ไทยไม่พบผู้ติดเชื้อรายใหม่ทั้งในประเทศและสถานที่กักตัวของรัฐ สธ.วอนเคร่งครัดมาตรการคุมโควิดป้องระบาดระลอกสอง จับตา “บิ๊กแดง” แจงปมร้อน "ผบ.ทบ.สหรัฐ" เยือนไทยไม่ตรวจโควิด "จตุพร" แนะเลื่อนเดินทางไปก่อน ลดแรงกระเพื่อม "ศรีสุวรรณ" จ่อร้อง ป.ป.ช.ฟัน ศบค.ทุจริตหน้าที่
เมื่อวันที่ 7 กรกฎาคม นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) หรือ ศบค. เปิดเผยถึงสถานการณ์การแพร่ระบาดในประเทศไทยว่า ไม่พบผู้ติดเชื้อรายใหม่ทั้งในประเทศและในสถานที่กักตัวของรัฐ ทำให้มียอดผู้ป่วยสะสม 3,195 ราย หายป่วยสะสม 3,072 ราย ซึ่งไม่มีรายงานผู้เสียชีวิตเพิ่มเติม ทำให้ยอดสะสมคงที่ 58 ราย และไม่มีผู้ป่วยติดเชื้อภายในประเทศติดต่อกัน 43 วัน
สำหรับสถานการณ์ทั่วโลก มีผู้ติดเชื้อ 11,739,171 ราย และเสียชีวิต 540,660 ราย ส่วนคนไทยที่ตกค้างในต่างประเทศและจะเดินทางถึงประเทศไทยในวันเดียวกันนี้ 3 เที่ยวบิน จำนวน 209 ราย ในวันที่ 8 ก.ค. มี 4 เที่ยวบิน จำนวน 600 ราย
นพ.โสภณ เอี่ยมศิริถาวร ผู้อำนวยการกองโรคติดต่อทั่วไป กรมควบคุมโรค กล่าวว่า ขณะนี้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ทั่วโลกยังมีแนวโน้มมีผู้ติดเชื้อสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง มีผู้ติดเชื้อสะสม 11,739,171 ราย ประเทศที่มีผู้ติดเชื้อสูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ สหรัฐอเมริกา บราซิล อินเดีย ตามลำดับ ส่วนประเทศเพื่อนบ้านยังคงพบผู้ติดเชื้อรายใหม่อยู่ นอกจากนี้ยังมีหลายประเทศที่มีการกลับมาระบาดของโรคติดเชื้อโควิด-19 ในระลอก 2 เช่น ญี่ปุ่น ออสเตรเลีย โครเอเชีย
สำหรับประเทศไทย การที่ไม่มีรายงานผู้ติดเชื้อรายใหม่ในประเทศต่อเนื่องเป็นวันที่ 43 และจำนวนผู้ติดเชื้อสะสมอยู่ในอันดับที่ 99 ของโลก มาจากความร่วมมือร่วมใจของประชาชนที่ช่วยกันป้องกันตัวเองจากโรคโควิด-19 ทั้งการสวมหน้ากากอนามัย เว้นระยะห่าง ล้างมือบ่อยๆ อย่างไรก็ตาม โรคโควิด-19 อาจกลับมาระบาดระลอกใหม่ได้อีกครั้งหากคนไทยประมาท โดยผลสำรวจของสวนดุสิตโพล เมื่อวันที่ 1-4 ก.ค.63 พบว่า หลังผ่อนคลายมาตรการ ประชาชนมีความวิตกกังวลเกี่ยวกับโรคโควิด-19 ลดลงถึงร้อยละ 52.93 กระทรวงสาธารณสุขจึงขอความร่วมมือห้างร้านผู้ประกอบการ ยังคงต้องเคร่งครัดมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อ เช่น ทำความสะอาดสถานที่ พื้นผิวที่มีผู้สัมผัสบ่อย จัดพื้นที่ลดความแออัด จัดจุดคัดกรองอุณหภูมิร่างกาย จุดบริการล้างมือ มีระบบระบายอากาศถ่ายเท
ส่วนประชาชน ขอให้สวมหน้ากากอนามัยทุกครั้งที่ออกจากบ้าน ร่วมกับการเว้นระยะห่างระหว่างผู้อื่น ล้างมือบ่อยๆ งดการนำมือมาสัมผัสใบหน้า ตา จมูก ปาก เลี่ยงการไปสถานที่แออัดคนอยู่รวมกันมาก และลงทะเบียนเข้า-ออก พร้อมประเมินกิจการ สถานที่ในแพลตฟอร์มและแอปพลิเคชัน “ไทยชนะ” ทุกครั้งที่เข้าใช้บริการในสถานที่ต่างๆ หากพบผู้ติดเชื้อ กรมควบคุมโรคจะใช้เป็นข้อมูลในการติดตามผู้สัมผัสเพื่อนำเข้าสู่ระบบการเฝ้าระวัง ป้องกัน ควบคุมโรคต่อไป โรคโควิด-19 จะกลับมาอีกหรือไม่ขึ้นอยู่กับความร่วมมือร่วมใจของคนไทยทุกคน
"บิ๊กแดง" แจงปมร้อน
มีรายงานว่า ในวันที่ 8 ก.ค. ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) จัดการประชุมผู้นำเหล่าทัพ ครั้งที่ 5/2563 โดยมี พล.อ.พรพิพัฒน์ เบญญศรี ผู้บัญชาการทหารสูงสุด เป็นประธาน มี พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ผู้บัญชาการทหารบก, พล.ร.อ.ลือชัย รุดดิษฐ์ ผู้บัญชาการทหารเรือ, พล.อ.อ.มานัต วงษ์วาทย์ ผู้บัญชาการทหารอากาศ และ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ
ซึ่งในช่วงเช้าจะมีการประชุมผู้บัญชาการทหาร ที่มี พล.อ.ณัฐ อินทรเจริญ ปลัดกระทรวงกลาโหม เป็นประธาน ซึ่งผู้มาร่วมประชุมทุกคนจะต้องลงทะเบียน คัดกรองตรวจวัดอุณหภูมิร่างกายตามมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดโควิด-19 หลังจากนั้นจะมีการแถลงผลการประชุม ผบ.เหล่าทัพ
ขณะที่ในช่วงบ่าย พล.อ.อภิรัชต์เดินทางไปเป็นประธานในพิธีรับอากาศยาน Cessna 182T เข้าประจำการในกองทัพบก ณ หมวดบิน C หน่วยบินเดโชชัย 3 ภายในพื้นที่กองบิน 6 (บน.6 ดอนเมือง) ซึ่งเป็นเครื่องบินใช้ในการลาดตระเวนและทำแผนที่ทหาร
หลังเสร็จพิธี พล.อ.อภิรัชต์จะชี้แจงกรณีการเดินทางมาเยือนประเทศไทยของ พล.อ.เจมส์ ซี แมคคอนวิลล์ ผบ.ทบ.สหรัฐอเมริกา และคณะ ซึ่งยังยืนยันกำหนดการเดิม คือระหว่างวันที่ 9-10 ก.ค. โดยไม่ต้องกักตัว 14 วัน ตามมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดโควิด-19 ของกระทรวงสาธารณสุข ท่ามกลางกระแสต่อต้านของคนที่ไม่เห็นด้วย
นอกจากนี้ มีข่าวว่า พล.อ.อภิรัชต์ไม่พอใจต่อการนำเสนอข่าวที่คลาดเคลื่อน ผบ.ทบ.สหรัฐและคณะปฏิเสธเข้าสู่ขั้นตอนการตรวจโรคโควิด-19 ในห้วงสัปดาห์ที่ผ่านมา จนกลายเป็นประเด็นถูกวิจารณ์ต่อเนื่อง เพราะเกรงจะกระทบความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
สำหรับกำหนดการ พล.อ.เจมส์ ซี แมคคอนวิลล์ และคณะ จะเดินทางเข้าพบ พล.อ.อภิรัชต์ ที่กองบัญชาการกองทัพบก ในวันที่ 10 ก.ค. โดยจะไม่เปิดให้สื่อมวลชนทำข่าวและบันทึกภาพ แต่จะเผยแพร่ข่าวและภาพให้สื่อมวลชนภายหลังเสร็จพิธี
พ.ต.อ.กฤษณะ พัฒนเจริญ รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวถึงกรณีแรงงานต่างด้าวลักลอบเข้าเมืองตามช่องทางธรรมชาติต่างๆ ภายหลังจากที่มีประกาศผ่อนปรนมาตรการป้องกันการระบาดของไวรัสโควิด-19 ว่า พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร. ได้ให้ความสำคัญและความห่วงใยถึงสถานการณ์การป้องกันการแพร่ระบาดและลดความเสี่ยงของการแพร่ระบาดโควิด-19 จากต่างประเทศเข้ามา โดยมอบหมายให้ พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข รอง ผบ.ตร. ซึ่งกำกับดูแลงานด้านความมั่นคงและกิจการพิเศษ กำชับ กวดขันสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง กองบัญชาการตำรวจตระเวนชายแดน ในการประสานกับหน่วยร่วมปฏิบัติด้านความมั่นคง เพิ่มความเข้มในการตรวจตราตามจุดผ่านแดน จุดผ่อนปรน หรือทางช่องทางธรรมชาติ เพื่อสกัดกั้นแรงงานต่างด้าวที่มีความพยายามลักลอบเข้าราชอาณาจักรอย่างเข้มงวด ควบคู่กับการบังคับใช้กฎหมาย ตลอดจนดำเนินการผลักดันกลับประเทศต้นทางทุกราย
ทางด้านนายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กว่า แม้ ศบค.จะพยายามออกมาชี้แจงว่า ผบ.ทบ.สหรัฐและคณะจะเดินทางมาเยือนประเทศไทย ตามข้อตกลงพิเศษ ในฐานะแขกทางการ ที่เข้าเงื่อนไขไม่ต้องกักตัว 14 วัน แต่ต้องปฏิบัติตามมาตรการ 6 ข้อ ของ ศบค.อย่างเคร่งครัดก็ตาม แต่มาตรการดังกล่าวไม่ได้เป็นสิ่งบ่งชี้ว่าการเดินทางมาเยือนประเทศไทยครั้งนี้ของ ผบ.ทบ.สหรัฐและคณะ จะไม่ทำให้เชื้อไวรัสโควิด-19 ที่อาจแฝงจากสหรัฐมาสู่คนไทย
เนื่องจากผลสำรวจของศูนย์ควบคุมโรคติดต่อ (ซีดีซี) ของสหรัฐอเมริกา ล่าสุดยังพบว่ามากกว่าครึ่งของผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 หรือ 54% ไม่รู้ตัวว่าพวกเขาไปติดโรคมาจากไหน สะท้อนแนวโน้มการแพร่ระบาดในกลุ่มผู้เป็นพาหะที่ไม่แสดงอาการ ซึ่งมักจะเป็นคนใกล้ชิด ผู้ร่วมงานหรือสมาชิกในครอบครัว ดังนั้น ผบ.ทบ.สหรัฐและคณะซึ่งมาจากประเทศที่มีสถิติของผู้ที่ติดเชื้อมากที่สุดในโลกเกือบ 3 ล้านคนแล้ว จึงไม่อาจจะเชื่อใจได้ว่าเขาเหล่านั้นจะไม่เป็นพาหะที่ไม่แสดงอาการ อีกทั้งมาตรการ 6 ข้อเป็นข้อกำหนดที่ ศบค.คิดกันขึ้นมาเอง เพื่อเอื้อประโยชน์ต่อ ผบ.ทบ.สหรัฐเป็นการเฉพาะเท่านั้น และมิได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษา
ร้อง ปปช.ฟัน "ศบค."
นอกจากนั้น นายกรัฐมนตรี และโฆษก ศบค.พยายามพร่ำบอกให้คนไทยการ์ดอย่าตกๆ แบบแผ่นเสียงตกร่องมาโดยตลอด แต่ทว่าคนของรัฐบาลกลับมีอภิสิทธิ์ชน อาทิ เมื่อคืนวันที่ 4 ก.ค.2563 ที่ผ่านมาในวันระลึกวันชาติสหรัฐ ที่สถานทูตสหรัฐประจำประเทศไทย ซึ่งมีนักการเมืองไทยไปร่วมงานมากมาย โดยเฉพาะนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.สาธารณสุข และ พญ.พรรณประภา ยงค์ตระกูล ผู้ช่วยโฆษก ศบค.ไปร่วมงานด้วย กลับไม่มีใครใส่หน้ากากอนามัยและไม่มีระยะห่างกันเลย ซึ่งชี้ให้เห็นว่าคนของรัฐบาล และ ศบค.ไม่เป็นต้นแบบที่ดีในการป้องกันโควิด-19 แต่กับประชาชนกลับบังคับให้ต้องทำ
ด้วยเหตุดังกล่าว สมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย ไม่อาจปล่อยให้กรณีดังกล่าวเป็นการเอื้อประโยชน์แบบไม่มีมาตรฐานของ ศบค.ต่อไปได้ จึงจะนำความไปร้องต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เพื่อขอให้ตรวจสอบการใช้อำนาจของ ศบค.ว่าเป็นไปแบบไร้มาตรฐานและทุจริตต่อหน้าที่หรือไม่ โดยจะเดินทางไปยื่นคำร้องในวันพฤหัสฯ ที่ 9 ก.ค.2563 เวลา 10.30 น. ณ สำนักงาน ป.ป.ช.นนทบุรี
นายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธานแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) เฟซบุ๊กไลฟ์ PEACETALK ว่า ผบ.ทบ.สหรัฐ และคณะ ควรเลื่อนการเดินทางมาประเทศไทยออกไปสักระยะหนึ่งก่อน เพราะช่วงเกิดภัยโควิดนั้น คงไม่เหมาะจะมาเจรจาในเรื่องศึกสงคราม หรือความร่วมมือระหว่างกองทัพบกทั้งสองประเทศ รวมทั้งขณะนี้คนไทยที่เดินทางกลับจากต่างประเทศต้องถูกกักตัวและพบติดเชื้อโควิด ส่วนคนไทยในประเทศไม่พบการติดเชื้อสักรายมาเป็นเดือนแล้ว ดังนั้นอาการหวั่นวิตกคนไทยจึงแสดงออกค่อนข้างตึงเครียด
นอกจากนี้ ในสหรัฐไม่มีใครกล้ายืนยันว่าเป็น ผบ.ทบ.แล้วจะไม่ติดเชื้อโควิด เนื่องจากลูกเขยของประธานาธิบดีทรัมป์ยังติดเชื้อโควิด ดังนั้นเพื่อความสบายใจกันทุกฝ่าย หากไม่มีความจำเป็นเร่งด่วนในช่วงศึกสงครามต้องมาเจรจากัน ควรเจรจากันโดยไม่พบตัวกันย่อมเป็นสัมพันธภาพที่ดี
"เมื่อสถานการณ์สร้างความยุ่งยากลำบากใจ และไม่มีใครกล้าการันตีว่าคณะที่มานั้นไม่มีใครติดเชื้อ แต่เชื้อไม่ปรากฏอาการในสหรัฐก็มีมาก ผมว่า ผบ.ทบ.ไทยลองปรึกษาหารือกันเพื่อลดแรงเสียดทานโดยไม่จำเป็น ถ้ามีข้อยกเว้นไม่ต้องถูกกักตัว 15 วัน และไม่มีความจำเป็นชนิดที่ขัดเสียไม่ได้แล้ว ควรเลื่อนกันไปก่อน และรอสถานการณ์ปกติค่อยมาเยือนก็ได้ ไม่น่ามีปัญหาใดๆ จึงหวังว่าในช่วงเวลาอีก 2 วันนี้ ผบ.ทบ.ไทยจะเลือกหนทางที่ดีที่สุด ซึ่งจะตัดสินใจอย่างไรก็แล้วแต่ ผมเสนอแนะเพียงไม่ควรให้สร้างแรงกระเพื่อมใดๆ จากการคัดค้านมากมาย เพราะ ผบ.ทบ.สหรัฐมาจากประเทศที่คนติดเชื้อมากที่สุด" นายจตุพรกล่าว
ส่วนที่นายอนุทิน และ พญ.พรรณประภาไปร่วมงานวันชาติสหรัฐ แล้วมีภาพที่เรียกว่าการ์ดตกนั้น ตนเห็นใจจริงๆ เนื่องจากสังคมไทยอยู่ในช่วงวิตกในหลายเรื่องราว และบางเรื่องกลับตึงจนเกินเหตุ โดยปกติแล้วตนเมื่อเข้าร่วมงานใดจะใส่หน้ากาก แต่มีคนมาถ่ายรูปด้วยจะถอดออกเพื่อจะได้เห็นหน้าตากัน ทันทีที่ภาพของนายอนุทินถูกเผยแพร่ ทุกกระแสกระหน่ำใส่นายอนุทิน ซึ่งทั้ง 2 กรณีคือ ผบ.ทบ.สหรัฐและคณะเยือนไทย รวมทั้งนายอนุทินถ่ายรูปไม่ใส่หน้ากากนั้น สะท้อนถึงบรรยากาศของไทยขณะนี้มีความตึงเครียดพร้อมจะแตกหักกันตลอดเวลา ไม่พร้อมอะลุ่มอล่วยกัน.
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |