"สุเทพ" มั่นใจบิ๊กตู่อยู่ยาวครบเทอม 4 ปี ย้ำเสียงเข้ม "เอนก" คือ รมว.แรงงานคนใหม่ต่อจากหม่อมเต่า ไม่เชื่อมีเปลี่ยนโควตา หลังลือสะพัดกลุ่มก๊วนพลังประชารัฐส่งซิกเจรจาขอแลกโควตา หวังฮุบเก้าอี้จับกัง 1 ตามคาด "ทวีศักดิ์" นั่งหัวหน้าพรรครวมพลังฯ คนใหม่ 
    เมื่อวันอาทิตย์ที่ 5 ก.ค. พรรครวมพลังประชาชาติไทย (รปช.) จัดการประชุมใหญ่สามัญประจำปี ที่ Bangkok Thonburi Hall ภายในมหาวิทยาลัยกรุงเทพธนบุรี เพื่อเลือกหัวหน้าพรรคและกรรมการบริหารพรรค รปช.ชุดใหม่ หลัง ม.ร.ว.จัตุมงคล โสณกุล ลาออกจากสมาชิกพรรคและหัวหน้าพรรคไปก่อนหน้านี้ ส่งผลให้คณะกรรมการบริหารพรรคชุดปัจจุบัน และคณะกรรมการชุดต่างๆ พ้นสภาพ โดยบรรยากาศการประชุมมีสมาชิกพรรคเข้าร่วมอย่างคับคั่ง
    ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในการประชุมเพื่อเลือกหัวหน้าพรรค รปช.ปรากฏว่ามีการเสนอชื่อเพียงหนึ่งชื่อ ได้แก่ นายทวีศักดิ์ ณ ตะกั่วทุ่ง อดีตเลขาธิการพรรค ทนายความประจำตัวนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ผู้ร่วมก่อตั้งพรรค รปช. ซึ่งนายทวีศักดิ์ได้รับเลือกให้เป็น หัวหน้าพรรคด้วยคะแนนเสียง 565 คะแนน ส่วนกรรมการบริหารพรรคคนอื่นๆ มีดังนี้ นายดวงฤทธิ์ เบ็ญจาธิกุล ชัยรุ่งเรือง กรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรีกระทรวงแรงงาน ซึ่งเป็นผู้บริหารมหาวิทยาลัยกรุงเทพธนบุรี ที่ใช้เป็นสถานที่จัดการประชุม เป็นเลขาธิการพรรคคนใหม่, น.ส.จุฑาฑัตต เหล่าธรรมทัศน์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ เป็นเหรัญญิกพรรค, นายธันย์ธรณ์เทพ แย้มอุทัย เป็นนายทะเบียนพรรค, นายเอนก เหล่าธรรมทัศน์, นายจักษ์ พันธ์ชูเพชร และนายนายดนุช ตันเทอดทิตย์ 
    นายทวีศักดิ์ หัวหน้าพรรค รปช.คนใหม่ กล่าวหลังการประชุมว่า ขอบคุณสมาชิกพรรค จะตั้งใจทำงานเต็มที่ ตอนนี้ทำหน้าที่ถือว่าเป็นทุกขลาภ แต่ยอมรับ เต็มใจ และยินดีทำเพื่อประชาชน 
    ทั้งนี้ ก่อนหน้านี้มีข่าวว่า พรรค รปช.จะผลักดันให้นายเอนก เป็นหัวหน้าพรรค รปช.คนใหม่ แต่ต่อมามีการเปลี่ยนแปลง หลังพรรค รปช.ได้เสนอชื่อนายเอนกต่อนายกรัฐมนตรีเพื่อให้ขึ้นดำรงตำแหน่ง รมว.แรงงาน ดังนั้น จึงให้นายทวีศักดิ์ ณ ตะกั่วทุ่ง มาเป็นหัวหน้าพรรค เพื่อให้นายเอนกได้ทำหน้าที่รัฐมนตรีอย่างเต็มที่ 
    ด้านนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ผู้ร่วมก่อตั้งพรรค รปช. ที่เดินทางมาร่วมประชุมและสังเกตการณ์การประชุมร่วมกับสมาชิกพรรค ได้กล่าวกับที่ประชุมพรรคว่า ขอขอบคุณสมาชิกพรรคทั่วประเทศที่แน่วแน่มั่นคงต่อสู้ทางการเมืองด้วยวิถีทางประชาธิปไตย พรรคของเราเป็นพรรคการเมืองของประชาชนที่แท้จริง ประชาชนเป็นใหญ่ เป็นเจ้าของพรรค เป็นผู้กำหนดนโยบายที่พรรคต้องปฏิบัติ เพื่อให้เกิดประโยชน์กับระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข นี่คือจุดยืนสำคัญ 
    นายสุเทพกล่าวด้วยว่า มั่นใจว่ารัฐบาลของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา จะทำหน้าที่จนครบ 4 ปี และหากเลือกกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่ในปี 2565 ก็ยังมีเวลามากพอในการเตรียมตัวลงสู่สนามเลือกตั้ง ทุกคนต้องมีใจหนักแน่น ทำประโยชน์เพื่อประชาชนอย่างแท้จริง เราไม่ได้ทำการเมืองเพื่อตัวเราเอง เราทำการเมืองเพื่อประเทศชาติ เพื่อลูกหลานของเรา 
    "ขอแสดงความยินดีกับคณะกรรมการบริหารพรรค และแสดงความยินดีล่วงหน้ากับนายเอนก เหล่าธรรมทัศน์ ที่ได้รับการเสนอชื่อเป็น รมว.แรงงาน ต่อจาก ม.ร.ว.จัตุมงคล ขอให้ทุ่มเททำงานอย่างเต็มที่ และขอให้นำความสำเร็จมาสู่พรรค" นายสุเทพกล่าว 
    จากนั้นนายสุเทพกล่าวให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนว่า ที่มีการเสนอชื่อหัวหน้าพรรคเป็นนายทวีศักดิ์ เพราะต้องการให้นายเอนกทุ่มเททำงานกระทรวง ส่วนพรรคก็ให้นายทวีศักดิ์ดูแล จะได้มีเวลาทำงานเต็มที่ ส่วนการประชุมสมัชชาใหญ่คาดว่าจะจัดขึ้นในช่วงปลายปี 2564 หรือต้นปี 2565 คือประชุมสมัชชาใหญ่ครั้งหนึ่งในรอบ 4 ปี เพื่อให้สมาชิกเหล่านั้นตัดสินใจ และสมัชชาใหญ่ต้องเกิดก่อนการเลือกตั้งครั้งต่อไป ส่วนตัวในใจอยากได้คนหนุ่มมาเป็นหัวหน้าพรรคที่พร้อมจะนำทัพลงสู่สนามเลือกตั้ง  
    นายสุเทพกล่าวด้วยว่า สำหรับชื่อบุคคลที่จะเป็นรัฐมนตรีของพรรค รปช.ได้เสนอไปแล้วตั้งแต่วันที่อดีตหัวหน้าพรรคลาออก มีการทำหนังสือถึงนายกรัฐมนตรีไปแล้ว  
    เมื่อถามถึงเรื่องโควตากระทรวง นายสุเทพกล่าวว่า ต้องตั้งสติในการพิจารณาข่าวสาร เพราะมีทั้งข่าวลวง ข่าวลือ ข่าวปล่อย แต่คนที่จะพิจารณาคือนายกรัฐมนตรีคนเดียวเท่านั้น บางคนจะมาให้สัมภาษณ์ให้นั่งกระทรวงนั้นนี้ อย่าไปฟัง ฟังไม่ได้ 
    "ฟังคนเดียวคือนายกรัฐมนตรี ซึ่งมอบหมายกระทรวงแรงงานให้พรรครับผิดชอบ และ ม.ร.ว.จัตุมงคลลาออก ก็เสนอชื่อนายเอนกแทน แต่จะปรับ ครม.เมื่อไร ก็แล้วแต่นายกรัฐมนตรี ไม่ได้ไปกดดัน" นายสุเทพกล่าว 
    นายสุเทพกล่าวต่อไปว่า ยอมรับว่าเมื่อก่อนมาเป็นรัฐมนตรีไม่มีใครถนัดตรงไหน แต่เมื่อได้รับตำแหน่งแล้วก็ทำงานร่วมกับภาคส่วนอื่นๆ เพื่อแก้ปัญหาและทำให้กระทรวงเป็นกระทรวงเศรษฐกิจของประเทศ เช่น ปัญหาประกันสังคม เยียวยาผู้ใช้แรงงานจากโควิด และจะฟื้นฟูเศรษฐกิจของครอบครัวผู้ใช้แรงงานต่อในอนาคต ซึ่งตอนนี้ทำโครงการเสนอไปที่สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติแล้ว เรามั่นใจว่ามีความพร้อมที่จะเข้ามาดูแลช่วยเหลือผู้ใช้แรงงานตามโครงการที่เสนอและปฏิบัติตามแนวนโยบายของนายกรัฐมนตรี ซึ่งเป็นเรื่องสุดยอดมากที่ประกาศว่าจะรับฟังประชาชนต่อจากนี้ 
    เมื่อถามว่า ถ้าไม่ได้นั่งกระทรวงแรงงาน นายสุเทพตอบว่า "ไม่มีอะไรต้องเป็น ‘ถ้า’ ผมฟังแค่นายกรัฐมนตรีคนเดียว ส่วนจำนวน ส.ส.ที่หลายพรรคมีเพิ่มขึ้น ไม่คิดว่าจะมีอะไรเปลี่ยนแปลงในโควตาและนายกรัฐมนตรี"
    เมื่อถามว่า ถ้ามีสัญญาณยุบสภาหรือเลือกตั้งใหม่ จะต้องเลื่อนการประชุมสมัชชาใหญ่ขึ้นมาหรือไม่ นายสุเทพตอบว่า "ความเห็นผม รัฐบาลพลเอกประยุทธ์อยู่ครบเทอม ไม่มีคำว่าถ้า"
    ทั้งนี้ ก่อนหน้านี้มีกระแสข่าวว่ามีแกนนำกลุ่มการเมืองบางกลุ่มในพรรคพลังประชารัฐมีการติดต่อประสานงานอย่างไม่เป็นทางการไปยังคนในพรรค รปช.บางส่วน เพื่อสอบถามถึงความเป็นไปได้ในการสลับโควตา เปลี่ยนกระทรวงในความรับผิดชอบ ระหว่างพรรคพลังประชารัฐกับพรรค รปช. หากพลเอกประยุทธ์ นายกรัฐมนตรี ส่งสัญญาณปรับคณะรัฐมนตรี "ประยุทธ์ 2/2" 
    โดยก่อนหน้านี้ มีกระแสข่าวว่าทางกลุ่มการเมืองในพลังประชารัฐมีการส่งสัญญาณมาว่า พร้อมจะแลกโควตารัฐมนตรีกระทรวงแรงงานกับกระทรวงที่อยู่ในการดูแลของพรรคพลังประชารัฐ หรือโควตากลางของนายกรัฐมนตรีเดิมคือ กระทรวงการอุดมศึกษาฯ หากนายสุวิทย์ เมษินทรีย์ รมว.การอุดมศึกษาฯ อดีตรองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐถูกปรับออก หรือหากมีการปรับ ครม.แล้วมีการเปลี่ยนตัว รมว.การต่างประเทศ เนื่องจากนายดอน ปรมัตถ์วินัย รมว.การต่างประเทศต้องการพัก ทางพรรค รปช.พร้อมจะสลับโควตาระหว่างกระทรวงการต่างประเทศกับกระทรวงแรงานหรือไม่  เพราะแกนนำพรรคพลังประชารัฐบางกลุ่มก็ต้องการเข้ามาดูแลงานกระทรวงแรงงาน เช่น กลุ่มนายสุชาติ ชมกลิ่น ส.ส.ชลบุรี อดีตประธาน ส.ส.พลังประชารัฐ แต่ปรากฏว่าหลังมีการส่งสัญญาณดังกล่าวออกไป ปรากฏว่าฝ่ายคนในพรรค รปช.ต่างยืนกรานว่าไม่ต้องการแลกโควตาใดๆ ทั้งสิ้น ยังคงยืนยันต้องการดูแลงานกระทรวงแรงงานอย่างต่อเนื่องต่อไป จึงทำให้มีข่าวก่อนหน้านี้ว่าหากสุดท้ายแกนนำพรรคพลังประชารัฐยังคงต้องการกระทรวงแรงงานต่อไป ก็อาจต้องส่งคนไปคุยกับ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ว่าจะเอาอย่างไร จะมีการไปพูดคุยกับนายสุเทพเพื่อเจรจาต่อรองอีกรอบ แต่สุดท้ายหากพรรค รปช.ไม่ยอม ก็คงต้องมีการมาเกลี่ยโควตารัฐมนตรีในพรรคพลังประชารัฐกันเองต่อไป.