3 ก.ค.63- รศ.นพ.ธีระ วรธนารัตน์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยThira Woratanarat โพสต์ความเห็นผ่านเฟซบุ๊ก เรื่อง ว่า มองอนาคตยาและวัคซีนจากความเคลื่อนไหวของอเมริกา...มีเนื้อหาดังนี้
ติดตามข่าวแล้วก็อดคิดมากไม่ได้
ต้องยอมรับว่าโรค COVID-19 นั้นติดไว และมีความรุนแรง เสียชีวิตได้ โดยตอนนี้ยังไม่มียารักษามาตรฐาน และไม่มีวัคซีนป้องกัน
การวิจัยยาและวัคซีนขณะนี้มีมากมายเป็นร้อย แต่ล้วนต้องใช้เวลาทั้งสิ้น
ปกติแล้วมักต้องใช้เวลาหลายปีกว่าจะได้ยาหรือวัคซีนออกมาสักตัว แต่กระบวนการสำหรับโรค COVID-19 นั้นพยายามจะย่นระยะเวลาให้สั้นลง วาดความหวังว่าจะได้ใน 9-12 เดือน
แต่ความหวังก็ยังคงเป็นความหวัง...ต้องรอ และระหว่างรอก็ต้องช่วยกันป้องกันตัวเองให้รอดปลอดภัย ไม่ติดเชื้อ
ในไม่กี่วันที่ผ่านมา หากใครตามข่าวจะมีหลายข่าวออกมาเกี่ยวกับยาและวัคซีน
Anthony Fauci ออกมาให้ข่าววันก่อนว่า เค้าคิดว่าวัคซีนที่จะวิจัยออกมาได้นั้น ประสิทธิภาพน่าจะอยู่แค่ประมาณ 70% ทั้งนี้เค้าเคยออกมาเล่าให้สาธารณะฟังว่า รัฐและเอกชนวางแผนที่เสี่ยงมากคือ ลงทุนสร้างโรงงานเพื่อเตรียมผลิตวัคซีนไว้ตอนปลายปีซึ่งคิดว่าจะเป็นช่วงก่อนหน้าที่จะได้ทราบผลการวิจัยวัคซีน แต่ลงทุนทำเพื่อให้แน่ใจว่าจะสามารถผลิตวัคซีนได้เป็นระดับร้อยล้านโดส จะได้นำมาใช้ได้ทันต่อการควบคุมโรคระบาด
ในขณะที่วันนี้ก็มีข่าว ว่าอเมริกาได้วางแผนจัดซื้อยา Remdesivir ไว้จำนวนมากถึง 3 เดือน โดยเป็นจำนวนแทบจะทั้งหมดของกำลังการผลิตยานี้
ติดตามข่าวสองข่าวนี้แล้ว ผมวิเคราะห์ด้วยความเห็นส่วนตัวดังนี้
หนึ่ง โอกาสที่จะได้วัคซีนประสิทธิภาพสูงนั้นอาจน้อยมาก และการที่วัคซีนมีประสิทธิภาพน้อย จะยิ่งทำให้ต้องฉีดในประชากรจำนวนมาก หากหวังจะได้ภูมิคุ้มกันหมู่ที่เพียงพอต่อการควบคุมโรคระบาด
สอง การที่ยังไม่มียามาตรฐาน แต่ละประเทศคงจำเป็นต้องลงทุนจัดหามาตุนไว้ โดยเลือกอันที่เป็น Best buy นั่นคือ มีข้อมูลว่าน่าจะได้ผลในการดูแลรักษาดีกว่ายาอื่นๆ ที่เป็นทางเลือก ทั้งนี้ Remdesivir ได้มีงานวิจัยพิสูจน์ว่าสามารถลดระยะเวลาในการฟื้นตัวในกลุ่มผู้ป่วยรุนแรงได้สั้นลง 4 วันเมื่อเทียบกับกลุ่มที่ไม่ได้ยา ในขณะที่ยาอื่นๆ ที่เคยได้รับการทดลองใช้รักษานั้น ดูจะมีข้อมูลที่ไม่ดีเท่า และบางตัวก็ถูกพิสูจน์แล้วว่าไม่ได้ผล
สาม สถานการณ์ต่างๆ ข้างต้น หากประมวลดูแล้ว คาดว่าในอีก 6-9 เดือนข้างหน้า โอกาสจะได้ Magic bullet หรือกระสุนวิเศษมาใช้รักษาหรือป้องกัน น่าจะเป็นไปได้น้อย
จึงมีแนวโน้มที่เค้าพยายามจัดหาอาวุธที่คิดว่าพอหวังได้ มาใช้ร่วมกัน ทั้งยาและวัคซีน
พอดูเค้า แล้วมาคิดสำหรับบ้านเรา...ยิ่งจำเป็นต้องรณรงค์ให้ประชาชนทุกคนในประเทศตั้งการ์ดให้แข็งแกร่ง
ต้องไม่ปล่อยให้เกิดการระบาดระลอกสองที่รุนแรงขยายวงจนเกินควบคุมเหมือนประเทศอื่นๆ
ทรัพยากรบ้านเรามีจำกัดกว่าเค้า...ตอนนี้อาวุธที่ดีที่สุด ที่เราพิสูจน์แล้วว่าได้ผล คือสองมือของเรา และใจสู้ของเรา
ใส่หน้ากากเสมอ...ล้างมือบ่อยๆ...อยู่ห่างจากคนอื่น 1 เมตร...
พูดน้อยลง...พบปะคนน้อยลงสั้นลง...
เลี่ยงที่อโคจร...หมั่นสังเกตอาการตนเองและครอบครัว...
วิเคราะห์ข้างต้น อาจคลาดเคลื่อนได้หากสิ่งที่เป็นไปนั้นมีเหตุผลอื่นๆ แฝงอยู่...แต่สำหรับผมแล้ว สิ่งที่เรารู้เราทราบอยู่มันก็คงเป็น the best available evidence in hands...
นำมาเตือนสติในการใช้ชีวิตประจำวัน และวางแผนอนาคตเผื่อไว้ ก็น่าจะดี...
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |