3 ก.ค.63 - นายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธานแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) เฟซบุ๊คไลฟ์ตอนหนึ่งว่า ในทางการเมือง สิ่งที่น่ากลัวคือ สว่างจนมองไม่เห็น สถานการณ์ของไทยขณะนี้เดินไปถึงจุดสว่างจนมองไม่เห็น เนื่องจากในทางการเมืองมีคนจำนวนหนึ่ง พยายามเสนอทางออกให้ชาติบ้านเมือง เพราะเชื่อว่า ถ้าคิดและเล่นการเมืองแบบเดิมไม่มีวันพาประเทศข้ามพ้นวิกฤตไปได้ ขณะเดียวกัน ยังมีคนอีกจำนวนหนึ่งไม่รู้ร้อนรู้หนาวกับสถานการณ์ของไทยที่กำลังเดินไปสู่ต่ำสุดในช่วงชีวิต
อีกทั้งกลุ่มคนไม่ว่าฝ่ายใด ที่เกี่ยวข้องกับความรับผิดชอบประเทศ ยังมองไม่เห็นภัย ซึ่งอันตราย โดยหลายคนยังไม่รู้สึกถึงอันตราย แต่เข้าใจเอาเองว่า เป็นแสงสว่าง ทั้งที่เป็นแสงจ้าบาดตาตัวเองจนมองไม่เห็น ราวกับเป็นแสงสว่างบังตา ซึ่งน่ากลัวกว่าความมืดบังตาอย่างที่สุด การปลดเลิกจ้างพนักงานเกือบพันคนขององค์กรคุรุสภาที่เคยยิ่งใหญ่และแข็งแรงที่สุดในอดีต แต่ต้องมาพังเป็นองค์กรแรกอย่างไม่น่าเชื่อ รวมทั้งสื่อสิ่งพิมพ์ยักษ์ใหญ่ที่สุดของไทย มีคนอ่านมากที่สุดยังต้องลดพนักงานเป็นครึ่ง
นายจตุพร กล่าวว่า ปรากฎการณ์นี้ ได้อธิบายสภาพเศรษฐกิจ ในช่วงนี้ว่า ไปไม่ไหว การพังพาบของหัวแถวผลิตตำราของไทย และสื่อสิ่งพิมพ์ยักษ์ใหญ่ สะท้อนถึงลางสังหรณ์ทาง เศรษฐกิจถึงคราวต้องย่อยยับอับจน นอกจากนี้ ในวงการอสังหาริมทรัพย์ ไม่มียุคใดที่เจ้าของโรงแรมประกาศขายมากเท่ากับยุคนี้ และไม่มีใครซื้อ แม้บางคนมองว่า เศรษฐกิจยุคนี้ ดูเหมือนยังเดินไปกันได้ แต่ทุกแวดวงรู้กันว่า เดินได้อีกสักระยะเท่านั้น คาดจะมีคนตกงานประมาณ 10 ล้านคน พวกเขาจะอยู่อย่างไร อีกทั้งการจัดงบประมาณรายจ่ายขาดดุล ซึ่งส่อถึงการกู้ที่หนักมือขึ้นไปอีก งบปี 64 กู้เพิ่ม 6.2 แสนล้าน แล้วงบฯปี 65 จะขาดดุลและต้องกู้อีกเท่าไร สุดท้ายประเทศไทยจะเป็นงูกินหาง เต็มไปด้วยหนี้สินล้นพ้นตัว
“ในวันนี้ยังไม่เห็นสัญญาณอย่างจริงจังว่า คนบางกลุ่มได้เข้าใจวิกฤตการณ์ของประเทศไทย แม้แต่ตนพยายามพูดมาหลายครั้ง ให้คนไทยจับมือร่วมกันแล้วระดมศักยภาพ เราจะฝ่าฟันวิกฤตไปได้”นายจตุพรกล่าว
นายจตุพร กล่าวอีกว่า งบประมาณปี 64 ในชั้นกรรมาธิการวาระที่สองนั้น ควรคิดกันใหม่ เพราะสถานการณ์วิกฤติของประเทศ เราคิดแบบเดิมไม่ได้ วันนี้ต้องให้คนรอด ถ้าคนไม่รอดแล้ว งบประมาณจัดซื้อทั้งหลาย จะไม่มีประโยชน์อะไรเลย ดังนั้น การทำงบประมาณจึงต้องเปลี่ยนวิธีคิดกันใหม่หมด ถ้ารัฐบาลไม่เปลี่ยนวิธีคิดใหม่ อีกทั้งแต่ละฝ่ายที่มีศักยภาพไม่ร่วมมือกันแล้ว ประเทศจะไปไม่ไหว คนจะอดอยากมากขึ้น ช่องว่างเหลื่อมล้ำยิ่งห่างกันมากขึ้น อาชญากรรมจะมากขึ้น คนจะเต็มคุก วันนี้มีคนติดคุกจำนวน 3.8 แสนคน และจะมากขึ้นเรื่อยๆ
นายจตุพร กล่าวว่า ส่วนสถานการณ์ทางการเมืองนั้น ตนคาดว่าจะปรับ ครม.ประมาณกลางเดือนสิงหาคม เมื่อถึงตอนนั้นเชื่อว่าสภาพเศรษฐกิจจะวิกฤติไปอย่างคาดไม่ถึง ดังนั้นจึงไม่รู้จะปรับครม.กันได้หรือไม่ ทั้งที่ช่วงนี้สถานประกอบการหลายแห่งเจ๊งระเนระนาดกันแล้ว วันนี้คนในสังคมรับรู้สื่อสารที่เต็มไปด้วยข่าวอาชญากรรม ต่อไปโรงงานก็ไปไม่รอดจะทยอยพังและปิดกัน ดังนั้น ต้องคิดใหม่ คิดกลับหลังหัน อย่าคิดแบบเดิมอีกเป็นอันขาด ต้องคิดทุกด้าน เพื่อแก้ปัญหาให้สอดคล้องกับสถานการณ์วิกฤต จึงจะทำให้บ้านเมืองรอดได้ ในทางการเมืองวันนี้ยังมีเริงร่า มีความสุขกับส.ส.จำนวนมาก แต่ตนเห็นว่า จำนวนส.ส.มากไม่ได้ทำให้การเมืองแข็งแรง เมื่อเราอยู่ในจุดความเป็นจริงแล้ว สถานการณ์ประเทศในวันนี้ ถ้าไม่ระดมศักยภาพของคนทุกฝ่าย หรือไม่มองข้ามความแตกต่างกันแล้ว เชื่อได้เลยว่า ประเทศพังเละแน่ การมองว่าประเทศกำลังแข็งแรง กำลังฟื้นจากจุดต่ำสุดแล้ว นั่นคือการอธิบายถึงสถานการณ์ไปอยู่ก้นเหว และกำลังขุดดินก้นเหวมุดลงไปอีก ดังนั้น ความต้องการพาประเทศให้มาถึงปากเหว ไม่ใช่เรื่องง่ายและยากที่สุด
“ด้วยเหตุนี้ คำว่าสว่างจนมองไม่เห็นนั้น จึงเป็นการเตือนสติแต่ละฝ่ายให้เลิกหลงตัวเอง ถ้าคิดแต่เอาตัวเองรอด โดยประชาชนไม่รอด คุณก็ไม่รอดอยู่ดี ประเทศต้องมีประชาชน จึงจะเป็นประเทศได้ อีกอย่างถ้าประชาชนอยู่ไม่ได้ ผู้ปกครองก็อยู่ไม่ได้ ดังนั้น ถ้าปราศจากประชาชนฝ่ายใดก็อยู่ไม่ได้เลย"นายจตุพร กล่าว
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |