าทีมใหม่นั้นจะเป็นใคร แต่ขอทำหน้าที่ในฐานะสมาชิกพรรค ทำหน้าที่ในความเป็น ส.ส.ที่ทุกคนรู้กันแล้วว่าไม่ว่าจะเป็นโพล ผลสำรวจ สะท้อนปัญหาและความต้องการของประชาชนมาอยู่แล้ว อีกทั้ง ส.ส.พื้นที่ก็รับฟังปัญหาต่างๆ ทุกวันที่สะท้อนถึงรัฐบาล แต่สิ่งที่น่าเป็นห่วง ก็คือทีมเด็กเกเร มักจะได้กินขนมตลอด ทีมเด็กดีนั้นมักนั่งดูเฉยๆ ด้วยความมีระเบียบวินัยในตัวเอง ผู้บริหารพรรคควรให้ความเป็นธรรม อย่างเท่าเทียมและทั่วถึง ไม่ใช่ให้ออกไปเรียกร้อง ไปแสดงอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์จนประชาชนเบื่อรำคาญ และไม่อยากมีนักการเมืองแบบนี้อีก แต่คนที่ประชาชนเบื่อมากๆ กลับได้รับโบนัสได้รับรางวัล และได้เป็นเสนาบดี การปรับ ครม.ก็ควรดูที่ผลงาน ประสบการณ์ และการทำงานเพื่อประชาชน ต้องมอบรอบด้าน ไม่ใช่มองว่าใครเรียกร้อง ใครฟาดงวงฟาดงาแล้วได้รับการพิจารณาในการแต่งตั้ง" นายเอกราชระบุ
นายเอกราชกล่าวอีกว่า ในฐานะสมาชิกและ ส.ส.พรรค ซึ่งเป็นคณะทำงานร่วม ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รมช.เกษตรและสหกรณ์ ทุกคนทำงานทุ่มเท ทำงานเพื่อพรรคมาโดยตลอด การเลือกตั้งซ่อมทุกเขต หัวหอกสำคัญคือ ร.อ.ธรรมนัส ในการเป็นคนทำงานภายใต้การนำของ พล.อ.ประวิตร ดังนั้นหากปรับ ครม.จริง ความเหมาะสมและความจำเป็นที่จะเกิดขึ้น ส.ส.พรรคและสมาชิกหลายคนคงขอเสนอให้ ร.อ.ธรรมนัสนั้นได้รับตำแหน่งที่สูงขึ้นในระดับรัฐมนตรีว่าการ เพราะหากนำไปเทียบในตำแหน่งเดียวกัน โดยเฉพาะรัฐมนตรีว่าการ ยอมรับว่าหลายท่านที่ดำรงตำแหน่งนั้นคุณสมบัติหรือผลงานนั้นไม่สู้ ร.อ.ธรรมนัส ดังนั้นกลุ่ม ส.ส.เครือข่ายเพื่อนเอกราชในพื้นที่ภาคอีสาน พร้อมที่จะให้การสนับสนุน ร.อ.ธรรมนัสได้รับตำแหน่งที่สูงขึ้น ภายใต้การตัดสินใจของนายกฯ และหัวหน้าพรรค พปชร.
ลุงตู่ไม่มีเวลาเล่นการเมือง
ขณะเดียวกันยังคงมีการแสดงความเห็นต่อเนื่องจากผลสำรว จ หรือโพล เมื่อช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยนายสุภรณ์ อัตถาวงศ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงซูเปอร์โพลที่ระบุพรรค พปชร.และพรรคร่วมรัฐบาลคะแนนนิยมตกมากว่า ไม่มีอะไร ซูเปอร์โพลเป็นภาพรวม แต่ที่ยืนยันในหลายโพล การทำงานของ พล.อ.ประยุทธ์และรัฐบาลได้รับการยอมรับว่า พล.อ.ประยุทธ์ทำงานเต็มที่ดีที่สุด หลายสำนักชื่นชมการแก้ปัญหาวิกฤติโควิดจนไทยขึ้นระดับที่ 2 ของโลก และอียูยังให้เป็น 1 ใน 14 ประเทศ ที่ให้คนไทยเข้าประเทศกลุ่มนี้ได้ ซึ่งเป็นสิ่งที่นานาชาติให้การยอมรับประเทศไทยถือเป็นความสำเร็จยิ่งใหญ่
“โพลการเมืองก็ว่ากันไป การเมืองวิถีใหม่นิวนอร์มอลไม่โจมตีใคร ไม่ใส่ร้ายป้ายสีใคร การเมืองสร้างสรรค์สร้างประโยชน์เพื่อประชาชนทั้งประเทศ พล.อ.ประยุทธ์ไม่มีเวลามาเล่นการเมือง หรือเอาเวลามาตอบโต้ใคร ไม่ได้คง พ.ร.ก.ฉุกเฉิน เพื่อการเมือง ไม่ได้คิดไม่ได้ทำเพื่อเรื่องทางการเมือง ตั้งใจทำงาน” นายสุภรณ์ระบุ
นายสุภรณ์ยังกล่าวถึงกรณีพรรคก้าวไกลระบุนายกฯ ข่มขู่ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎรในการพิจารณาพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2564 ว่าเขาพยายามเล่นวาทกรรม เล่นวิธีการยั่วยุให้เกิดบรรยากาศที่ไม่เรียบร้อยในการประชุมสภา มันเป็นพฤติกรรมเดิมๆ ของ ส.ส.พรรคก้าวไกลบางคน ซึ่งไม่ได้ทำหน้าที่เหมือนพรรคเลย เป็นการก้าวถอยหลังมากกว่า ไม่ได้ก้าวไกล ไม่ได้ก้าวไกลไปข้างหน้า เป็นการเล่นการเมืองถอยหลังลงคลองมากกว่าไม่ได้ประโยชน์
"ขอบอก ส.ส.รุ่นน้อง รุ่นใหม่ของพรรคก้าวไกล อย่าใช้วิชาวาทกรรมการยั่วยุแหย่จนเกิดความชุลมุนวุ่นวายในสภา สำคัญคือ ต้องการท้าทายผู้ใหญ่ยั่วยุให้เสียอารมณ์ พอยั่วยุได้ก็หัวเราะเยาะเย้ยผู้ใหญ่ในสภา เป็นพฤติกรรมที่ใช้ไม่ได้ ยิ่งกว่าการเล่นการเมืองของนักการเมืองยุคเก่าในอดีตอีก ยุคเก่าในอดีตก็ไม่ถึงขนาดนี้ แต่ก็มั่นใจว่า พล.อ.ประยุทธ์อยู่ครบเทอมแน่นอน สามารถบริหารราชการแผ่นดิน รัฐบาลนี้ นาวานี้อยู่ครบเทอม 4 ปีแน่นอน" นายสุภรณ์กล่าว
นายสุภรณ์ยังกล่าวถึงกรณีนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ แกนนำคณะก้าวหน้า จะลุยการเมืองท้องถิ่นว่า นายธนาธรถูกตัดสิทธิ์ทางการเมืองแล้ว จริงๆ นายธนาธรไม่มีสิทธิ์ไปก้าวล่วงเรื่องการเมือง เพราะศาลรัฐธรรมนูญได้ตัดสิทธิ์ว่าห้ามยุ่งทางการเมือง ดังนั้นเมื่อนายธนาธรไปยุ่งเกี่ยวกับการเมืองท้องถิ่น ก็อาจมีคนไปร้องยุบพรรคก้าวไกลอีกก็ได้ในอนาคต ซึ่งเราก็ไม่รู้ว่าใครจะไปร้อง
ด้านนายสัมพันธ์ เลิศนุวัฒน์ หัวหน้าพรรคพลเมืองไทย และที่ปรึกษา พล.อ.ประวิตร ในฐานะกรรมาธิการ (กมธ.) พิจารณา พ.ร.บ.งบประมาณปี 2564 ที่จะประชุมนัดแรกในวันที่ 8 ก.ค.ว่า จะร่วมพิจารณาอย่างรอบคอบ คุ้มค่ากับภาษีประชาชนแน่นอน ส่วนกรณีความเหมาะสมของนายธนาธร ที่ร่วมเป็นหนึ่งใน กมธ.นั้น เราก็พร้อมทำงานร่วมกัน หากนายธนาธรมีความจริงใจที่จะเข้ามาทำหน้าที่เพื่อประโยชน์ของชาติบ้านเมือง ส่วนจะเหมาะสมหรือไม่นั้น ถือว่าเป็นความเห็นของแต่ละบุคคล แต่ตามขั้นตอนกฎหมายแล้วพรรคก้าวไกลก็สามารถเสนอชื่อนายธนาธรมาทำหน้าที่ตรงนี้ได้
ขณะที่ น.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ เลขาธิการพรรคเพื่อไทย (พท.) กล่าวถึงผลซูเปอร์โพลเกี่ยวกับความนิยมของพรรคที่คะแนนนิยมลดลงสวนกับพรรคก้าวไกลที่ขยับขึ้นมาว่า การทำผลโพลของหลายสำนักก็ต้องไปดูรายละเอียด โดยเฉพาะเรื่องของคำถามและกลุ่มเป้าหมาย ซึ่งที่ผ่านมาโพลคะแนนนิยมของพรรคการเมืองมีขึ้นมีลง บางครั้งทำพร้อมกันหลายสำนัก ผลที่ออกมาก็แตกต่างกัน จึงไม่ขอก้าวล่วง แต่ผลสำรวจความคิดเห็นที่ออกมาเป็นสิ่งที่ทุกพรรคการเมืองให้ความสำคัญ และจะต้องนำข้อมูลมาปรับปรุงการทำงาน
จี้คลอดไทม์ไลน์ท้องถิ่น
เมื่อถามว่ากังวลกับผลที่ออกมาหรือไม่ น.อ.อนุดิษฐ์กล่าวว่า ไม่กังวล เพราะผลคะแนนนิยมที่ออกมาพรรคยังมีเวลาในการทำหน้าที่รับใช้ประชาชน กว่าจะถึงการเลือกตั้งใหญ่พรรคต่างๆ ยังต้องพิสูจน์ผลงานกันต่อไป เราไม่มองพรรคการเมืองใดเป็นคู่แข่ง ทุกพรรคการเมืองมีอุดมการณ์และเป้าหมายในการทำงานของตัวเอง พรรคเพื่อไทยชัดเจนในอุดมการณ์ของเรา และคงไม่ไปแข่งขันกับใคร แต่คนที่เราต้องแข่งขันด้วย และต้องทำให้ดียิ่งขึ้นคือการแข่งกันกับตัวเราเอง ให้เป็นที่พึ่งที่หวังของประชาชน และเป็นคำตอบของประชาชนในการเลือกตั้งครั้งต่อไป
“เชื่อมั่นว่าเมื่อถึงวันเลือกตั้งพรรคเพื่อไทยจะยังคงเป็นพรรคการเมืองที่มี ส.ส.มากที่สุดเช่นเดิม เพราะปรับปรุงการทำงานมาโดยตลอด ในการอภิปรายงบประมาณที่ผ่านมา ผลสำรวจทางวิชาการที่พรรคดำเนินการก็เป็นที่น่าพอใจ ประชาชนติดตามการอภิปรายของ ส.ส.พรรคเพื่อไทยมากยิ่งขึ้นกว่าครั้งก่อนๆ” น.อ.อนุดิษฐ์ระบุ
ส่วนนายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด โฆษกพรรค พท. กล่าวถึงกรณี พล.อ.ประยุทธ์ระบุจะจัดให้มีการเลือกตั้งท้องถิ่นสักอย่างในปีนี้ ว่าประชาชนที่ยังเชื่อว่า พล.อ.ประยุทธ์จะทำตามคำพูดที่ได้ประกาศไว้ น่าจะเหลือน้อยลงไปทุกขณะ เช่นเดียวกับกรณีการเลือกตั้งทั่วไปกว่าจะจัดได้ ก็ต้องเลื่อนแล้วเลื่อนอีกไม่ต่ำกว่า 5 ครั้ง ซึ่งความพยายามแช่แข็งประเทศ พาประเทศชาติและประชาชนถอยหลังย้อนยุคกลับไป 40 ปี ด้วยกลไกและวิธีการต่างๆ เพื่อสืบทอดอำนาจยังคงดำรงอยู่ ควบคู่กับการแช่แข็งการเลือกตั้งท้องถิ่น ไม่ส่งเสริมการกระจายอำนาจ ยังคงหวงและรักษาอำนาจไว้ที่ส่วนกลาง เป็นแบบรัฐราชการรวมศูนย์ใหญ่ เทอะทะ แต่ไม่มีประสิทธิภาพ ประชาชนเสียโอกาสการเข้าถึงสิทธิ เสรีภาพในการเลือกผู้นำท้องถิ่นด้วยตัวเอง พล.อ.ประยุทธ์จะหลบหลังโควิดเพื่ออ้างเหตุไม่จัดเลือกตั้งท้องถิ่นก็อ้างไม่ได้แล้ว บอกประชาชนว่าการ์ดอย่าตก แต่คนในรัฐบาลและ ศบค.การ์ดตกเสียเองตั้งหลายครั้ง
“ถ้า พล.อ.ประยุทธ์มั่นใจในคะแนนนิยมของตัวเอง ไม่มีอะไรต้องกลัว ความกลัวทำให้เสื่อม การเลือกตั้งท้องถิ่นทั่วประเทศถูกแช่แข็งมามากกว่า 5 ปี ถ้าจะบริหารงานแบบนิวนอร์มอลตามที่พูด รัฐบาลควรแสดงความจริงใจ เร่งจัดให้มีการเลือกตั้งท้องถิ่น จะเปิดหัวเริ่มประเดิมสนามแรกด้วยการเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม.ยิ่งดี จะได้เป็นการทดสอบคะแนนนิยมรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ ว่าดีตามที่ลูกหาบพยายามแห่หรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ต้องเร่งสร้างไทม์ไลน์เลือกตั้งท้องถิ่นให้เกิดความชัดเจนโดยเร็ว ประชาชนจะได้เข้าถึงสิทธิเสรีภาพในการเลือกผู้นำท้องถิ่นด้วยตัวเอง” นายอนุสรณ์กล่าว
วันเดียวกัน นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ผู้ร่วมก่อตั้งพรรครวมพลังประชาชาติไทย (รปช.) ทำบุญเนื่องในวันเกิดครบรอบ 71 ปี ที่วัดชลประทานรังสฤษดิ์ ปากเกร็ด โดยมีบรรดาคนใกล้ชิดมาร่วมงานอย่างคับคั่ง ทั้งแกนนำและสมาชิกพรรค รปช. รวมทั้ง ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) ที่เคยร่วมในคณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงปฏิรูปประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์แบบอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (กปปส.)
โดยนายสุเทพกล่าวว่า ปีนี้ไม่ได้อยากได้ของขวัญอะไรมาก แต่ขอเชิญชวนผู้ร่วมอุดมการณ์ ญาติพี่น้องทุกคน ผนึกกำลังทำงานเพื่อชาติบ้านเมือง เพราะบ้านเมืองเรายังไม่ได้ถึงจุดที่อยู่รอดปลอดภัย จำเป็นต้องรวมพลังกันทำงานตามหน้าที่ของแต่ละคน รับใช้เบื้องพระยุคลบาทเพื่อพาประเทศพ้นวิกฤติทั้งหลาย ในฐานะแกนนำของ รปช. ก็จะชักชวน กก.บห.พรรคทุกคนร่วมกันระดมสมอง และมอบให้นายเอนก เหล่าธรรมทัศน์ กก.บห.พรรคไปเป็น รมว.แรงงาน เพื่อช่วยเหลือแบ่งเบาภาระของนายกฯ และภาระของรัฐบาลในการฟื้นฟูเศรษฐกิจ
แรงงานกระทรวง ศก.สำคัญ
“คราวนี้เราจะทำให้กระทรวงแรงงานเป็นกระทรวงเศรษฐกิจที่สำคัญของบ้านเมือง ซึ่งขณะนี้ผมได้รับคำถามบ่อยมากว่ายังจะได้ดูแลตำแหน่ง รมว.แรงงานอยู่หรือไม่ ก็ขอเรียนว่าประเทศไทยวันนี้ต้องฟัง พล.อ.ประยุทธ์เพียงคนเดียว และเรามีหน้าที่ร่วมแรงร่วมใจกับ พล.อ.ประยุทธ์ เพื่อทุ่มเททำงาน นำความสุขกลับมาให้ประชาชน ซึ่งนายกฯ ก็ประกาศชัดเจน โดยที่ผมไม่ได้พูดจาประจบสอพลอ เพราะไม่ได้มีตำแหน่งอะไรด้วย ซึ่งการที่นายกฯ ออกแถลงการณ์ล่าสุดเรื่องรับฟังข้อเสนอข้อคิดเห็นจากประชาชน เพื่อให้ช่วยกันคิดทำงานเพื่อชาติเพื่อแผ่นดิน และให้ประชาชนเป็นผู้ประเมินผลงาน ถ้าคนอื่นพูดผมก็คิดว่าเป็นวาทกรรม แต่เมื่อ พล.อ.ประยุทธ์พูดก็เชื่อว่านายกฯ คิดและเชื่อมั่น ยึดถือตามแนวทางนั้นจริง จึงถือเป็นนิมิตหมายที่ดีของประเทศไทยให้ความสำคัญกับประชาชนอย่างจริงใจ ดังนั้น พวกเรามีหน้าที่ช่วยนายกฯ ทำงาน ส่วนใครจะมีข่าวลือข่าวลวง ข่าวปล่อย เราอย่าไปเสียเวลา ยึด พล.อ.ประยุทธ์เป็นหลัก” นายสุเทพระบุ
นายสุเทพย้ำว่า เมื่อนายกฯ เห็นว่า รปช.เป็นพรรคการเมืองของประชาชนไว้ใจให้ไปดูแลกระทรวงแรงงาน ซึ่งเป็นกระทรวงที่มีประชาชนเป็นลูกจ้างเป็นผู้ใช้แรงงานจำนวนมาก เวลาไปทำงานเราช่วยกันทำงานทั้งพรรค ซึ่งนายเอนกก็เป็นหัวหน้าคณะทำงานช่วยคิดนโยบายคิดแผนงานให้กระทรวงแรงงานทำมาโดยตลอด ตอนนี้ก็เป็นประธานยกร่าง พ.ร.บ.ประกันสังคม ซึ่งเราจะแก้ไขเพื่อให้ระบบประกันสังคมมีประสิทธิภาพ อำนวยประโยชน์ให้นายจ้างลูกจ้างมากขึ้น ซึ่งพรรคยังช่วยกันยกร่าง พ.ร.บ.จัดตั้งธนาคารประกันสังคม เพื่อดูแลแรงงานนอกระบบ รวมถึงแผนงานฟื้นฟูเศรษฐกิจ ครอบครัว ผู้ใช้แรงงานซึ่งได้เสนอต่อนายกฯ และสภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติแล้ว และเราจะสานต่องานที่เราทำมาต่อไป
นายสุเทพกล่าวอีกว่า สำหรับจังหวะเวลาที่จะปรับ ครม.ต้องขึ้นอยู่กับนายกฯ พวกเราเข้าใจสถานการณ์ดีว่าต้องมีจังหวะมีเวลา และขณะนี้หัวหน้าทีมเศรษฐกิจของรัฐบาลก็คือนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกฯ ที่ยังทำงานให้นายกฯ อยู่ และก็ยังไม่ได้ยินเสียงของนายกฯ ว่าจะเปลี่ยนแปลงอะไรเลย และทุกวันนี้ก็เท่ากับว่านายกฯ เป็นหัวหน้าทีมเศรษฐกิจเสียด้วยซ้ำไป นายกฯ ใส่ใจทุกเรื่องทุกประเด็น ไม่มีปัญหาอะไร
ด้านนายณัฐชา บุญไชยอินสวัสดิ์ โฆษกพรรคก้าวไกล (ก.ก.) กล่าวถึงกรณีที่นายสุเทพกล่าวในการเปิดเวทีประชุมเลือกคณะ กก.บห.พรรค รปช. ที่ระบุว่าพรรคจำเป็นต้องพึ่งเงินทุนจากประชาชนเป็นหลัก ซึ่งสมาชิกของพรรคต้องเป็นคนที่แน่วแน่มั่นคง หยอดเงินลงขันวันละ 1 บาท ครบปีเอามาอุดหนุนให้พรรค เพื่อให้เป็นพรรคการเมืองของประชาชนโดยไม่ถูกครอบงำจากนายทุน ว่าพรรคการเมืองที่เป็นประชาธิปไตยจำเป็นต้องยึดโยงกับฐานสมาชิกและประชาชนของพรรค นั่นหมายถึงว่าพรรคสามารถทำงานเป็นตัวแทนและกระบอกเสียงของประชาชนได้อย่างแท้จริง แต่การที่นายสุเทพออกมาเรี่ยไรเงิน ซึ่งเป็นเครื่องมือที่นายสุเทพใช้บ่อยครั้งในอดีต แน่นอนว่าการกระทำเช่นนี้ไม่ได้นำพาไปสู่การพัฒนาใดๆ ทางการเมือง วันนี้สังคมไทยได้บทเรียนแล้ว มีเพียงนายสุเทพต่างหากที่คิดว่าการกระทำเช่นนี้ยังใช้ได้
“วันนี้ประชาชนตาสว่างแล้ว ยังมีเพียงคุณสุเทพที่ยังใช้มุกเดิมหากิน ผมมองว่ามันง่ายเกินไป ทั้งที่คุณสุเทพเองก็เป็นผู้อาวุโสทางการเมือง น่าจะเข้าใจบริบทสังคมได้ดีกว่านี้ วันนี้คงสายไปเสียแล้วสำหรับการทำพรรคมวลชนของคุณสุเทพ เพราะผลงานการนำมวลชนในอดีตคือคำตอบว่าคุณสุเทพล้มเหลวในการนำมวลชน ส่งผลให้ประเทศเสียหายมาจนถึงทุกวันนี้” นายณัฐชากล่าว.
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |